Be Magazine : กรกฏาคม 2555

Be Magazine : กรกฏาคม 2555

Be  Magazine : กรกฏาคม 2555
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Mind And Thoughts
จิตใจและความคิด
นุ่น - ศิรพันธ์ วัฒนจินดา


be magazinebe magazine


อะไรคือความงดงามของการมีชีวิตอยู่ คำถามที่ต้องการคำตอบเพื่อการเข้าใจชีวิต คนธรรมดาหาเงินกับการทำงานอย่างเราๆ คงค้นหาความหมายเพื่อหลุดพ้นจากกรอบชีวิตที่ใครก็ไม่รู้วางแบบแผนชีวิตเอาไว้ ถ้าการใช้ชีวิตต้องการความฉลาด ผมคงเน้นและให้น้ำหนักไปที่การทำใจ ทำใจอย่างชาญฉลาด หรือเรียกให้สวยหรูว่าการจัดการกับหัวใจ นุ่น - ศิรพันธ์ วัฒนจินดา

เธอทำให้ผมมองความฉลาดนั้นแตกต่างออกไป เธอแสดงทัศนะได้อย่างน่าสนใจ เธอไม่เพียงแต่ทำการแสดงได้อย่างถึงบทบาท ความเป็นคนที่มีพื้นฐานด้านดีมากกว่าด้านลบ เธอทำให้เห็นถึงความชาญฉลาดในการจัดการความเป็นคนในสังคม ความคิด ทัศนะ และการถ่ายเทน้ำหนักไปยังจุดหมาย รายละเอียดระหว่างทางต่างๆ ทุกอย่างล้วนแต่เสริมสร้างให้เธอเป็นหญิงสาวที่น่าจับตามองอีกคนหนึ่งของประเทศไทย

 

นุ่น ศิรพันธ์นุ่น ศิรพันธ์

 

ตอนนี้คุณสนใจประเด็นทางสังคมหรือปัญหาหนักๆ สำหรับคุณคือเรื่องอะไร?

จริงๆ มันเยอะนะ แต่ปัญหาที่นุ่นไม่อยากพูดถึงเลยในตอนนี้ พวกความขัดแย้งนู่นนี่นั่น... แต่สิ่งที่นุ่นรู้สึกค่อนข้างฝังมานานในเรื่องของวัตถุนิยม นุ่นว่านุ่นโชคดีมากที่เกิดในครอบครัวที่เขาเรียกว่าฐานรากมันแข็งแรง คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้เป็นพวกรวยมาก่อน ไม่ได้เป็นไฮโซนามสกุลดัง และเขาก็เป็นข้าราชการที่ทำตัวเป็นข้าราชการธรรมดามากๆ ตั้งแต่นุ่นจำความได้นุ่นไม่เคยเห็นพ่อกับแม่นุ่นต้องพยายามทำตัวบางอย่างเพื่อให้ได้เลื่อนขั้น การได้ 2 ขั้นหรือกว่าจะได้เป็นนายพลสักครั้งหนึ่งของเขาต้องผ่านการทำงาน ผ่านการทุ่มเท คือไม่เคยเห็นพฤติกรรมแบบไปบ้านเจ้านาย จะต้องเอาใจวันเสาร์-อาทิตย์ จะต้องพาคนโน้น คนนี้ ไปนู่น ไปนี่ นุ่นเห็นคุณพ่อกับคุณแม่นุ่นในตอนเช้า ตอนเย็นทุกคนอยู่บ้านด้วยกันสอนลูกทำการบ้าน อ่านหนังสืออยู่บ้าน คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ วันเสาร์-อาทิตย์ก็อยู่บ้านทำกับข้าว และเขาก็ไม่ได้เป็นพวกยกย่องหรือชื่นชม คนที่อุ๊ย! บ้านนี้ขับรถเท่จัง รถสปอร์ต รถเบนซ์ นุ่นเราต้องมีอย่างเขานะ ก็ไม่ได้ชื่นชมคนที่วัตถุ

ตั้งแต่นุ่นจำความได้เขาปลูกฝังเรื่องของความดี มันอาจจะดูเชยในสังคมปัจจุบัน แต่นุ่นว่ามันเป็นแก่นที่สำคัญ การที่เราไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องของวัตถุตั้งแต่แรก พฤติกรรมในชีวิตเราจะเปลี่ยนไปเลยนะ ถ้าเกิดนุ่นทำอาชีพเป็นนักแสดงแล้วนุ่นให้ความสำคัญกับวัตถุ นุ่นจะทำงานนี้ งานนั้น งานทุกอย่าง โอ๊ย...ได้ค่ะพี่ พี่ว่างค่ะ อันโน้น อันนี้ อันนั้นได้ค่ะ ทำทุกอย่างที่จะได้เงินมาสักก้อนหนึ่ง รถเท่ๆ ซื้อนู่น นี่ นั่น ซื้อบ้านสวยๆ หรือว่าซื้อเครื่องประดับที่ใส่แล้วเดินไปไหน นี่มันนักแสดงแน่ๆ เลย ใส่ของแบรนด์เนม พฤติกรรมนุ่นก็จะเป็นแบบนี้ แต่นี่นุ่นก็เปล่า นุ่นก็เป็นอย่างนี้ นุ่นก็เลือกทำงานที่นุ่นชอบ เลือกทำงานที่นุ่นถนัด แล้วมันสบาย เราไม่ได้บีบคั้นตัวเองเพื่อที่จะต้องทำงานเยอะๆ มีเวลาให้กับครอบครัวด้วย นุ่นว่ามันไม่ได้มาจากครอบครัวที่ปลูกฝังเรื่องวัตถุนิยม แต่ทางสังคม ขับรถอะไรมา ใส่นาฬิกายี่ห้ออะไร เรียนที่ไหน นามสกุลอะไร คือเปลือกหมด นุ่นว่าเรื่องนี้มันดูเผินๆ ก็ไม่น่าจะมีอะไรนะ แต่ว่าถ้าเกิดเรากระเทาะปัญหานี้มันจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในสังคมได้เยอะเลย

อะไรที่ทำให้คุณมองว่าการทำความดีกลายเป็นเรื่องที่เชย หรือล้าสมัยไปในยุคปัจจุบันแบบนี้ ?

