7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ (ตอนจบ)

7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ (ตอนจบ)

7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ (ตอนจบ)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ (ตอนจบ) 

ณัฐภณ  วุฒิกานากร (เอ..บ้านผางาม รีสอร์ท) ... เรื่อง / ภาพ 

 

     ระหว่างทาง ทางกัปตันก็ใจดี พาเราไปเยี่ยมหอประภาคารที่เป็นจุดพักประจำของกลุ่มแมวน้ำ/สิงโตทะเล และอินทรีย์หัวขาว (ล้าน) หรือ Bald Eagle ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศอเมริกา 
ได้เห็นกลุ่มแมวน้ำนอนขี้เกียจ และดำผุดดำว่ายก็สร้างความประทับใจให้กับผมมากครับ ได้มาเรียนรู้จักชีวิตสัตว์โลกต่างแดน และให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งผมและคุณแม่ก็มีความสุขมากๆ และเดินทางกลับมาถึงเรือของเราได้ทัน เพียง 5 นาทีก่อนเรือจะออกจากท่า 

       ในวันที่ห้า เรามาตื่นเช้าที่เมือง Skagway (สะ-แก๊ก-เวย์) เลยครับ ซึ่งวันนี้ เราจะได้เดินทางไปในสองแห่ง นั่นก็คือ 

       การชมเส้นทางสายประวัติศาสตร์โดยทางรถไฟสาย White Pass ชื่นชมธรรมชาติของเทือกเขาหิมะในอลาสก้า ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการเดินทางสายหลักใน อลาสก้าในอดีตเลยครับ เป็นเส้นทางสายคลาสสิกที่มีทิวทัศน์บรรยากาศรอบข้างงดงามจริงๆครับ ซึ่งจะมีการบรรยายถึงจุดที่ผ่าน ถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ หรือ จุดชมทิวทัศน์ ผ่านทางลำโพงตลอดทั่วทั้งรถไฟ โดยที่ไม่ต้องมีมัคคุเทศก์คอยดูแลครับ ส่วนใหญ่จึงเป็นการใช้เวลาผ่อนลานให้กับตัวเราเอง ให้เวลาผ่านไปตามเส้นทางการเดินทาง ทำให้อดที่จะร้องเพลง "นักแสวงหา" ในต่างแดนไม่ได้ ลองนึกตามดูนะครับ ".....ผจญโชคผจญภัย ตามทางรถไฟไปส่ง... เพราะยังเป็นหนุ่มจะงอมืองอเท้ารอคอยคงไม่ไหว จึงต้องไปเป็นหนุ่มนักแสวงหาให้ได้ดี ในดวงตามีแต่ความหวัง ทุกทุกคนต่างมีความหวัง จึงมีความหวังเต็มคันรถไฟ หัวใจเบ่งบาน...." ชีวิตแห่งการเดินทางให้ความสุขกับคนที่มีอิสระในหัวใจเสมอครับ ชีวิตที่มีความสุขง่ายๆกับสิ่งรอบข้างและใฝ่หาการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ผมยึดมั่นมาตลอดครับ ทำให้รู้สึกว่า ชีวิตเราขึ้นอยู่กับใจเรา จะทำให้ง่ายก็ง่าย จะทำให้ยากก็ยาก ทุกเรื่องนะครับ อยู่ที่ใจเราคิด 

       การเรียนรู้อีกบทอยู่ในช่วงบ่ายครับ นั่นคือ การไปเยี่ยมค่ายสุนัขลากเลื่อน และนั่งรถเลื่อนโดยหมู่สุนัขขั้วโลก ทำให้ผมเรียนรู้อีกครั้งครับว่า ชีวิตบางคน สำหรับเรา ก็ดูไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย  แม้ว่าเขาจะพยายามทำให้มันเป็นเรื่องง่ายขึ้น เข้าสู่เรื่องทัวร์ก่อนนะครับ ในวันนี้ผม และคุณแม่ต้องเดินทางด้วยรถบัสประมาณเกือบชั่วโมง มุ่งสู่แคมป์สุนัขขั้วโลก ( Husky Siberian ) สิ่งที่ผมชื่นชอบเมื่อแรกถึงแคมป์เลยก็คือ พวกฝูงหมาหน้าบึ้งขนฟูทั้งหลายที่ถูกผูกติดอยู่กับบ้านของเขา จำนวนกว่า 50 ตัว เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสัมผัส / ลูบหัว และถ่ายรูปคู่กันอย่างหนำใจครับ (แม้ว่าพวกฝูงหมาจะผอมลงในหน้าร้อน  ก่อนที่จะถูกขุนให้ฟูเพื่อมีความอบอุ่น และพละกำลังต่อการลากเลื่อนในหน้าหนาว ) ก่อนที่จะแยกนักท่องเที่ยวไปนั่งรอในรถลากและล่ามฝูงสุนัขจำนวนประมาณ 12 ตัวต่อคันในการลากเลื่อนแต่ละคัน 

      ในที่สุดผมก็กำลังจะมาถึงหนึ่งในความใฝ่ฝันของผมแล้วครับ นั่นคือ การได้นั่งรถเลื่อนลากโดยฝูงฮัสกี้ที่น่ารักกลางหุบเขาหิมะเย็นสุดขั้วด้วยความเร็วสูงสุด ก่อนที่ผมจะตื่นมาสู่ความเป็นจริงตรงหน้ากับ รถลากเหล็กกล้าดัดแปลงขนาดนั่งได้หกคน และติดด้วยล้อรถโฟร์วีลสี่ข้าง เนื่องจากในหน้านี้เป็นหน้าร้อนครับจึงไม่มีหิมะให้เห็นซักปุย แน่นอนครับ ยังใช้พลังฝูงหมาในการขับเคลื่อนเหมือนเดิม  ซึ่งระยะเวลาทั้งหมดในการลากเลื่อนขึ้นลงเขาอยู่เพียงประมาณ 10 นาที ครับ เพื่อไม่ให้น้องหมาๆ (ซึ่งผอมโซอยู่แล้ว) ต้องเหนื่อยเกินไป 

       แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังเลยครับ เมื่อผมได้เห็นการทำงานที่เป็นมืออาชีพ ในขบวนการนำเที่ยวรถเลื่อนสุนัขนี้  ประกอบด้วยทีมงานมากมายที่คอยควบคุมดูแลพฤติกรรมสุนัขไม่ให้ทะเลาะกันตลอดเส้นทางขึ้นเขาที่ค่อนข้างชัน ,ทีมรถ 4WD ที่มาช่วยลากเลื่อนที่ติดระหว่างทางขึ้นเขา,นายบังเหียน (Musher)  และผู้ช่วยที่ต้องเข้าใจพฤติกรรมสุนัขเป็นอย่างดี เพื่อให้การเดินทางของคณะเราในแต่ละเลื่อนเดินทางด้วยความสนุกสนาน และเหนือสิ่งอื่นใด คือ ต้องปลอดภัย! และเหตุผลของเขาที่จัดการท่องเที่ยวในหน้านี้ก็เพื่อ หารายได้เพื่อเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน และเลี้ยงดูสุนัขทั้งหลายตลอดฤดูกาล และค่าใช้จ่ายต่างทั้งหมด เพื่อการแข่งขันซึ่งสูงมากครับ ที่แน่นอนเลยก็คือ ถ้าไม่สามารถชนะในการแข่งขันในอันดับไหนได้  ก็จะไม่มีรายได้อะไรอีกเลย จึงทำให้เขาต้องจัดการท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ในแบบนี้ครับ เขาก็อยากให้นักท่องเที่ยวมามีประสบการณ์ในฤดูหนาว แต่ด้วยอุณหภูมิที่สาหัสถึงขั้นต่ำกว่า 0 องศา และหิมะ รวมถึงพฤติกรรมสุนัข จะทำให้เขาไม่สามารถควบคุมความปลอดภัยได้เช่นนี้ จึงเป็นที่เข้าใจได้อย่างดีครับ และไม่ได้ผิดหวังแต่อย่างใด 

       เมื่อมีโอกาสได้เข้าฟังการบรรยายถึงชีวิตการแข่งขันของนายบังเหียน หรือ มัชเชอร์ ที่แคมป์ (คนที่บรรยายนี้เคยติดอันดับ 1ใน 3 อันดับโลกครับ) ยิ่งรู้สึกประทับใจมากขึ้นไปอีกครับ เพราะคิดว่า  นี่คงเป็นหนึ่งในอาชีพประหลาดที่ลำบากที่สุดในโลกเหมือนกัน แต่ละคนต้องมีความพร้อมร่างกายอย่างสูงสุด และทุ่มเททุกอย่างเพื่อเป้าหมาย และสุนัขของเขาจริงๆ  ตลอดการแข่งขันต่อเนื่องประมาณ 10 วันถึงสองสัปดาห์ ที่ต้องเดินทางติดต่อกันอย่างต่อเนื่องในสภาพพื้นที่ทุรกันดาร และสภาพอากาศที่แสนสาหัส มัชเชอร์คนนี้ เคยนอนเพียงชั่วโมงเดียวในบางคืนเพื่อเร่งทำเวลาให้ได้น้อยที่สุด,  ตัดสินใจตัดผ่านเส้นทางลัด ซึ่งเป็นแม่น้ำเก่าซึ่งอาจจะถล่มระหว่างการเดินทาง,สละที่นอนพร้อมที่คลุมในรถเลื่อนเพื่อรักษาความอบอุ่นให้สุนัขทั้งทีม และตัวเองต้องมานอนในถุงนอนพิเศษนอกเลื่อน,คอยดูแลนวดเท้าให้กับสุนัขทุกตัว ,ฯลฯ  

       หลายคนคงนึกสงสัยว่า มันจะคุ้มกันหรือกับการทุ่มเททุกอย่างเพื่อการแข่งขันขนาดนี้ แม้ว่าผลสุดท้ายอาจจะจบลงด้วยการพ่ายแพ้และไม่ได้อะไรกลับไป ซึ่งมัชเชอร์ก็บอกเล่าถึงความรู้สึกว่า ในบางครั้งที่เขาได้ไปผจญภัยในสถานที่ที่อาจจะยังไม่เคยมีใครเหยียบย่างเข้าไป ได้เป็นเจ้าของทิวทัศน์ยามพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า หรือแสงเหนือ ท่ามกลางบรรยากาศงดงามที่ไม่อาจบรรยาย ได้ดำเนินชีวิตที่เป็นขีดสุดของความอดทน และความภาคภูมิใจสูงสุดเมื่อคว้าชัยชนะมาได้ ก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว

       ตลอด 20 นาทีที่ฟังการบรรยายถึงชีวิตของมัชเชอร์ จึงเต็มไปด้วยความระทึกใจในประสบการณ์ที่เราไม่อาจจะมีโอกาสได้สัมผัส และรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน เคล็ดลับสำคัญของเขาระหว่างแข่งขัน ก็คือ "ทำทุกอย่าง อะไรก็ได้ ที่ทำให้หมาทุกตัวอารมณ์ดี และ ไม่โกรธคุณ ระหว่างการแข่ง" 

      ผมได้เยี่ยมชม และบันทึกภาพอุปกรณ์ทุกชิ้น และรถเลื่อนสุนัขของจริงในแบบต่างๆ จะเห็นได้ว่า เขาให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ที่คุณภาพดีที่สุด เพื่อการแข่งขัน และที่ชอบใจมากๆ ก็คือ รองเท้ากันหนาวของเขา  ซึ่งมีมูลค่าหลายหมื่นบาท ซึ่งทำด้วยสุดยอดวัสดุที่กันหนาวได้เป็นอย่างดี,เบา,ไม่ต้องซัก (เพียงแค่บิดน้ำออกก็ใส่ได้เลย) และที่สำคัญคือ ขนาดของรองเท้า ซึ่งใหญ่เท่ากับท่อนตัวช่วงบนของผมได้เลย ลองดูขนาดเอานะครับ

       และแล้วความสนุกสนานก็ผ่านมาอย่างรวดเร็ว จนผมแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าในที่สุดก็ใกล้จะมาถึงการสิ้นสุดของการเดินทางสู่อลาสก้าบนเรือ Cruise Sapphire Princess ครั้งนี้เสียแล้ว วันนี้ซึ่งเป็นเช้าวันที่หก ก็เป็นการเดินทางกลับซะแล้วครับ จึงเป็นวันที่เราอยู่บนเรือทั้งวันอีกครั้ง ในวันนี้จึงมีกิจกรรมบนเรือมากมายอีกเช่นเคย  แต่คราวนี้ผมวางแผนโปรแกรมมาค่อนข้างดี และไม่ให้พลาดโอกาสทัวร์ในเรือดีๆ หลายอย่าง ที่เขาเปิดโอกาสให้เข้าไปดูการทำงาน และสถานที่จริงในการรองรับลูกเรือกว่าสองพันคน ว่ามีระบบการจัดการอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปทัวร์ในห้องครัว หรือ เวทีการแสดง และ Back Stage ฯลฯ  รวมถึงเบื้องหลังการเตรียมตัวอีกหลายๆ อย่างครับ 
      ต้องถือว่ามหัศจรรย์จริงๆ ครับ แค่เวทีที่เห็นมีระบบไฟเวทีที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์อยู่ถึง 200 กว่าดวง และใช้เรือถึง 3 ชั้นสำหรับในการทำโรงละคร โดยเวทีจะแขวนลอยบนไฮโดรลิกในชั้นกลาง  ฝ่ายฉากจะทำการเปลี่ยนเวทีที่ชั้นล่าง เพื่อส่งให้ไฮโดรลิกดึงขึ้นไปชั้นกลาง ทำให้ผมรู้สึกว่าบริษัทในต่างประเทศ เขาจะลงทุนจริงจังในอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการทำงาน และใส่ใจในทุกรายละเอียด  โดยเฉพาะในเรื่องของความปลอดภัย ซึ่งเป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้เกิดอุบัติเหตุในเรือ มากกว่าที่จะทำให้ได้มาตรฐานที่กำหนด  ผมว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่เราน่าเรียนรู้เรื่องวัฒนธรรม และจิตสำนึกของความปลอดภัยของเขาอย่างมากครับ 
     แต่ยังไม่หมดการผจญภัยของผมซะทีเดียวครับ ลืมบอกไปว่า ในเย็นวันสุดท้ายนี้ ผมยังเหลือการเดินทางไปเยี่ยมชม สวนดอกไม้ Butchart Gardens (บุตชาร์ท การ์เด้นส์ )  ที่โด่งดังไปทั่วโลก และรักษาความงดงามมาได้จนถึง 104 ปีทีเดียวครับ สำหรับคนที่ชื่นชอบไม้ดอกไม้ประดับไม่ควรพลาดเลย (ผมก็คนนึงล่ะครับ) สวนดอกไม้เลื่องชื่อแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองวิคตอเรีย ประเทศแคนาดาครับ 
ก่อนการเดินทางเข้าต้องผ่านศุลกากรค่อนข้างเข้มงวด และผ่านทัวร์รอบเมืองที่มีทิวทัศน์ และสถาปัตยกรรมงดงาม แต่ใจของผมเดินทางไปถึงสวนก่อนซะแล้ว เนื่องจากเรามีเวลาจำกัดอยู่ที่สวนเพียงไม่ถึง 2 ชั่วโมง สำหรับคนที่รักดอกไม้ก็ถือว่าเป็นเรื่องทรมานใจน่าดูครับ ที่มาถึงหนึ่งในสวนดอกไม้ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในโลกแต่ไม่สามารถอยู่ชื่นชมได้นาน 

 ความน่าอัศจรรย์อยู่ที่แต่เดิมสวนนี้เคยเป็นหุบเขาหินปูนที่โดนระเบิดจากการทำเหมืองแร่มาก่อน จนไม่เหลือสภาพที่งดงาม แต่ได้รับการจัดแต่งสวนใหม่โดยภรรยาเจ้าของเหมือง (คุณนายบุตชาร์ท )  จนกลายเป็นสวนสุดงดงาม และต่อเติมจนโด่งดังระดับโลก แม้ว่าในฤดูนี้ไม้ดอกจะยังไม่ค่อยงดงามเท่าที่ควร แต่สำหรับผมก็ถือว่าตื่นตาตื่นใจมากแล้วครับ 

      โดยในช่วงกลางคืนเขาก็จัดเป็นสวนประดับแสงไฟงดงาม (แฝงลงไปในพุ่มไม้ หรือส่องที่น้ำพุเลย) และมีการแสดงดอกไม้ไฟในช่วงฤดูหนาวที่ต้นไม้กำลังทิ้งใบทั้งหมด เรียกว่า  สามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ซึ่งผมก็ตั้งปณิธานไว้แล้วล่ะครับว่า จะต้องหาโอกาสกลับมาเยี่ยม Buchart อีกครั้งนึงให้ได้ โดยจะต้องมีเวลาเยี่ยมชมให้มากกว่านี้ เพราะด้วยเวลาเพียง 1 ชัวโมง 45 นาที  ก็ทำให้การเที่ยวสวนดอกไม้ของผมกลายเป็นการผจญภัยย่อมๆ เลยครับ ถึงขนาดต้องวิ่งผสมกับเดินเร็วในการเยี่ยมสวนหลัก 5 สวน นั่นคือ Sunken Garden , Japanese Garden , Rose Garden , Private Garden , Italian Garden เพื่อตามเก็บบรรยากาศภาพความสวยงามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ ใครอยากชมความงดงามให้เต็มอิ่มนะครับ แนะนำให้เข้าไปดูครับที่ www.butchartgardens.com จะมีตารางการท่องเที่ยวของทางสวนในทุกฤดู และปฏิทินที่บอกช่วงเวลาบานของดอกไม้ในสวนด้วยครับ 

      และแล้วการเดินทางของผมก็ใกล้มาถึงปลายทางแล้วครับ เมื่อกำลังจะเดินขึ้นเรือ Sapphire Princess เพื่อมุ่งหน้าสู่เมือง Seattle ในเช้าวันถัดไป 

     ไม่ได้รู้สึกใจหายเลยแม้แต่น้อย เพราะกำลังจะเดินทางกลับไปหาบ้าน และครอบครัวที่รู้ใจเราหลังจากมานาน และที่สำคัญ การเดินทางในครั้งนี้ผมและคุณแม่ ได้ใช้ชีวิตแห่งการเดินทาง เพื่อเรียนรู้ ซึบซับประสบการณ์รอบข้าง อย่างเต็มที่ในทุกที่ที่ได้ไปเยือน เป็นหนึ่งในการเดินทางที่สมบูรณ์และประทับใจที่สุดครับ ความหมายของการเดินทาง บางครั้งผมว่าไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางเท่านั้นนะครับ แต่อยู่ที่ระหว่างทางที่เราจะได้เรียนรู้ / สัมผัส และนำมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรามากกว่า.......

ณัฐภณ  วุฒิกานากร (เอ..บ้านผางาม รีสอร์ท)

เรื่องที่เกี่ยวข้อง 7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ (ตอนที่ 1) คลิกที่นี่

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook