7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ (ตอนจบ)
7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ (ตอนจบ) ณัฐภณ วุฒิกานากร (เอ..บ้านผางาม รีสอร์ท) ... เรื่อง / ภาพ
ในวันที่ห้า เรามาตื่นเช้าที่เมือง Skagway (สะ-แก๊ก-เวย์) เลยครับ ซึ่งวันนี้ เราจะได้เดินทางไปในสองแห่ง นั่นก็คือ การชมเส้นทางสายประวัติศาสตร์โดยทางรถไฟสาย White Pass ชื่นชมธรรมชาติของเทือกเขาหิมะในอลาสก้า ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการเดินทางสายหลักใน อลาสก้าในอดีตเลยครับ เป็นเส้นทางสายคลาสสิกที่มีทิวทัศน์บรรยากาศรอบข้างงดงามจริงๆครับ ซึ่งจะมีการบรรยายถึงจุดที่ผ่าน ถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ หรือ จุดชมทิวทัศน์ ผ่านทางลำโพงตลอดทั่วทั้งรถไฟ โดยที่ไม่ต้องมีมัคคุเทศก์คอยดูแลครับ ส่วนใหญ่จึงเป็นการใช้เวลาผ่อนลานให้กับตัวเราเอง ให้เวลาผ่านไปตามเส้นทางการเดินทาง ทำให้อดที่จะร้องเพลง "นักแสวงหา" ในต่างแดนไม่ได้ ลองนึกตามดูนะครับ ".....ผจญโชคผจญภัย ตามทางรถไฟไปส่ง... เพราะยังเป็นหนุ่มจะงอมืองอเท้ารอคอยคงไม่ไหว จึงต้องไปเป็นหนุ่มนักแสวงหาให้ได้ดี ในดวงตามีแต่ความหวัง ทุกทุกคนต่างมีความหวัง จึงมีความหวังเต็มคันรถไฟ หัวใจเบ่งบาน...." ชีวิตแห่งการเดินทางให้ความสุขกับคนที่มีอิสระในหัวใจเสมอครับ ชีวิตที่มีความสุขง่ายๆกับสิ่งรอบข้างและใฝ่หาการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ผมยึดมั่นมาตลอดครับ ทำให้รู้สึกว่า ชีวิตเราขึ้นอยู่กับใจเรา จะทำให้ง่ายก็ง่าย จะทำให้ยากก็ยาก ทุกเรื่องนะครับ อยู่ที่ใจเราคิด การเรียนรู้อีกบทอยู่ในช่วงบ่ายครับ นั่นคือ การไปเยี่ยมค่ายสุนัขลากเลื่อน และนั่งรถเลื่อนโดยหมู่สุนัขขั้วโลก ทำให้ผมเรียนรู้อีกครั้งครับว่า ชีวิตบางคน สำหรับเรา ก็ดูไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย แม้ว่าเขาจะพยายามทำให้มันเป็นเรื่องง่ายขึ้น เข้าสู่เรื่องทัวร์ก่อนนะครับ ในวันนี้ผม และคุณแม่ต้องเดินทางด้วยรถบัสประมาณเกือบชั่วโมง มุ่งสู่แคมป์สุนัขขั้วโลก ( Husky Siberian ) สิ่งที่ผมชื่นชอบเมื่อแรกถึงแคมป์เลยก็คือ พวกฝูงหมาหน้าบึ้งขนฟูทั้งหลายที่ถูกผูกติดอยู่กับบ้านของเขา จำนวนกว่า 50 ตัว เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสัมผัส / ลูบหัว และถ่ายรูปคู่กันอย่างหนำใจครับ (แม้ว่าพวกฝูงหมาจะผอมลงในหน้าร้อน ก่อนที่จะถูกขุนให้ฟูเพื่อมีความอบอุ่น และพละกำลังต่อการลากเลื่อนในหน้าหนาว ) ก่อนที่จะแยกนักท่องเที่ยวไปนั่งรอในรถลากและล่ามฝูงสุนัขจำนวนประมาณ 12 ตัวต่อคันในการลากเลื่อนแต่ละคัน ในที่สุดผมก็กำลังจะมาถึงหนึ่งในความใฝ่ฝันของผมแล้วครับ นั่นคือ การได้นั่งรถเลื่อนลากโดยฝูงฮัสกี้ที่น่ารักกลางหุบเขาหิมะเย็นสุดขั้วด้วยความเร็วสูงสุด ก่อนที่ผมจะตื่นมาสู่ความเป็นจริงตรงหน้ากับ รถลากเหล็กกล้าดัดแปลงขนาดนั่งได้หกคน และติดด้วยล้อรถโฟร์วีลสี่ข้าง เนื่องจากในหน้านี้เป็นหน้าร้อนครับจึงไม่มีหิมะให้เห็นซักปุย แน่นอนครับ ยังใช้พลังฝูงหมาในการขับเคลื่อนเหมือนเดิม ซึ่งระยะเวลาทั้งหมดในการลากเลื่อนขึ้นลงเขาอยู่เพียงประมาณ 10 นาที ครับ เพื่อไม่ให้น้องหมาๆ (ซึ่งผอมโซอยู่แล้ว) ต้องเหนื่อยเกินไป
เมื่อมีโอกาสได้เข้าฟังการบรรยายถึงชีวิตการแข่งขันของนายบังเหียน หรือ มัชเชอร์ ที่แคมป์ (คนที่บรรยายนี้เคยติดอันดับ 1ใน 3 อันดับโลกครับ) ยิ่งรู้สึกประทับใจมากขึ้นไปอีกครับ เพราะคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในอาชีพประหลาดที่ลำบากที่สุดในโลกเหมือนกัน แต่ละคนต้องมีความพร้อมร่างกายอย่างสูงสุด และทุ่มเททุกอย่างเพื่อเป้าหมาย และสุนัขของเขาจริงๆ ตลอดการแข่งขันต่อเนื่องประมาณ 10 วันถึงสองสัปดาห์ ที่ต้องเดินทางติดต่อกันอย่างต่อเนื่องในสภาพพื้นที่ทุรกันดาร และสภาพอากาศที่แสนสาหัส มัชเชอร์คนนี้ เคยนอนเพียงชั่วโมงเดียวในบางคืนเพื่อเร่งทำเวลาให้ได้น้อยที่สุด, ตัดสินใจตัดผ่านเส้นทางลัด ซึ่งเป็นแม่น้ำเก่าซึ่งอาจจะถล่มระหว่างการเดินทาง,สละที่นอนพร้อมที่คลุมในรถเลื่อนเพื่อรักษาความอบอุ่นให้สุนัขทั้งทีม และตัวเองต้องมานอนในถุงนอนพิเศษนอกเลื่อน,คอยดูแลนวดเท้าให้กับสุนัขทุกตัว ,ฯลฯ หลายคนคงนึกสงสัยว่า มันจะคุ้มกันหรือกับการทุ่มเททุกอย่างเพื่อการแข่งขันขนาดนี้ แม้ว่าผลสุดท้ายอาจจะจบลงด้วยการพ่ายแพ้และไม่ได้อะไรกลับไป ซึ่งมัชเชอร์ก็บอกเล่าถึงความรู้สึกว่า ในบางครั้งที่เขาได้ไปผจญภัยในสถานที่ที่อาจจะยังไม่เคยมีใครเหยียบย่างเข้าไป ได้เป็นเจ้าของทิวทัศน์ยามพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า หรือแสงเหนือ ท่ามกลางบรรยากาศงดงามที่ไม่อาจบรรยาย ได้ดำเนินชีวิตที่เป็นขีดสุดของความอดทน และความภาคภูมิใจสูงสุดเมื่อคว้าชัยชนะมาได้ ก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว ตลอด 20 นาทีที่ฟังการบรรยายถึงชีวิตของมัชเชอร์ จึงเต็มไปด้วยความระทึกใจในประสบการณ์ที่เราไม่อาจจะมีโอกาสได้สัมผัส และรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน เคล็ดลับสำคัญของเขาระหว่างแข่งขัน ก็คือ "ทำทุกอย่าง อะไรก็ได้ ที่ทำให้หมาทุกตัวอารมณ์ดี และ ไม่โกรธคุณ ระหว่างการแข่ง" ผมได้เยี่ยมชม และบันทึกภาพอุปกรณ์ทุกชิ้น และรถเลื่อนสุนัขของจริงในแบบต่างๆ จะเห็นได้ว่า เขาให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ที่คุณภาพดีที่สุด เพื่อการแข่งขัน และที่ชอบใจมากๆ ก็คือ รองเท้ากันหนาวของเขา ซึ่งมีมูลค่าหลายหมื่นบาท ซึ่งทำด้วยสุดยอดวัสดุที่กันหนาวได้เป็นอย่างดี,เบา,ไม่ต้องซัก (เพียงแค่บิดน้ำออกก็ใส่ได้เลย) และที่สำคัญคือ ขนาดของรองเท้า ซึ่งใหญ่เท่ากับท่อนตัวช่วงบนของผมได้เลย ลองดูขนาดเอานะครับ
ความน่าอัศจรรย์อยู่ที่แต่เดิมสวนนี้เคยเป็นหุบเขาหินปูนที่โดนระเบิดจากการทำเหมืองแร่มาก่อน จนไม่เหลือสภาพที่งดงาม แต่ได้รับการจัดแต่งสวนใหม่โดยภรรยาเจ้าของเหมือง (คุณนายบุตชาร์ท ) จนกลายเป็นสวนสุดงดงาม และต่อเติมจนโด่งดังระดับโลก แม้ว่าในฤดูนี้ไม้ดอกจะยังไม่ค่อยงดงามเท่าที่ควร แต่สำหรับผมก็ถือว่าตื่นตาตื่นใจมากแล้วครับ โดยในช่วงกลางคืนเขาก็จัดเป็นสวนประดับแสงไฟงดงาม (แฝงลงไปในพุ่มไม้ หรือส่องที่น้ำพุเลย) และมีการแสดงดอกไม้ไฟในช่วงฤดูหนาวที่ต้นไม้กำลังทิ้งใบทั้งหมด เรียกว่า สามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ซึ่งผมก็ตั้งปณิธานไว้แล้วล่ะครับว่า จะต้องหาโอกาสกลับมาเยี่ยม Buchart อีกครั้งนึงให้ได้ โดยจะต้องมีเวลาเยี่ยมชมให้มากกว่านี้ เพราะด้วยเวลาเพียง 1 ชัวโมง 45 นาที ก็ทำให้การเที่ยวสวนดอกไม้ของผมกลายเป็นการผจญภัยย่อมๆ เลยครับ ถึงขนาดต้องวิ่งผสมกับเดินเร็วในการเยี่ยมสวนหลัก 5 สวน นั่นคือ Sunken Garden , Japanese Garden , Rose Garden , Private Garden , Italian Garden เพื่อตามเก็บบรรยากาศภาพความสวยงามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ ใครอยากชมความงดงามให้เต็มอิ่มนะครับ แนะนำให้เข้าไปดูครับที่ www.butchartgardens.com จะมีตารางการท่องเที่ยวของทางสวนในทุกฤดู และปฏิทินที่บอกช่วงเวลาบานของดอกไม้ในสวนด้วยครับ
ไม่ได้รู้สึกใจหายเลยแม้แต่น้อย เพราะกำลังจะเดินทางกลับไปหาบ้าน และครอบครัวที่รู้ใจเราหลังจากมานาน และที่สำคัญ การเดินทางในครั้งนี้ผมและคุณแม่ ได้ใช้ชีวิตแห่งการเดินทาง เพื่อเรียนรู้ ซึบซับประสบการณ์รอบข้าง อย่างเต็มที่ในทุกที่ที่ได้ไปเยือน เป็นหนึ่งในการเดินทางที่สมบูรณ์และประทับใจที่สุดครับ ความหมายของการเดินทาง บางครั้งผมว่าไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางเท่านั้นนะครับ แต่อยู่ที่ระหว่างทางที่เราจะได้เรียนรู้ / สัมผัส และนำมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรามากกว่า....... ณัฐภณ วุฒิกานากร (เอ..บ้านผางาม รีสอร์ท) เรื่องที่เกี่ยวข้อง 7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ (ตอนที่ 1) คลิกที่นี่
|