มันคงดูจน...แล้วภาพของความดีมันก็ดูสร้างภาพ มันจะมีคนอยู่ 2 แบบนะ คือ รู้สึกว่าพวกที่คิดดี พูดดี ทำดีดูสร้างภาพ มันต้องมีประโยคนี้อยู่ในใจ แม้แต่คนที่อ่านสัมภาษณ์นุ่นตอนนี้คงคิดว่า เธอ (นุ่น) สร้างภาพกลัวเขาไม่รู้หรือว่าเป็นนางเอก มันก็มีคนที่คิดแบบนี้ กับอีกกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกว่า ถ้าเราทำความดี เรายึดกับสิ่งที่ดี เราอาจจะมีหน้าที่การงานที่ไม่ได้รุ่งเรืองมาก มันดูแย่ และอยู่ไม่ได้ในสังคม เพราะมันไปตอบโจทย์ในสังคม ก็ถ้าเราไม่มีรถขนาดนี้อาจจะจีบสาวไม่ติด หรือว่าถ้าไม่มีบ้านมีนามสกุลดังเราจะทำงานที่นั่นที่นี่ไม่ได้ สุดท้ายมันคือแก่นของปัญหาเดียวกัน

ทางออกของมัน ถ้าในปัญหาแบบนี้ ปัญหาเรื่องความดี เรื่องการดูถูกว่าเชยหรือว่าเรื่องการบาลานส์ เรื่องการให้น้ำหนักของการให้ค่าทางวัตถุ หรือค่าของงานที่ตัวเองทำ มันจะพอมีทางออกบ้างไหม ?

มีความเห็นหนึ่ง คือ นุ่นมีความเชื่อลึกๆ ว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดใครได้ ต่อให้นุ่นพูดสัมภาษณ์หนังสือ 10 เล่ม พูดโฆษณาออกสื่อว่า "พี่คะหันมาทำความดีกันเถอะ" มันจะไม่เกิดอะไรขึ้น ถ้าเขาฟังแล้วไม่รู้สึกกับมัน แล้วเขาก็ไม่ได้ทำ ทุกคนในสังคมมันต้องเห็นในจุดเดียวกัน แล้วเกิดการแอ็คชั่น แล้วก็เกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งนี้คือหนึ่งอย่างที่นุ่นไม่เชื่อ เรื่องถ้าใครมาบอกแล้วเราจะทำหรือ สิ่งที่เราทำได้คือ เราก็ทำตัวแบบนี้แหละ ถ้าเราทำตัวแบบนี้ เราก็อยู่กับผลของมันแบบนี้ นุ่นแต่งตัวแบบนี้ ขับรถแบบนี้ อยู่บ้านแบบนี้ ทำงานเท่านี้ ทำให้มันชัดเจน แล้วเห็นว่าเรามีความสุขในแบบที่เรามียังไง พอนานๆ ไปนุ่นเชื่อเรื่องของวันเวลามันพิสูจน์ทุกอย่างได้ ทำให้เขาดูถ้าเขาหันมาดู ทำให้เขาเห็นแล้วเขาอยากทำ ต้องให้เขาเปลี่ยนแปลงเอง

แต่สุดท้ายนะ มันต้องเปลี่ยนจากแก่นใหญ่ ถ้าสังคมมันต้องเป็นระดับประเทศ ถ้าพูดไปเดี๋ยวก็โดนด่า คือประเทศชาติมันต้องมีความรุ่งเรือง มันต้องมีการพัฒนาเศรษฐกิจ ทุกวันนี้นโยบายแต่ละอย่าง ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด มันเป็นเรื่องของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เป็นเรื่องที่ต้องให้นายทุนมาลงทุน การให้นายทุนมาลงทุนนั้นจริงๆ ไม่ได้แอนตี้นะ แต่มันไปด้วยกันได้ ไปทางสายกลางได้ แต่ตอนนี้มันเหมือนกับว่าเราเริ่มที่จะอิงมาอีกสายหนึ่งคือต้องรวย มันเหมือนถูกปลูกฝังมาตั้งนานแล้วว่า ต้องรวย ต้องมีเงิน มีบ้าน มีรถ แม้แต่รถคันแรก คือนุ่นไม่ได้แตะการเมืองนะ แค่อยากบอกว่าเป็นเรื่องดี

สำหรับบางคนที่เขาไม่มีโอกาส คือหาจุดร่วมที่พูดนั้นถูกต้องเลย คนที่ไม่มีโอกาส คนที่บ้านไกลมาก กว่าจะได้ทำงาน กว่าจะเก็บตังค์ซื้อรถ การให้โอกาสเขามันเป็นเรื่องที่ดี แต่มันก็มีอยู่ส่วนหนึ่งที่มันก็รู้เห็นกันอยู่ว่า บ้านมีรถอยู่ 3 คัน ของพ่อ แม่ น้อง ฉันจะซื้ออีกคันหนึ่ง เพราะฉันถือสิทธิ์นั้น อันนี้มันไม่ใช่ความรู้สึกนุ่น มันไม่ได้ตอบโจทย์ทางที่เป็นสายกลาง อันนี้มันตอบโจทย์ความเป็นวัตถุนิยมได้มากกว่า

 

นุ่น ศิรพันธ์นุ่น ศิรพันธ์

 

กลับเข้ามาในวงการบันเทิงดูบ้าง ว่าปัญหาของละครหรือว่าการเสพติดละครของบ้านเราเป็นยังไง ละครบ้านเรามันสะท้อนอะไร ทำให้เห็นอะไรในปัญหาสังคมได้ไหม ?

เยอะนะ อันนี้เอาเรื่องบ่วงไปได้เลย มันมีคนที่ชอบดู เสพเพื่อความสะใจ และความเมามัน ลึกๆ รู้สึกว่าการที่เขาได้อิน ได้ด่าใครเมามัน มันเป็นการเล่นละคร มันคือความบันเทิง ความบันเทิงมันตอบ NEED ของคนว่าดูให้สนุก ดูให้มีความบันเทิง เอาใจช่วยคุณหญิงอบเชย เกลียดอีแพง อยากตบอีแพง ลึกๆ มันสะท้อนถึงเรื่องความรุนแรงนิดๆ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดของสังคม มีคนอีกเยอะที่นุ่นชื่นใจว่าละครเรื่องนี้ที่ทุกคนทั้งนักแสดงพูดอยู่แล้วว่าเราต้องการสื่อถึงเรื่องธรรมะ แต่ว่าเป็นในรูปแบบของละคร เป็นธรรมะที่ถูกเอามาต้มยำทำแกง

แต่สุดท้ายมันก็คือธรรมะนั่นแหละ แล้วแต่ว่าใครจะหยิบจับเอาส่วนไหนไป ความรักของแม่ การยึดติดความรัก การยึดติดกัน มันคือการทำให้เห็นภาพ เกิดอรรถรส แต่มันก็อยู่ที่ว่าเขาจะหยิบจับมันหรือเปล่า มันก็มีคนส่วนหนึ่งที่เขาเข้าใจว่าเราต้องการนำเสนอ แต่มันก็มีคนที่ปล่อยให้อารมณ์พาไป มีหลายมุมมอง เราในฐานะเป็นสื่อก็ใช้โอกาสตรงนี้ที่ได้ออกหนังสือมาบอกเล่าว่า ดูให้สนุกนะ ดูให้สนุกเลย เพราะความต้องการอย่างแรกคือดูให้สนุกเถอะ แต่อย่าลืมเก็บสาระของมันไปใช้กับชีวิต บางคนอาจจะเจอเหตุการณ์สามีมีเมียน้อย เมื่อดูละครก็รู้สึกอิน เกลียดอีแพง อยากตบมัน อีแพงคือสัญลักษณ์ของเมียน้อย

คือมันสะท้อนปมในใจเขา อยากให้ดูว่าจุดจบของเมียน้อยไม่ได้มีความสุขหรอก แล้วการไปแยกเขามามันก็เป็นทุกข์ การจะละจากตรงนี้ได้ก็คือ การปล่อยวาง การอโหสิกรรม ทุกตัวละครมันมีการแก้ปัญหา มันไม่ใช่ให้เกลียดกันจนตายไปข้างหนึ่ง สุดท้ายละครมันมีตอนจบ แล้วมันก็จะคลี่คลายว่า ถ้าคุณเป็นเมียหลวง คุณเลือกที่จะแก้ปัญหาแบบนี้ คุณก็จะมีความสุขในการปล่อยวาง เป็นเมียน้อยต้องได้รับผลของความทุกข์นะ ถ้าคุณอยากรู้ว่าการหลุดพ้นจากความทุกข์ต้องทำอย่างไร คุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง อันนี้ก็ต้องเก็บเอาไปคิด คุณผู้ชมต้องเก็บไปคิดเอง

คิดว่าอะไรคือเอกลักษณ์ของละครไทย ?

ละครไทยทุกตัวละครมันต้องแซบ นางเอกก็ต้องเป็นนางเอกที่ดี๊...ดี แบบใครจะตบ ใครจะถีบ ใครจะซ้ำ ใครจะทำอะไรต้องเป็นคนดี เป็นตัวแทนของฉันคือคนดี ฉันคิดดี พูดดี ทำดีทุกอย่าง ไม่คิดร้าย ไม่โกรธใคร พระเอกก็จะเป็นตัวแทนของความไม่เข้าใจ ความโง่ โดนตัวร้ายพูดอะไรมาก็เชื่อ โดนเป่าหูตลอด แม่ผัว แม่สะใภ้ แม่อะไรก็ตาม พระเอกเขาก็จะเชื่อ เชื่อที่จะโกรธนางเอก นางร้ายก็จะเป็นคนที่ร้าย ฉันจะร้ายอีกหนแล้วนะ ต่อไปนี้ฉันอยากจะกรี๊ดก็กรี๊ด นี่มันเป็น คาแร็กเตอร์เด่น แต่จริงๆ แล้ว เมื่อก่อนเราก็มองแบบนี้ นุ่นเคยเป็นพวกคนดูปากจัดมากมาก่อน

บ้านนุ่นก็ไม่ค่อยดูทีวี และบ้านนุ่นก็ปลูกฝังว่าอาชีพนี้เป็นอะไรที่มาย้า...มายา เป็นอาชีพที่ไม่น่าทำ ในความรู้สึกของคุณพ่อ คุณแม่นะ แล้วยิ่งดูละคร ละครมันสอนแต่เรื่องผัวๆ เมียๆ สอนให้โง่ สอนให้แย่งชิง สอนให้แก่งแย่ง เขาก็รู้สึกแอนตี้ แต่วันหนึ่งพอตัวเองมาทำ สิ่งที่ตัวเองเคยว่าเขา โดนทุกอย่าง เราก็จะบอกในมุมของนักแสดงเข้าใจในมุมของนักแสดงด้วยว่า จริงๆ ละครเขาก็มีการสอน มันมีแก่นสาร แก่นนี้มันถูกใส่เสื้อผ้า คือแก่นนี้มันมีนะ มันถูกใส่เสื้อผ้าหลายชิ้น หลายชั้น หลายแบบ อาจจะมากกว่ากางเกง 2 ตัว อาจจะมีโค้ชทับ แล้วก็ค่อยๆ ถอดๆ มันดูเพื่อจะเจอแก่นของมัน อันนี้พูดทั้งสองฝั่งนะ ก็เคยเป็นคนดู วิจารณ์ ด่ามาก่อน แล้วตอนนี้ก็ทำงานที่รับคำวิจารณ์ คำด่าเหมือนกัน

วิธีการเลือกรับงานของคุณเป็นแบบไหน ?

นุ่นทำงานมา 8 ปี เลือกงานจาก 2 แบบเท่านั้นเอง คือหนึ่งชอบ ชอบอยากทำ และอันที่สองมันเปลี่ยนไป

คือเปลี่ยนตัวเองให้พัฒนาขึ้น ?

ใช่ นุ่นไม่ค่อยชอบที่จะทำงานซ้ำๆ คาแร็กเตอร์เดิมๆ สำหรับละครเราเหมือนตัวเล็กๆ ในธุรกิจนี้ ในวงการนี้ เราไม่ได้เก่งด้วย เราไม่ได้มีฝีมือมาก แต่พอวันหนึ่งผู้ใหญ่ให้โอกาสได้เล่น สำหรับบทอีแพงมันทำให้เราเปลี่ยน แต่สิ่งที่นุ่นยังทำไม่ชัดเจน อย่างหนังหลังจาก ‘เพื่อนสนิท' ดัง ดากานดาดัง ก็จะมีหนังแนวอารมณ์กุ๊กกิ๊ก คอมเมดี้ เล่นเป็นสาวเซอร์ หัวฟูยิ้มแย้ม ซึ่งคนจะหลงรัก แต่เราเลือกที่จะไม่ทำ เพราะเรารู้แล้วว่าเราเริ่มที่จะชอบการแสดง อยากทำงานอาชีพนี้ให้มันเป็นมืออาชีพจริงๆ อยากเรียนรู้ นุ่นเคยพยายามที่จะเล่นออดิชั่นเป็นชู้กับผีให้ได้ แม้ว่าตอนที่พี่เขาติดต่อมา เขาก็เล่าไม่จบด้วย

เพราะว่าหนังมันมี twist ตอนจบ เราฟังแล้วรู้สึกว่า ในบทเราได้เปลี่ยนคาแร็กเตอร์ เราได้ใช้ทักษะการแสดง ได้เรียนรู้ ท่องที่เขาแฟกซ์มาให้ 1 แผ่น ท่อง 1 ประโยคจากสถานีรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ชัยฯ ไปจนถึงเอกมัย อยากเล่นบทนี้ออดิชั่น ต้องไปแคสด้วย คือนุ่นพยายามให้เห็นว่างานที่นุ่นทำจากหนัง นุ่นจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จาก ‘เป็นชู้กับผี' ก็จะมา ‘หนึ่งใจ...เดียวกัน' ผมแข็งหน่อยอะไรอย่างนี้ จาก ‘หนึ่งใจ...เดียวกัน' ก็มา ‘9 วัด' เรื่อง 9 วัดนี้ตั้งใจเลยว่าอันนี้ก็จะเปลี่ยน นี่เป็นลักษณะการเลือกงาน คือต้องชอบก่อน ชอบบท บทนี้มันจะรวมถึงทีมงานผู้กำกับ อารมณ์ของการทำงานด้วย บางทีไม่ต้องมาจ้างแพงหรอก บางทีเป็นหนังอินดี้เล็กๆ แต่ฟังพี่ที่มาพูดเรื่องสคริป เรื่องวิธีการกำกับนุ่นชอบ เฮ้ย! บทมันเปลี่ยน เล่นฟรีก็ทำมาแล้ว

คุณกำลังให้ความสนใจเรื่องอะไรอยู่ นอกจากงานการแสดงของคุณ ?

พูดไปเดี๋ยวหาว่าสร้างภาพอีก แต่ทำมานานแล้วก็คือโปรเจ็คไอเชอพที่เล่าให้น้องเขาฟัง แต่มันไม่ประสบผลสำเร็จเพราะว่าปัญหามันติดที่คน เคยอยากเอาผักตบชวามาทำเป็นคัตเติ้ลบัต เพราะมันเกิดจากความคิดที่ว่าเราเป็นนักแสดงต้องแต่งหน้าทุกวัน วันหนึ่งเราหยิบคัตเติ้ลบัตที่เราทิ้งทุกวันขึ้นมา ก้านมันเป็นพลาสติก ถ้าเราสามารถเปลี่ยนก้านจากพลาสติกเป็นอะไรที่มันย่อยสลายได้ มันก็เป็นการลดโลกร้อนมันเริ่มจากตรงนี้ก่อน แล้วก็คิดว่าเปลี่ยนเป็นอะไรดี ลองรีเสิร์ชเลย ใช้ผักตบชวาเลยแล้วกัน ก็เลยคิดว่าถ้าจ้างชาวบ้านเขาก็จะมีรายได้จากการเอาผักตบชวามาย่อยให้มันเป็นกระดาษ คือผักตบชวาทุกคนจะนึกถึงเฟอร์นิเจอร์ แต่เราไม่ใช่สิ เราต้องทำให้มันมีคุณค่ามากกว่านั้น ก็ลงทุน มันลดโลกร้อน สร้างรายได้ อุ๊ย...ชอบข้อคิดตัวเองจังเลย ก็เลยลงทุนไปทำห้องแล็บ ทำให้มันอัดจนได้เยื่อกระดาษที่สามารถม้วนเข้ากับเครื่องจักรได้แบบจริงจังเลยนะ

เพราะนุ่นเรียนสายวิทย์มานุ่นชอบทดลอง ทำเสร็จเรียบร้อยติดตรงไหนรู้ไหม ติดตรงคน เพราะไม่มีใครยอมเอาเรือไปเก็บผักตบชวา แล้วก็มาหั่น มาตากแดดให้เรา เหตุผลคือว่า ‘เสียเวลา' ใช้เวลานานกับเงินที่เราให้เขา ทอดกล้วยทอดขายตัวเขาเองได้ตังค์ ซึ่งงานนี้มันยาก เฮ้ย...เรารู้สึกเหนื่อย ตอนแรกเราก็รู้สึกท้อกับโปรเจ็คนี้นะ จนแม่พูดว่าผักตบเต็มบ้านเอามานั่งทำเองสิ พอเถอะนุ่น แม่สงสารนุ่น ลงทุนไปไหว้เขาขอให้เขาทำ ช่วยหนูทำหน่อยหนูอยากทำ ถ้าตัวต้นแบบเสร็จ หนูอยากให้ทั้งหมู่บ้านทำ เพราะผักตบมันก็เป็นวัชพืช ถ้ามาช่วยกันหารายได้สร้างรายได้พี่ก็ไม่ต้องออกไปทำงานข้างนอก นุ่นยอมแพ้กับการเปลี่ยนบางอย่าง แม่ก็บอกพอเถอะลูก ตอนนี้ผักตบเต็มบ้าน ผักตบแห้งๆ โปรเจ็คนี้ก็เลยเกิดมาเป็นโปรเจ็คที่ 2 คือทำเชอพ เชอพเกิดจากไปทำรายการพื้นที่ชีวิต มีโอกาสไปน่าน ไปทำสัมภาษณ์ที่บ่อเกลือ

จริงๆ นุ่นเพิ่งรู้ว่าบ่อเกลือมีเกลือ ไม่ได้สนใจเกลือที่นั่นเลย จนวันหนึ่งกลับไปถ่ายรายการพื้นที่ชีวิต คนที่นุ่นสัมภาษณ์เขาเป็นเด็กที่เกิดที่นั่น เคยตักน้ำเอามาต้มทำเกลือขาย แล้ววันหนึ่งก็มาเรียนที่กรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนอก แล้ววันหนึ่งกลับมาสถานที่ที่มีความสุขที่สุดคือบ้าน ก็เลยกลับมาที่บ่อเกลือมาทำรีสอร์ตเล็กๆ พยายามพัฒนาชุมชน อยากทำงานกับคนนี้จัง เขารักบ้านเกิดเขามาก เขาเอามือหยิบเกลือที่เขาโตมาด้วยกันส่งไปแร็บเมืองนอกเพื่อทำวิจัย เขาอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง รู้ไหมสิ่งที่คนไทยไม่รู้คือ เกลือที่นั่นมีความบริสุทธิ์เป็นอันดับ 2 ของเอเชีย เพราะมันไม่มีไอโอดีน มันไม่มีธาตุอื่นๆ บางทีพี่เขาบอกว่ามีชาวเขาเอาไปผสมน้ำราดวัชพืชสิ่งที่มันมีคุณค่า

ซึ่งเมืองนอกเขาซื้อไปทำเครื่องสำอางราคาแพง เราก็รู้สึกว่าไม่ได้แล้ว เผอิญที่นั่นมีสถานที่ที่เขาทำเป็น OTOP กลุ่มชุมชนแพทย์แผนโบราณ เขาทำสครับเราก็เพิ่งจบมาไฟแรง อยากเอาความรู้ที่ตัวเองมีไปช่วย ติดต่อไปติดต่อมาอันนี้เริ่มยาก มันรู้สึกเหมือนโปรเจ็คแรก มันมาติดเรื่องอะไร จากทัศนคติคนหรืออะไร มันก็ไม่เชิงเหมือนกับว่าที่เขาโอเค แต่เราโนเนม เป็นใคร มาทำอะไร มีแบ็คอัพเป็นรัฐบาลหรือ โอ้โฮ คุณเป็นใคร ทำได้หรือ โปรไฟล์เราก็ไม่มี เราเคยเหนื่อยกับโปรเจ็คแรกตอนที่เราขอให้เขาทำ โปรเจ็คนี้เราเลยลองทำกันเองเลย ทำเล็กๆ นี่แหละ ทำให้มันเป็นเหมือนโมเดลต้นแบบ ลองใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น เราลองเอางานดีไซน์มาจับกับสินค้าพวกนี้ดู OTOP มันจะมีภาพๆ หนึ่ง ในมโนภาพแรก มันสามารถไปโกอินเตอร์ได้ไหม มันสามารถไปคุยกับข้างบ้านได้ว่าเราก็ไม่ธรรมดานะ เราก็มีความเป็นไทยอยู่นะ ก็เลยเกิดเชอพขึ้นมา ชื่อเชอพนุ่นก็รังสรรค์มากเลยนะ คิดว่าอยากได้ชื่อไทย แต่มันไม่ไทย แล้วคำว่าเชอพมาจากเพลงไทยพื้นบ้านคือ เชอพ เชอพ เพราะโปรดักส์เรา เราบอกไปเลยไม่เอาบิวตี้

เพราะเรายอมรับความจริง นุ่นบอกว่าพี่ถ้าให้นุ่นไปพรีเซ็นต์ขัดราคา เพราะคนด่าเราทั่วประเทศ คุณขาวตรงไหน แล้วใครจะเชื่อ แต่สิ่งที่เราทำคือ เราใช้ความรู้ของท่านด็อกเตอร์ที่จบเรื่องสมุนไพรไทย ท่านมาทำ ท่านจริงจังเลยนะ เซลล์ผิวเราเมื่อครบ 2 อาทิตย์ก็ค่อยขัด เราไม่ได้แบบฮาร์ดเซล ทุกอย่างมันอยู่ในเหตุและผล นุ่นก็โอเคผลิตภัณฑ์ข้างในเราดี ให้ความรู้สึกเหมือนอาบน้ำ มันเป็นการให้ความสุขของตัวเอง สิ่งที่เราตั้งใจกับโปรเจ็คนี้เพราะว่าสถานที่ที่เราเอามานั้นคือเกลือ ถ้าเราได้เอามาขายจริงๆ รายได้จากการขายส่วนหนึ่งเราจะหักจากกำไร แล้วรีเทิร์นกลับไปยังคนที่เขาขาดก็เอาไปให้เขา ที่เราตั้งใจตัวเกลือนี้เป็นตัวแรก ต่อไปถ้าเราสามารถทำให้คนรู้สึกอยากแบ่งปัน

แต่เราไม่ได้เอาคำว่าแบ่งปันมาเป็นตัวชูโรง เพราะมันจะเหมือนไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงของโลก ใครที่ยังไม่เชื่อว่ามันสามารถแบ่งปันได้ตลอด โปรดักส์มันต้องดีก่อน นั่นคือสาระที่เราจะบอก สมมุติถ้าเราไปทำน้ำมันมะพร้าวที่ภาคใต้ รายได้จากการขายโปรดักส์ที่เอาแมททีเรียลมาจากภาคใต้ เราก็จะไปตั้งกองทุนให้เขา ซึ่งอันนี้เป็นความตั้งใจที่เราอยากทำมาก

 

นุ่น ศิรพันธ์นุ่น ศิรพันธ์

 

คุณมองว่าคนในประเทศของเราให้ลำดับความสำคัญหรือมุ่งเน้นในสิ่งใด ?

มีเรื่องหนึ่งที่นุ่นสนใจตอนนี้ คือเรื่องศาสนา เรื่องธรรมะ นุ่นได้เรียนรู้ธรรมะจากอาชีพการเป็นนักแสดงนี่แหละ คือถ้าเป็นวิศวกร หรือโรงงานน่าจะไม่รู้จักสุขกับทุกข์ที่มันสูงสุดกับต่ำสุดหรือชื่อเสียง คำชื่นชมกับคำนินทาที่มันเป็นลาภ ยศ สรรเสริญที่มันแกว่งได้มากขนาดนี้ อย่างเก่งก็แค่เมาท์กันในโรงงาน แต่อันนี้มันมีอยู่แทบทั่วทั้งประเทศ แค่ลงอินเตอร์เน็ตในพันทิพย์ คนสักกี่คนที่เปิดดูแล้วใครก็ไม่รู้ตั้งเยอะแยะที่เข้ามาคอมเม้นท์ มันทำให้นุ่นคิดว่า ฉันมีหนทางที่ช่วยได้คือเรื่องของธรรมะ พอเราได้เข้ามาศึกษาเรื่องของธรรมะ แล้วก็เข้ามาทำงานรายการพื้นที่ชีวิต ก็ได้ไปเรียนรู้ชีวิต ได้ไปเรียนรู้สัจธรรมบางอย่างที่มันลึกซึ้งมากกว่าการได้อ่านหนังสือ ตอนนี้มันเป็นเหมือนความรู้ที่ได้จากการเอาตัวเองไปปฏิบัติ

แต่สิ่งที่นุ่นอยากให้มันมีมากที่สุดขึ้นจากเมื่อก่อน ตอนนี้มันมีการรณรงค์โปรโมทมากเลย ก็คือ พุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในสื่อที่ได้พูดแล้วก็ประชาสัมพันธ์ แต่สิ่งที่นุ่นอยากพูดคือว่า สุดท้ายแล้วอย่าให้ธรรมะเป็นแค่เปลือก ตอนนี้สังคมไทยเรานับถือศาสนาพุทธเพียงแค่เปลือก จากวัตถุทุกอย่าง ทุกคนกราบไหว้ ทุกคนไปวัดนั้น วัดนี้ เพื่อหาวัตถุมงคล เพื่อความเจริญในหน้าที่การงาน ในลาภยศ ขอให้ถูกหวย หรือแม้แต่พุทธชยันตีซึ่งนุ่นว่ามันดีนะ

แต่สุดท้ายแล้วอยากให้คนเข้าใจถึงแก่นของธรรมะ ของศาสนาพุทธจริงๆ ถ้าเราพูดแบบว่าฉันกรอกในใบสมัครฉันคือศาสนาพุทธนะ อยากให้คนที่พูดว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ เขาได้เข้าใจว่าชาวพุทธที่แท้จริงเขาควรจะเข้าใจศาสนาอย่างไร ธรรมะเป็นเรื่องของธรรมชาติ มันไม่ใช่เรื่องของการกราบไหว้ การบูชา การเชื่อในสิ่งที่มันพิสูจน์ไม่ได้ เรื่องนั้นเราไม่ได้แอนตี้ หรือมีความเห็นแบบเขานะ หรือว่าการพ้นทุกข์หรือหลักแห่งการพ้นทุกข์ของพระพุทธเจ้า ท่านพูดเรื่องของการมีสติ การปล่อยวาง การไม่มีตัวกูของกู ซึ่งนี่มันคือแก่น ในความคิดของนุ่น อันนี้คือคนเหมือนกับจะเข้าไป

อุ๊ย...เปลือกสวยเชียว เดี๋ยวก่อนนะ เดี๋ยวขอติดอยู่ตรงนี้ หรืออารมณ์เปรียบเทียบเหมือนบ้าน ถ้าบ้านคือศาสนาพุทธ ข้างในมีของดีอยู่นะ แต่ว่าชอบสวนมากพี่ สวนพี่แต่งสวยมาก อุ๊ย...ประตูพี่ใช้ของแบบวิลิศมาหรามาก สั่งมาจากเมืองนอกเลยหรือ คือคนส่วนใหญ่ยังเห็นศาสนาเป็นข้างนอกบ้าน บางคนยังติดแค่รั้วเท่านั้น ยังไม่ได้เดินเข้ามาในบริเวณบ้านเลย แต่อยากให้ลองจับลูกบิดแล้วเปิด แล้วเอาตัวเองลองก้าว ลองใช้ตัวเองในการปฏิบัติ แล้วลองก้าวดู เออ...มันเป็นสิ่งที่พูดยาก อยากให้ลองเข้าใจศาสนาเอง เชิงทางจิต ซึ่งไม่ใช่ว่ายังไม่มีใครทำนะ มันก็มีหน่วยงาน มีองค์กรที่กำลังทำ เป็นองค์กรเล็กๆ ที่เหมือนเป็นกระบอกเสียงเล็กๆ ที่ พี่คะทางนี้ค่ะ มันอย่างนี้ อย่างนั้น แต่มันยังไม่ดังพอ แล้วคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้สนใจที่จะหันมาฟังหรือเงียบเสียงลง เพื่อที่จะฟังเพียงเสียงเล็กๆนุ่นคิดว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่อยากจะฝากไว้

ความสุขของคุณในปัจจุบันขณะคืออะไร ?

ตอนนี้หรือ ทุกวันนี้ พูดไปเดี๋ยวหาว่าสร้างภาพ แต่การที่นุ่นไม่สุขไม่ทุกข์นุ่นชอบมากเลยกับการที่อยู่แบบนี้ สมมุตินุ่นคุยงานอยู่ แล้วนุ่นไม่กังวลกับเรื่องงาน ไม่ได้กังวลกับโทรศัพท์ ตะกี้ถ่ายรูปเป็นยังไง ฉันสวยหรือเปล่า อะไรอย่างนี้ คือไม่ได้ยึดติดกับสิ่งดีๆ หรือไม่ได้ยึดติดกับความแย่ อยู่กลางๆ มีสมาธิกับการพูดงาน ถามมาก็ตอบไป ไม่ทุกข์ไม่ร้อนไม่รีบ ถ้าเกิดเป็นเมื่อก่อน กี่โมงแล้วคะพี่ ใจมันจะร้อน ความไม่สบายกายมันเกิดขึ้น เห็นได้ชัดคืออย่างอีแพงดัง คนก็จะหลงใหลมาถามว่าเป็นไงกลับมาแล้ว โอ๊ะ...เราก็ไม่เป็นไรหรอก ตอบจากใจกับทุกคำชม คือว่าเราไม่ฮิตมานานเหมือนเมื่อก่อน

เมื่อก่อนเราก็เป็นคนปกติที่ ‘เพื่อนสนิท' ดังแล้วก็เหลิง ฉันดังจังเลย เธอมีแต่คนรักดากานดา มีแต่คนรักเพื่อนสนิท แล้ววันหนึ่งพอไม่มีละคร หรือถ่ายละครน้อยมาก คนก็พูดว่านุ่นหายไปไหน นุ่นขาลง เราก็จะทุกข์กับคำวิจารณ์หรือแม้แต่ในพันทิพย์ ปากกว้าง ตัวดำ มาเป็นนางเอกได้ยังไง เราก็จะทุกข์กับคำพูดพวกนี้ ซึ่งตอนนี้ถ้าถามว่าเป็นอย่างไร ก็ไม่ยังไง สิ่งเหล่ายังอยู่ไหม ยังมีชมอีแพงก็ชม ช่วงขาขึ้นเล่นมาสุดยอด มันก็เกิดคำวิจารณ์ ปากกว้าง ตัวดำมันก็ยังมีอยู่ ถ้าถามนุ่นทุกข์ไหม นุ่นสุขไหม นุ่นเรื่อยๆ นุ่นชอบนุ่นตอนนี้ที่สุดเลย มันเป็นความปกติที่ทำยากมากกับการที่เราไม่ไปยึดกับเรื่องข้างนอก บางวันทำได้นะที่ไม่พูดแต่ตอนนี้คือบรรลุแล้ว บางวันก็ทำไม่ได้จริงๆ

คือแนวคิดแบบนี้มันเกิดมาจากอะไร คือเกิดจากธรรมะหรือเปล่า อย่างเดียวเลยหรือเปล่า ?

ใช่ แต่การศึกษาธรรมะของนุ่นมันไม่ใช่การอ่านหนังสือตะบี้ตะบัน แต่มันคือการศึกษาตัวเราเอง เพราะธรรมะมันคือเรื่องธรรมชาติ และธรรมะจริงๆ เรียนรู้ได้จากตัวเราเอง ได้เรียนรู้จากความคิดของตัวเราเอง มันไม่ใช่เรื่องที่ติสมากๆเลย สมมุติฟังนุ่นอยู่ บางคนอ่านอยู่คงคิดว่า นุ่นเป็นนางเอกติสแตกไปแล้ว พูดเรื่องธรรมะเรื่องการไม่ยึดติด ซึ่งเปล่ามันเป็นเรื่องปกติมาก

 

นุ่น ศิรพันธ์นุ่น ศิรพันธ์

 

คุณคิดว่าคนจะมองว่าคุณสร้างภาพเพราะว่าอะไร ?

จริงๆ ก็ออกตัวไว้ก่อน ทุกอย่างเป็นเรื่องโพรเท็ก ไม่หรอกเอาเข้าจริงๆ นะ คือนุ่นรู้สึกว่า ถ้าคนจะชอบเรานะ ต่อให้เขาไม่ต้องอ่านบทสัมภาษณ์ เขาก็เลือกที่จะชอบ เลือกที่จะมองมุมอื่นที่จะชื่นชมอย่างอื่น แต่ถ้าคนมันไม่ชอบนะ พูดดีแทบตาย ทำแทบตาย จะทำธรรมะสักร้อยอย่าง ทำดีทุกอย่าง บริจาคทุกอย่าง มันก็ไม่ชมหรอก ดังนั้นช่างมัน

คุณเปรียบเทียบความรักกับผลไม้ เป็นผลไม้อะไร เพราะว่าอะไร ?

สักชนิดหรือ เอาเป็นรสผลไม้รวมได้ไหม หมายถึงว่าถ้าเป็นผลไม้เลย หั่นรวมกันไม่ได้หรือ เพราะความลับมันคือสิ่งนี้จริงๆ (หัวเราะ) อาจจะเป็นฟรุตสลัด จริงๆ คนสองคนเกิดมาไม่มีทางคิดเหมือนกัน ไม่มีทาง ไม่มีทางเห็นเหมือนกัน ไม่มีทางรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ทุกเรื่อง ซึ่งมันก็คือชื่อเสียงของมนุษย์ แล้วการที่มาอยู่ด้วยกัน มันก็ต้องมีการแชร์ริง การแชร์ไอเดีย การแบ่งปันความรู้สึกมันเป็นเรื่องที่หลายรส วันนี้เราอาจจะทำงานอารมณ์ดีทั้งคู่

วันนี้ฉันถ่ายแบบ มีคนชม ฉันอารมณ์ดี เธอไปทำงานมาเธอก็อารมณ์ดี คนอารมณ์ดีกับคนอารมณ์ดีมาเจอกันก็อาจจะเป็นผลไม้หวานอร่อย แต่ถ้าเกิดว่าวันนี้ฉันอารมณ์เสีย เธอก็อารมณ์เสีย มันอาจจะเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวมากๆ แต่สุดท้ายแล้วความรักมันก็คือ รสรวมๆ วันนี้สุข วันนี้ทุกข์ วันนี้มีรสชาติ บางวันเหนื่อยทั้งคู่มันมีนะ เหนื่อยทั้งคู่แล้วก็นั่งมองหน้า นั่งดูทีวีแล้วไม่พูดกันเลยเป็นชั่วโมง ต่างคนต่างเหนื่อยก็จะเป็นผลไม้ที่ไม่มีรสชาติ อาจจะเหมือนฝรั่งที่แบบจะหวานไหมมันก็เหมือนจะหวาน มันก็คือผลไม้ หลายอย่างในตัวของคนสองคน

Ouote

"ถ้าถามนุ่นทุกข์ไหม นุ่นสุขไหม นุ่นเรื่อยๆ นุ่นชอบนุ่นตอนนี้ที่สุดเลย มันเป็นความปกติที่ทำยากมาก"

"สุดท้ายแล้วอย่าให้ธรรมะเป็นแค่เปลือก ตอนนี้สังคมไทยเรานับถือศาสนาพุทธเพียงแค่เปลือก จากวัตถุทุกอย่าง ทุกคนกราบไหว้ ทุกคนไปวัดนั้น วัดนี้ เพื่อหาวัตถุมงคล เพื่อความเจริญในหน้าที่การงาน ในลาภยศ ขอให้ถูกหวย หรือแม้แต่พุทธชยันตีซึ่งนุ่นว่ามันดีนะ แต่สุดท้ายแล้วอยากให้คนเข้าใจถึงแก่นของธรรมะ ของศาสนาพุทธจริงๆ"

"นุ่นมีความเชื่อลึกๆ ว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดใครได้ ต่อให้นุ่นพูดสัมภาษณ์หนังสือ 10 เล่ม พูดโฆษณาออกสื่อว่า "พี่คะหันมาทำความดีกันเถอะ" มันจะไม่เกิดอะไรขึ้น ถ้าเขาฟังแล้วไม่รู้สึกกับมัน แล้วเขาก็ไม่ได้ทำ ทุกคนในสังคมมันต้องเห็นในจุดเดียวกัน แล้วเกิดการแอ็คชั่น แล้วก็เกิดการเปลี่ยนแปลง"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook