7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ (ตอนที่1)

7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ (ตอนที่1)

7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ (ตอนที่1)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ

ณัฐภณ  วุฒิกานากร (เอ..บ้านผางาม รีสอร์ท) ... เรื่อง / ภาพ

     คำกล่าวที่ว่า Alaska is the last frontier of the world ก็คงไม่ผิดความจริงมากหรอกครับ จากสถานการณ์สิ่งแวดล้อมโลกปัจจุบันในทุกๆที่กำลังถูกคุกคามจากหลายด้าน ซึ่งสาเหตุหลักคงหลีกเลี่ยงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ก็คือ มนุษย์เรา หรือให้ชัดๆ ก็คือ พวกเราเองนี่แหละครับ ไม่ว่าจะโดยทางๆใดก็ทางหนึ่ง แล้วจะมีที่ไหนกันที่รอดพ้นจากความเจริญ และการรุกล้ำของมนุษย์ หากไม่ใช่สถานที่ที่มีความกันดารสุดขีดทั้งจากสภาพพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก และสภาพอากาศที่เย็นสุดขั้วหัวใจอย่าง อะลาสก้า

      และผมต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่า เรื่องราวที่นำมาเล่าสู่กันนี้ ไม่ได้เป็นการส่งเสริมให้คนไทยออกมาเที่ยวต่างประเทศ จนขาดดุลเงินตราในประเทศ ผมยังยืนยันสนับสนุนคนไทยว่า เที่ยวที่ไหน ไม่สุขใจเท่าบ้านเราครับ เพราะไม่มีชาติไหนให้บริการได้ดีเท่าคนไทย (อันนี้มั่นใจ 100 % ครับ) เพียงแต่ผมบริหารธุรกิจส่วนตัวของครอบครัว เมืองผจญภัยผางาม จึงมีความจำเป็นที่จะต้องค้นหาประสบการณ์ผจญภัยจากทั่วโลก  เพื่อนำมาประยุกต์สร้างกิจกรรมผจญภัยใหม่ๆ ในเมืองไทย ครับ

      การเดินทางของผม เริ่มต้นขึ้น จากการร่วมเดินทางในเรือสำราญที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเรือที่มีขนาดใหญ่ลำล่าสุด นั่นคือ SAPPHIRE PRINCESS ด้วยขนาดของลำเรือที่มีระวาง 100,900 ตัน  และสูงเท่ากับตึก 16 ชั้น จุผู้โดยสารได้ 2600 กว่าคน มีความรู้สึกเหมือนกับอยู่บนอาคารสูงขนาดยักษ์เคลื่อนตัวอยู่กลางทะเล ที่เพียบพร้อมไปด้วยสุดยอดความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็น ห้องอาหารระดับหรูถึง 5  ภัตตาคาร (บางภัตตาคารเปิดให้รับประทานอาหารได้เต็มที่ตลอด 24 ชั่วโมง ), โรงละครขนาดยักษ์ที่จัดเตรียมการแสดงระดับ Boardway ทุกคืน , Fitness, Spa, Casino และอื่นๆ กัน ทำให้ผมเริ่มกลับมาตั้งคำถามกับตัวเอง ซึ่งเป็นคนที่ชอบเที่ยวแบบเรียบง่าย สบายๆ ว่า ในความศิวิไลซ์สุดโต่ง กับการไปท่องเที่ยวในแหล่งพรมแดนธรรมชาติสุดท้าย อย่างนี้ มันเป็นสิ่งที่ไปด้วยกันได้หรือเปล่า อะไรคือสิ่งที่คนเราต้องการในชีวิตของเรามากกว่ากัน

คำตอบของผมอยู่ในระหว่างการเดินทางนั่นเองครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเล่าให้ฟังถึงรายละเอียดในแต่ละวันเลยละกันครับ

      ในการเดินทางครั้งนี้ของผมนั้น ร่วมเดินทางไปกับคุณแม่ครับ โดยผมรับหน้าที่หลักในการจัดการการเดินทางให้ราบรื่นตลอดทั้งทริป ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง หรือตกหล่น (เพราะขึ้นเรือไม่ทัน ) โดยเด็ดขาด ซึ่งการเดินทางในวันแรกนั้น ยังคงวุ่นวายอย่างมากกับการเช็คผ่านศุลกากรก่อนขึ้นเรือ ซึ่งเป็นโชคดีของเราคนเอเชีย ที่ไม่ต้องต่อคิวมากครับ เพราะไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวมากเท่ากับคนในประเทศของเขา (อเมริกา) ซึ่งการท่องเที่ยวแบบล่องเรือสำราญ (Cruise)นั้น เป็นการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ ( 60 ขึ้นไปครับ ) ตามแนวคิดที่ชาวอเมริกันมักจะทุ่มเททำงานหนักในวัยทำงาน เพื่อพักผ่อนในยามเกษียน แต่สำหรับผม การเดินทางทุกครั้ง เป็นเหมือนกับการเรียนรู้ที่ประเมินค่าไม่ได้ ทำให้พบผู้คนและประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ ที่อาจจะหาไม่ได้อีกในชีวิต จึงต้องตักตวงให้มาก และต้องในตอนที่ยังมีพละกำลังอยู่ด้วย ( 60 คงไม่ไหวครับ แฮะๆ )
      พอขึ้นเรือมาอย่างฉิวเฉียดเวลา เก็บข้าวของเสร็จแล้ว ก็รีบขึ้นมาที่หัวเรือเพื่อชมบรรยากาศตอนช่วงเรือออกครับ มันเหมือนตึกหมุนไปช้าๆบนกลางทะเลจริงๆ และแล้วการผจญภัยของผม (และคุณแม่) ก็เริ่มต้นขึ้นแล้วครับ ที่น่าตื่นเต้นมากๆ ก็เพราะเป็นครั้งแรกที่จัดการการเดินทางเองด้วยภาษาอังกฤษที่ถึงแม้พอจะมีทักษะอยู่บ้าง แต่ในระดับที่สามารถสื่อสารให้ได้เนื้อหา เต็มร้อย ก็ยังต้องอาศัยการปรับตัวพอสมควรครับ และยังรวมถึงความโครงเครงของเรือในวันแรกเมื่อออกสู่กลางทะเลที่ห่างฝั่ง ประกอบกับอยู่บนชั้นเรือที่สูงและอยู่ใกล้หัวเรือ (เพราะจองเรือได้เป็นห้องสุดท้ายในตำแหน่งที่ไม่ค่อยดี)  ทำให้มีอาการเมาเรือตลอดคืนอย่างเห็นได้ชัด จึงทำให้วันแรกของเราผ่านไปอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ตอนกลางคืนมีนัดรวมที่โรงหนังเพื่อบรรยายการใช้ชูชีพ และข้อห้ามต่างๆบนเรือ เช่น การห้ามโยนบุหรี่ออกนอกตัวเรือ (ลมจะพัดย้อนเข้าหาตัวเรือ ซึ่งทำให้เกิดอัคคีภัยได้ ) โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำตามจุดอย่างใกล้ชิดเพื่อคอยสอนการใช้อุปกรณ์ และควบคุมการ Flow การเดินออกเหมือนเป็นการฝึกทางหนีไฟไปในตัว  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญและใส่ใจในเรื่องของความปลอดภัยเป็นอย่างมากครับ

     ในวันที่สอง เป็นวันเดินทางตลอดทั้งวันครับ ไม่มีขึ้นฝั่งเลย จึงมีกิจกรรมอัดแน่นตลอดทั้งวัน ทั้งลำเรือ มีเครื่องมือพิเศษในมือผมเพียงชิ้นเดียว ที่เรียกว่า Princess Platter หรือ วารสารของทางเรือ ซึ่งจะส่งมาวันต่อวัน และบอกสถานที่และเวลา รวมถึงประเภทของกิจกรรม ไล่เลียงมาตั้งแต่ เรียนทำอาหาร / เพ้นท์เซรามิค / เรียน Line Dance / ฉายหนังสารคดี / ฟังบรรยายสถานที่เที่ยวที่เราจะไป / ฝึกโยคะ / ฟังเลคเชอร์เรื่องสัตว์ป่า ดูแกะสลักน้ำแข็ง / เรียนถ่ายภาพ / ฯลฯ เรียกว่า วันเดียวคงร่วมกิจกรรมไม่หมด ก็เลือกตามความชอบและความถนัด บางกิจกรรมต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วยครับ ในวันนี้ ยังเป็นวันที่บังคับให้เราต้องมาในชุดสูทและชุดราตรีตอนกลางคืน เพื่อมาร่วมงานรับประทานอาหารค่ำอย่างเต็มรูปแบบอีกด้วยครับ

     โดยจะมีการเสริฟอาหารสี่อย่างตั้งแต่ Appetizer (รองท้อง) จานกลาง สลัด อองเทร์ (จานหลัก) ตบท้ายด้วยของหวาน ต้องแต่งตัวผูกไท ใส่สูทเต็มยศ และนั่งรออาหารออกมาทีละอย่างหลังจากเลือกสั่งในช่วงแรกแล้ว อาหารรสชาติดีสุดยอดครับ บางมื้อมี Lobster ด้วย แต่ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าจะออกครบทุกเมนู ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าชอบความสะดวกสบาย การรับประทานแบบบุฟเฟต์ 24 ชั่วโมงในเรือ  แบบไม่ต้องมีการนัดหมายเวลา น่าจะสะดวกกว่าครับ

     การผจญภัยจริงๆ จึงเริ่มในวันที่สามครับ ผมเริ่มรู้สึกเริ่มชอบล่องเรือในทริปไปอลาสก้า ครั้งนี้แล้วล่ะครับ ข้อดีของการท่องเที่ยวแบบเรือสำราญ หรือ Cruise ก็คือ ประหยัดเวลาในการเก็บสัมภาระเข้าๆออกๆ  หรือย้ายโรงแรมในแต่ละเมืองไปมาก ( เพราะนอนในเรืออย่างเดียวตลอด 7 วันเลยครับ ) ทำให้เรามีเวลาสนุกสนานกับท่องเที่ยวของเราได้เต็มที่ ตื่นเช้ามาก็ถึงเมืองท่องเที่ยวพอดี  โดยเรือจะจอดในแต่ละเมืองท่าทุกเช้าไม่ซ้ำกัน และพอจอดปุ๊บก็ต้องรีบไปหาทัวร์ที่เราจะไปติดต่อด้วยตัวเองให้ทันเวลา ท่องเที่ยวผจญภัยให้สมอยาก และกลับมาขึ้นเรือให้ทัน  จึงจะออกเดินทางเพื่อไปโผล่ที่เมืองท่าต่อไปในเช้า/สายของวันถัดมาครับ ซื้อโปรแกรมท่องเที่ยวเยอะก็ต้องทำเวลากันหน่อย รวมถึงเสียค่าใช้จ่ายสูงขึ้น แต่ถ้าตั้งใจไปหาประสบการณ์ ผมก็ว่าคุ้มครับ

     ในวันที่สาม เรือของเราได้จอดที่เมืองท่า KETCHIKEN (เก็ท-ชิ-เก้น) เป็นเมืองท่าในอดีตครับ ได้แวะ Creek Street ซึ่งถือเป็นจุดท่องเที่ยวที่สวยงาม เพราะเป็นเมืองที่สร้างติดกับหน้าผาริมแม่น้ำ (จึงเป็นที่มาของชื่อครับ) สินค้าของอลาสก้า จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวครับ ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเป็นสินค้า Made โดยคนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาเอสกิโม / กระดูกปลาวาฬแกะสลัก หรือ อัญมณีเครื่องเงิน ซึ่งมีอยู่มากในเมืองนี้ครับ และสินค้าในแต่ละเมืองจะไม่ค่อยเหมือนกันด้วยครับ แต่ต้องยอมรับว่า สินค้าราคาสูงมากๆ เพราะอลาสก้า สามารถรับนักท่องเที่ยว ได้เป็นฤดูกาลเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น (ในช่วงที่หนาวจัดจะไม่เหมาะต่อการท่องเที่ยว ) ดังนั้นราคาจึงต้องคุ้มค่าพอที่เขาอยู่รอดได้ตลอดปี
     ตอนบ่ายต้องไปตะลุยทัวร์ด่านเชือกคนเดียว ในโปรแกรม Rope & Zip Line บอกได้เลยว่าเสียวสุดยอด เห็นไม่สูงมาก และขนาดผมซึ่งคุ้นเคยกับความสูงก็ต้องบอกเลยว่าไม่ง่ายและเสียวจริงๆ   ตอนเล่นอยู่ตกใจมากครับเพราะมีเสียงโหวกเหวกโวยวาย สาเหตุมาจากมีฝูงอินทรีหกตัว ตีปีกลงพักเกาะเหนือหัวเราถึงหกตัว ตัวใหญ่ครับ ทำให้เราได้ใกล้ชิดสัตว์ป่าและสัมผัสความเป็นธรรมชาติของป่าอลาสก้าจริงๆ ครับ

    การบริหารเวลาเรื่องทัวร์ที่นี่เนี่ยดีมากๆ มีการรับและส่งต่อจากหัวเรือ ถึงสถานที่เที่ยว ระหว่างทางคนรถพร้อม headphone บรรยายแบบชัดเจน ถึงรายละเอียดเมืองรอบข้างและสถานที่ที่จะไป (ใช้คุ้มมาก) ส่งต่ออย่างดีนัดเวลากันก่อนกลับ ซึ่งการขึ้นรถที่นี่ต้องบอกว่า เรามาก่อนของก่อนเวลานัดดีที่สุด เช่น รถออก 5.30 ในตั๋วจะเขียนว่าพบกัน 5.20 เราควรมาถึง 5.10 เพราะตอน 5.20 คนมาขึ้นรถกันเกือบครบ ขาดไปหนึ่งคน พอเช็คแล้ว 5.29 ยังไม่มา เขาก็ทิ้งเลยครับ เยี่ยมที่สุด บางวันมีคนมาสุดท้ายตอน 5.25 เขาก็สาปแช่งกันทั่วรถและจะพูดนินทากันว่าไปไหนนะ บ้างก็ทำไมเราต้องรอเขา กับอีกคนก็ตะโกนบอกไปเถอะ  แต่พอคนสายสุดที่มา late ก่อนเวลานัดขึ้นมาถึง ก็ยังดีนะครับ ที่ทุกคนก็แค่พร้อมใจกันปรบมือต้อนรับอย่างสนั่นกึกก้อง ถ้าผมเป็นคนมาสายผมคงโดดน้ำตายเลยหล่ะ ดีนะครับ เห็นเชือดไก่ให้ลิงดูตั้งแต่วันแรก   (มีแต่วันแรกเท่านั้นแหละที่ราบเรียบที่สุด วันอื่นๆนี่ผมเฉียดเกือบสายสุดทุกวัน เพราะมันออกจากศุลกากรในเรือลำบากจริงๆ การลงท่าทุกครั้งถือว่าออกจากชายแดนอเมริกาเข้าอลาสก้า/แคนาดา  ตอนเข้าก็ต้องตรวจเอ็กซเรย์โลหะทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยเรื่องการก่อวินาศกรรมบนเรือ ดูคิวขึ้นเรือในภาพละกันนะครับ ฉะนั้นเราแทบต้องเตรียมตัวเมื่อเรือจอดก่อนทัวร์ออกอย่างน้อย 1 ชั่วโมงทุกครั้ง ซึ่งก็มีข้อดี เพราะทำให้ผมเป็นคนตรงเวลาขึ้นเยอะเลย )

 

     ในวันที่สี่ตอนเช้าตรู่เลยครับ เราล่องเรือผ่านเส้นทางทะเลระหว่างช่องเขา ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดชมภูเขาน้ำแข็ง (Ice Burg) ก้อนมหึมามากมาย ซึ่งเป็น Hi- Light ของโปรแกรมเรือ Inside Passage ที่เราเลือกมาท่องเที่ยวในครั้งนี้ ถ้าโชคดีเราจะได้เห็นจังหวะที่ภูเขาน้ำแข็งกำลังถล่มลงมาจากข้างหุบเขาด้วยเสียงดังสนั่นเมื่อกระทบกับผิวน้ำเหมือนระเบิดลูกใหญ่ ถือได้ว่าเป็นโอกาสที่ยากมากครับ  บางครั้งอาจจะต้องไปรอกันเป็นหลายชั่วโมงครับ
ซึ่งโชคร้ายที่ในช่วงที่ผมไปอากาศค่อนข้างอบอุ่น นอกจากจะไม่ค่อยมีภูเขาน้ำแข็งแล้ว บริเวณภูเขารอบก็ไม่มีธารน้ำแข็งให้เห็นอีกด้วย แต่ก็ยังมีความโชคดีแฝงอยู่ครับ เพราะอากาศ ณ เวลานั้น ก็ถือว่าสาหัสสากรรจ์อยู่มาก จริงอยู่ว่าอุณหภูมิไม่ต่ำมาก คือ ยังไม่ถึง 0 องศา แต่ด้วยความแรงลมจัดทำให้ผมมีความรู้สึกปวดหูและจมูกอย่างสุดขีด จึงสามารถออกมาบริเวณด้านนอกได้แค่ประมาณไม่เกิน 20 นาที
     แต่ที่โชคดีสุดๆหนึ่งในล้านก็คือ ได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ที่คาดว่าในชีวิตนี้คงจะไม่ได้เจออีกแล้วก็คือ ในวินาทีที่กลับเข้ามานั่งพักทานกาแฟในบริเวณตัวเรือ และกำลังคิดถึงคนไทยและประเทศไทยอย่างมากๆ สิ่งที่ทำให้รำลึกถึงเมืองไทยมากที่สุดก็ลอยผ่านมาตรงหน้าผม จนผมอดไม่ได้ที่จะรีบเก็บภาพนี้มาฝากทุกๆคน ลองดูในภาพเองนะครับ

    ในช่วงบ่ายของวันที่สี่ ผมได้แวะลงที่เมือง Juneua (จูโน่) เพื่อชมสิ่งมหัศจรรย์อยู่สองอย่างครับ (เนื่องจากโปรแกรมแน่นมาก เพราะจะต้องเที่ยว 2 ทัวร์ให้เสร็จในเวลา 4 ชั่วโมง ถ้ากลับมาไม่ทัน ก็อาจจะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างที่สาม ก็คือ จะกลับบ้านอย่างไรโดยไม่มีเรือ ครับ )

    สิ่งแรก คือ การขึ้นทัวร์เครื่องบินน้ำเพื่อไปชม เกรเชอร์ - ธารน้ำแข็งล้านปี (Glacier) ซึ่งอาศัยการก่อตัวจากหิมะที่อัดแน่นจนกลายเป็นน้ำแข็ง ไหลผ่านกาลเวลาอย่างเชื่องช้าเป็นเวลานับล้านปี จนก่อเกิดธรรมชาติที่น่าชมและตื่นตาอย่างไม่รู้ลืมครับ การเดินทางเริ่มต้นจากนั่งรถไปรอที่ท่าเรือบินน้ำซึ่งมีเครื่องบินน้ำจำนวน 10 ลำ บินวนขึ้นวนลงสลับกันทุก 5 นาที เพื่อรับผู้โดยสารประมาณ 6 คนต่อลำเพื่อจะบินเลียดเมือง ลัดสู่หุบเขาธารน้ำแข็งล้านปีในเวลา 15 นาที รวมเวลาชมและไป-กลับ ประมาณ 45 นาทีครับ ระหว่างการบินจะมีเสียงบรรยายภาษาอังกฤษ ถึงธรรมชาติการเกิดธารน้ำแข็ง และ วัฒนธรรมรวมถึงผู้คนในเมืองจูโน่ ทำให้เราเรียนรู้จักผู้คน การทำมาหากินของเขา และประวัติศาสตร์การกำเนิดเมืองด้วยครับ

     เมื่อบินมาถึงธารน้ำแข็งล้านปี ต้องขอบอกว่าเป็นสิ่งที่ผมประทับใจมากครับ การได้มาเห็นประติมากรรมธรรมชาติที่ก่อตัวขึ้นอย่างเชื่องช้าและงดงามขนาดนี้ ทำให้เราเรียนรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่บอกให้เรารู้ว่า เราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวจ้อย ที่เป็นเพียงส่วนประกอบส่วนน้อยของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่  การดำเนินชีวิตของเราควรให้ความเคารพกับธรรมชาติมากขึ้นกว่านี้ในทุกๆด้าน เพียงแค่คิดว่าหากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นอีกนิดและธารน้ำแข็งเหล่านี้ละลายมากขึ้นสู่ท้องทะเล ซึ่งจะมีผลกระทบต่อภาวะแวดล้อมโลก ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ Nature strike back หรือ ธรรมชาติเอาคืน ( อันนี้ผมตั้งเองนะ) ในรูปแบบไหนบ้าง และที่สำคัญ ความสวยงามเหล่านี้ ผมเองก็คนหนึ่งที่อยากจะมีส่วนร่วมในการรักษา เก็บไว้ให้ลูกหลานได้มีโอกาสชื่นชมต่อไปด้วย

     สิ่งที่สอง ก็คือ การได้ล่องเรือติดตามชมการใช้ชีวิต ปลาวาฬ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่ง ผมต้องเดินทางไปขึ้นเรือในท่าเรือที่ค่อนข้างห่างไกลจากที่เดิมมาก โดยไปขึ้นเรือเร็ว 2 ชั้น ซึ่งมีกระจกใสรอบเรือ ทำให้สามารถสังเกตเห็นการปรากฏตัวของปลาวาฬได้จากรอบลำเรือเลยครับ สภาพบนเรือค่อนข้างสะดวกสบาย เพราะจัดเป็นเรือภัตตาคารแบบง่ายๆ และมีอาหารอร่อยครับ  ระหว่างเดินทางสามารถรับประทานอาหารเย็นได้เลย ระหว่างนั้นพอเรือเจอปลาวาฬก็หยุดดูได้ทันที ซึ่งการท่องเที่ยวเพื่อชมชีวิตสัตว์ป่าในต่างประเทศนี่ดีมากเลยครับ มีระบบจัดการท่องเที่ยวในเชิงนิเวศน์ ซึ่งคำนึงถึงการกระทบสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดและรักษาให้ยั่งยืน เพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ได้อย่างตลอดไป เนื่องจากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวในแต่ละวัน ซึ่งจะก่อให้เกิดความเครียด และส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของปลาวาฬ ทั้งในด้านพฤติกรรมการหากิน / อพยพ / แพร่พันธุ์ จึงมีการกำหนดเวลาในการชมของเรือแต่ละลำว่า จะใช้เวลาหลังจากเจอปลาวาฬไม่เกิน 30 นาที ทำการเดินเรือในแนวขนานกับการว่ายของปลาวาฬและต้องรักษาระยะห่างในแนวรัศมีประมาณ 100 เมตร (หากข้อมูลระยะทางคลาดเคลื่อนต้องขออภัยด้วยครับ) และต้องทำการดับเครื่องทันทีหากปลาวาฬปรากฏตัวหรือเคลื่อนที่เข้าใกล้กว่าระยะที่กำหนด

    ในที่สุด เราก็ได้เจอปลาวาฬหลังค่อม (Ham-Back Whale) เป็นตัวแรกเลยครับ ในระยะที่ใกล้ที่สุด ซึ่งจะปรากฏตัวโดยการพ่นน้ำขึ้นเป็นฝอยน้ำสูง และดำผุดขึ้นมาประมาณ 3- 4 ครั้ง  โดยเว้นระยะเวลาแต่ละครั้งประมาณ 2-3 นาทีครับ ก่อนที่จะดำลงครั้งสุดท้าย (Terminal Drive ) โดยจะมีลักษณะพิเศษที่โก่งหลังขึ้นโค้งสูงเป็นพิเศษ และโผล่ครีบหางสูงขึ้นมา อันเป็นสัญลักษณ์ว่า จะทำการดำลงลึกแล้วในครั้งนี้ จากนั้นจึงอาจจะโผล่อีกตำแหน่งที่ต่างกัน จากการโผล่ครีบหางให้เห็นในครั้งสุดท้ายนี้ ทำให้เราสามารถบอกลักษณะเด่นของปลาวาฬแต่ละตัวได้เลยครับ   โดยที่ท้ายเรือจะมีแผนผังภาพครีบหางและชื่อของปลาวาฬนั้นๆครับ เจ้าตัวที่โผล่มาให้เห็นนี้ ยังโผล่มาให้เห็นในอีก 4 ครั้งในตำแหน่งที่ไม่ซ้ำกัน ซึ่งต้องใช้ความร่วมมือของลูกเรือทุกคนและกัปตันในการช่วยติดตามปลาวาฬ ซึ่งระยะทางก็ค่อยๆห่างไปเรื่อยๆครับ ไม่น่าเชื่อว่า ขนาดเราเป็นเรือเร็วมาก สัตว์โลกขนาดใหญ่ตัวนี้กลับเคลื่อนที่ด้วยความเร็วกว่ามากจริงๆ ทั้งๆที่ตอนโผล่ตัวจะดูเคลื่อนไหวไม่ค่อยเร็วมาก จนถึงระยะเวลาที่กำหนด เราจึงเดินทางกลับกัน เพื่อไม่เป็นการรบกวนปลาวาฬมากนัก

เรื่องที่เกี่ยวข้อง 7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ (ตอนจบ) คลิกที่นี่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook