ตะลอนทัวร์คราวนี้ จะพาเพื่อน ๆ ไปบุกภูสอยดาว เมืองแห่งสายหมอก หมู่ไม้สนสามใบ

ตะลอนทัวร์คราวนี้ จะพาเพื่อน ๆ ไปบุกภูสอยดาว เมืองแห่งสายหมอก หมู่ไม้สนสามใบ

ตะลอนทัวร์คราวนี้ จะพาเพื่อน ๆ ไปบุกภูสอยดาว เมืองแห่งสายหมอก หมู่ไม้สนสามใบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ภูสอยดาว

            ตะลอนทัวร์คราวนี้ จะพาเพื่อน ๆ ไปบุกภูสอยดาว เมืองแห่งสายหมอก หมู่ไม้สนสามใบ ทุ่งดอกหงอนนาค รองเท้านารีลึกลับ สัมผัสความเย็นและธรรมชาติ  เป็นไรหล่ะ สโลแกนที่แม่มดคิดขึ้นเอง น่าสนใจเปล่าหล่ะ ถ้าน่าสนใจ ก็อ่านต่อกันเลยดีไม๊หล่ะ 

[.....เริ่มต้นสำหรับการเดินทาง]            สมาชิกกลุ่มตะลอนทัวร์ ซึ่งประกอบด้วยคณะลูกทัวร์ 8 นาย เป็นหญิงซะ 6 ที่เหลือเป็นชายหนุ่มที่ทำหน้าที่ ขับรถ ขนของ และเอาไปใช้แรงงาน (อันนี้ล้อเล่น) ออกเดินทางกันในคืนวันศุกร์ที่ 14 หลังที่ได้เสร็จภารกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน ตลอดจนภารกิจอื่น ๆ โชคดีที่ไม่เจอฝนเลยตลอดเส้นทาง เราไปถึงตัวเมืองพิษณุโลกกันประมาณ ตี 2 เกือบตี 3 ไปรับน้องสาว อีกคนที่ท่ารถ บขส. (ลงมาจากเชียงรายเพื่อร่วมก๊วน) แล้วเราก็มุ่งหน้าสู่ อำเภอชาติตระการ ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะนำเราเข้าสู่เขตอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว  ระหว่างทาง เราแวะถวายเทียนพรรษาที่วัดแห่งหนึ่งก่อนเข้าเขตอุทยาน เป็นวัดเล็ก ๆ มีพระเพียง 3 รูป หลังถวายเทียนเสร็จพระท่านก็ให้พรและเทศน์ให้พวกเราฟัง  ออกจากวัดเราก็มุ่งหน้าต่อ ถึงที่ทำการราว ๆ เกือบ 8 โมง สอบถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่า ไม่มีกรุ๊ปอื่นมาเลยนอกจากกรุ๊ปเรา  เราสอบถามเจ้าหน้าที่ถึงปริมาณฝนที่ตก เจ้าหน้าที่บอกกับเราว่า เพิ่งหยุดตกไปได้ 2-3 วัน ดังนั้นช่วง 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา จึงไม่มีผู้ใดขึ้นภูเลย เราสอบถามเจ้าหน้าที่ต่อไปอีก ถึงเรื่อง "ทาก" เจ้าหน้าที่ตอบเราว่า "ไม่มี" เราคาดหวังกันว่า อาจจะมีกรุ๊ปอื่นมาอีก เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุด หลังจากนั้น เราก็นำสัมภาระ ที่มีทั้งของกิน น้ำดื่ม เครื่องใช้ ตลอดจนเป้เสื้อผ้า และเต็นท์ รวมถึงถุงนอน ชั่งกิโล เพื่อจ้างลูกหาบ พวกเราหาอะไรเติมลงท้องกัน ก่อนออกเดินทางมุ่งสู่ลานสน ยอดดอยของภูสอยดาว  โดยไม่ลืมที่จะเตรียมข้าวและน้ำไปกินระหว่าง เนื่องจากต้องเดินและปีนกันอีกหลายกิโล อย่างน้อยก็คงต้องมี 5-6 ชั่วโมง ก่อนถึงที่หมาย           หลังจากเตรียมเสบียงแล้ว เราก็ออกมุ่งหน้าเดินขึ้นสู่ภูสอยดาว เราเดินลัดเลาะไปตามลำธารของน้ำตกภูสอยดาว ซึ่งไหลไปถึงหน้าอุทยาน เดินฝ่าเข้าไปป่าละเมาะใกล้ ๆ ลำธาร ตลอดทางพื้นดินยังคงเปียกอยู่ อาจจะเพราะน้ำค้าง หรือฝนที่ยังคงมีตกปรอย ๆ บางช่วงก็เป็นทางเดินธรรมดา บางช่วงก็ต้องปีนขึ้นตามรากไม้ใหญ่ เราเดินผ่านป่าและข้ามลำธารไปเรื่อย ๆ ก็ยังไม่ถึงเนินแรก เพื่อน ๆ ร่วมก๊วนที่ยังไม่เคยมา เริ่มถามว่าอีกไกลไม๊กว่าจะถึงเนินแรก เราก็ว่าอีกไม่ไกล .... ในที่สุดก็มาถึงทางขึ้นเนินแรก "เนินส่งญาติ" เป็นทางชันเซาะไปตามเส้นแนวเขา มีป่าไผ่ขึ้นประปราย เส้นทางที่ขึ้น ทางอุทยานนำไม้ไผ่มาทำเป็นราวให้เกาะจับเป็นช่วง ๆ เพื่อนผู้หญิงบางคนเริ่มหน้ามืด หน้าซีด เนื่องจากอากาศเย็น และเหนื่อยหอบกัน หลังจากพยายามก้าวขายาว ๆ เพื่อข้ามและปีนขึ้นไป เราก็ไปนั่งรวมพลและพักกันก่อนที่จะเดินต่อที่จุดพัก ซึ่งทำเป็นแคร่ไว้บนเนิน หลังจากพักกันพอให้หายหน้าซีดแล้ว เราก็เริ่มปีนกันต่อจนถึงจุดพักที่สอง เป็นลานหินก้อนใหญ่ ซึ่งเป็นทางขึ้นสู่เนินต่อไป "เนินปราบเซียน" ทางเดินก็ยังคงเป็นทางเดินราบเรียบที่ค่อนข้างชัน สลับกับเนินราบสูง ที่ต้องปีนขึ้น ตลอดทาง เราต้องหยุดพักกันเป็นระยะ เนื่องจากจะเป็นลมหน้ามืด เพราะเริ่มมีความรู้สึกว่า หายใจกันไม่ค่อยทั่วท้อง ดีที่พกยาดมไว้ตลอด เลยนำมาแบ่ง ๆ กันสูดดม แต่ด้วยความคิดที่ว่าหนทางยังอีกไกล เวลาหยุดพักจึงไม่เอื้อระเหยอยู่นาน พักพอให้หน้า มีสีเลือดก็ออกเดินทางกันต่อ ตลอดทางการเดินก็มีเสียงหัวเราะตลอดทาง ถึงเรื่องความหน้าซีดของเพื่อน ท่าทางการเดิน ความอึด ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เพื่อช่วยให้เพื่อน ๆ รู้สึกสนุก และหายเครียดจากความคิดที่ว่า "เมื่อไหร่มันจะถึงซักกะที" ตลอดเส้นทาง เราจะเห็นเส้นทางที่ ค่อนข้างรกไปด้วยหญ้า และความเขียวชอุ่ม ของป่าได้ แสดงให้เห็นว่า นานแล้วเหมือนกันที่ไม่มีใครเดินขึ้นมา ทำให้ทางเดินเก่า ๆ แทบจะหายไป เพราะหญ้าคาที่สูงท่วมหัว และตั้งตรง            ระหว่างทางเราเห็นชาวบ้าน 2-3 คน กำลังหาหน่อไม้ เห็นขุดได้หลายหัวอยู่เหมือนกัน จะขอซื้อ ก็ไม่รู้จะไปต้มกับอะไร เลยได้แต่เดิน ๆ เข้าไปดู แล้วพวกเราก็ไปหาดูหน่อไม้ที่ยังไม่ถูกขุดว่าหน้าตามันเป็นยังไง (เราไม่เคยเห็น เลยอยากเห็น เพื่อนเลยหาให้ดู) ต่อจากเนินปราบเซียน เราก็เข้าสู่ "เนินป่ากอ" ก็ต้องเดินผ่านป่าที่มีทั้งต้นไม้ใหญ่ (ป่าจริง ๆ อะนะ) ทั้งหญ้าสูงท่วมหัว สลับกัน เมื่อผ่านจากเนินป่ากอแล้ว เราก็เดินทางมาถึง "เนินเสือโคร่ง" คราวก่อน ลูกหาบเคยเล่าให้ฟังว่าที่ได้ชื่อว่าเนินเสือโคร่ง เพราะมีเสือโคร่งเยอะมาก แต่ละเนินที่เราผ่านมา ล้วนแต่ต้องปีนขึ้นเป็นส่วนใหญ่ เราเริ่มล้า และเจ็บขา และเริ่มหิว จึงหยุดพักกินข้าวกัน ตอนนี้น้ำเริ่มเหลือน้อย หลังจากโดนตอดกินมาตลอดทาง ....เราเริ่มเดินทางกันต่อ เพื่อน ๆ เริ่มได้บาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการโดนหญ้าคาบาด (ทั้ง ๆ ที่ ใส่เสื้อแขนยาวแล้ว) และในที่สุดเราก็มาถึงเนินสุดท้าย  เห็นยอดเขาอยู่รำไร เรากำลังเข้าสู่ "เนินมรณะ" จากจุดนี้เราสามารถเห็นเขาอีกลูก ที่มีหน้าผา และมีน้ำตกไหลเป็นผ่านถึงสองเส้นน้ำตกด้วยกัน สลับกับหมอกที่พัดผ่านมาและผ่านไป เมื่อมองไปทางซ้ายมือ เราก็เห็นเขาอีกลูก ซึ่งอยู่อีกฝั่งของเขาลูกที่เรากำลังจะปีนขึ้นไป เขียวชอุ่มไปด้วยหญ้า           จนเพื่อนเราคิดว่ามันเป็นลานหญ้าของสนามกอร์ฟ  ชื่นชมธรรมชาติพอเป็นกระสัยให้หายเหนื่อย เราก็เริ่มขึ้น "เนินมรณะ" (สาเหตุที่ได้ชื่อว่าเนินมรณะ เพราะ .... เป็นจุดที่ทหารไทยเคยโดนทหารลาวยิงตาย เพราะบนเนินสนเป็นที่ลาวเคยยึดเป็นเขตครอบครอง) บนเนินมรณะนี่เอง ... เราเพิ่งได้เห็นทากกินเลือดคนครั้งแรกในชีวิต (ในชีวิตเราอะนะ) เพิ่งรู้ว่ามันเป็นตัวหนอนยืด ๆ ยาว ๆ กระดึ๊บ ๆ สีดำ เกาะหนึบเลย เล็ก ๆ โดนไป 1 ตัว ก็ทำให้บรรดาสาว ๆ ตกใจได้นิดหน่อย (ไม่รู้เกาะมาตอนไหน) แล้วพวกเราก็เริ่มปีนเนินที่ได้ชื่อว่ายากที่สุด เพราะเป็นทางที่เซาะทางดินให้เหยียบได้บ้าง แต่ถ้าไม่ระวังก็ลื่นได้ทุกขณะ ปีน ปีน ปีน จนผ่านพ้นจุดที่ยากไปแล้ว ก็ยังต้องปีนต่อขึ้นไป โดยเดินบนทางชันมาก ๆ ซึ่งหญ้าคาสูงท่วมหัว พอหันหลังมองลงไป ... ใจหายวาบ ไม่คิดว่าจะปีนขึ้นมาได้ สูงมาก ๆ ๆ ๆ พอพ้นจากเนินมรณะ เราก็ขึ้นมาพบลานโล่ง เต็มไปด้วยสนสามใบ ชูลำต้นสูงใหญ่มากมาย แซมด้วยดอกหงอนนาค ดอกหญ้าสีม่วงเล็ก ๆ เกือบจะเต็มท้องทุ่ง บางแห่งยังมีน้ำฝนขังอยู่บ้างเล็กน้อย เราเดินไปจนถึงจุดที่เค้าอนุญาตให้ตั้งแค้มป์ กางเต็นท์ พักแรมได้ แล้วก็นั่งรอลูกหาบ นั่งรออยู่ประมาณชั่วโมงเศษ ๆ เห็นจะได้ ช่วงที่นั่งรอ เรากะเพื่อน ๆ ก็โดนแมลงชนิดหนึ่งกัด ตอนแรกก็นึกว่าเป็นแมงหวี่ธรรมดา ที่ไหนได้ พอกัดปุ๊บ มันก็เป็นจุดห้อเลือดขึ้นมาทันที พอเราไปสะกิดเลือดที่แข็งตัวออก คราวนี้เลือดก็ออกเลย ออกเยอะซะด้วย แถมคันบรมเลยอีกตังหาก (ถึงทุกวันนี้ก็ยังคันและเป็นตุ่มไม่เลิก)            เมื่อลูกหาบเดินขึ้นมาถึง เราก็รีบกางเต็นท์ แบ่งคนมาทำกับข้าว (หิวอีกแล้วครับท่าน) เราได้แบ่งข้าวเหนียวกับปลาสลิดให้กับลูกหาบด้วย ของอย่างนี้ต้องแบ่ง ๆ กันกิน หลังจากกางเต็นท์เสร็จ และเริ่มทำกับข้าวเสร็จเรียบร้อย และทุกคนอาบน้ำกันเรียบร้อยแล้ว (ไปอาบที่ลำธารเล็ก ๆ ใกล้ ๆ กัน) ช่วงใกล้ค่ำก็มีอีกกรุ๊ปนึงขึ้นมา เป็นผู้ชายหมด 5 คนเลย ก็ตั้งเต็นท์ไกลออกไปประมาณ 70-80 เมตร แต่แว่วเสียงคนร้องเพลงตลอด ประมาณว่าหุงข้าวไม่ได้เพราะฟืนมันเปียก อิอิอิ ตกดึก เราก็นั่งล้อมกองไฟ (กว่าจะก่อได้นานมาก เพราะกิ่งไม้มันชื้น ดีว่าตอนทำกับข้าว เรามีเตาปิคนิคกะแก๊สกระป๋อง เลยไม่อดตายกัน) อากาศกลางคืนเย็นมาก แต่แปลกคืนนี้ฟ้ากลับสว่างด้วยแสงจันทร์ ทำให้สามารถมองเห็นหมอกที่หนา และรายล้อมรอบ ๆ พวกเราขนาดว่าสี่ห้าทุ่มแล้ว ก็ยังแลดูสว่างอยู่ พวกเราเข้านอนกันประมาณ ห้าทุ่ม พื้นเย็นมาก จนต้องสละถุงนอนมาปูผืนนึง (ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ปู) อีกถุงก็กางออกมาห่มกัน อาศัยใส่เสื้อหลายชั้นหน่อย ใส่ถุงเท้า ถุงน่อง ถุงมือ และหมวก แล้วก็หลับ ..... 

[.....การเดินทางของวันที่สอง]

           เช้าวันนี้ พวกเราตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังตัดไม้ ดังสนั่นทั่วป่า เราก็เลยลืมตาตื่น อืม ยังเพิ่ง 7 โมงอยู่เลย ..... แต่ด้วยความสงสัยว่าเสียงอะไร เลยออกมายืนดู อ๋อ .... ทีแท้กลุ่มเมื่อวานตื่นแต่เช้ามาปีนต้นไม้ตัดฟืนนั่นเอง ... แต่ยอมรับความเก่งของพี่แกจริง ๆ พี่แกปีนขึ้นไปตัดบนยอดสน เพื่อเอาไม้มาทำฟืน !!! เราเริ่มรู้สึกว่า ขี้เกียจนอน อยากจะตื่นขึ้นมาหาอะไรรองท้อง ก็เลยจัดแจงเก็บบริเวณที่พักที่ชื้นแฉะเพราะน้ำค้างลง เก็บเอาจานชามไปล้างใหม่อีกรอบ ใกล้ ๆ กับพี่พักเรา มีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่าน น้ำเย็นมาก รู้สึกได้ว่า มือจะแข็งเอา หลังจากล้างหน้าล้างตา ก็มาเตรียมทำอาหารกับเพื่อน ๆ แต่เช้า ๆ แบบนี้ เราก็มีทั้งข้าวต้ม และขนมปัง ใครอยากกินชอคกาแลตร้อนก็มี (เพื่อนคนนึงเอาติดขึ้นมากระป๋องนึง ทำได้สารพัด ทาขนมปัง หรือทำเป็นเครื่องดื่มก็ได้ ดีแฮะ ...) หลังจากจัดการกับอาหารเช้าเรียบร้อย เราก็เริ่มเคลียร์บริเวณ และเตรียมอาหารสำหรับมื้อต่อไป เพราะเรามีโปรแกรมที่จะเดินทางเข้าสู่ป่าหญ้าคา และจะตะลุยไปดูน้ำตก รวมถึงไปตามหาต้นเมเปิ้ลในป่าเขตลาวด้วย หลังจากเตรียมอาหารเรียบร้อย รวมถึงน้ำดื่ม ก็จัดแบ่งสัมภาระให้แต่ละคนช่วยกันถือ เรารับหน้าที่แบกขากล้องกับกล้อง (ของชอบ) แล้วพวกเราก็ออกตะลุยกัน ..           อากาศก็ยังคงเย็นสบาย ถึงจะไม่ใช่ช่วงฤดูหนาว แต่ก็ยังมีความเย็นจากน้ำค้างที่ลงอย่างหนักเมื่อคืนที่ผ่านมา รวมถึงได้สัมผัสถึงกลิ่นที่สด สะอาด ของป่าที่ร้างผู้คนเหยียบย่ำมานาน เราเดินตามกันไปเป็นขบวน ก่อนที่จะออกเดินทางกัน เราอดเหลียวมองไปยังกลุ่มอีกกลุ่มไม่ได้ ด้วยความสงสัยและสงสารว่า .... เค้าได้กินข้าวอิ่มท้องกันบ้างหรือยัง           เราเดินข้ามลำธาร ผ่านบ้านเจ้าหน้าที่ (ที่เก่าและทรุดโทรมจนไม่สามารถจะพักอาศัยได้) ซึ่งมีเพียงหลังเดียว แล้วก็เดินผ่านป่าสน บริเวณป่าสนใหญ่ มีดอกหงอนนาค ขึ้นประปราย เป็นกลุ่มใหญ่น้อย ม่วงระรานตาไปหมด หากแต่บางครั้งก็ยังมีดอกสีขาวแซมขึ้นมาบ้าง ไม่ก็ยังมีดอกหญ้าชนิด ๆ อื่น ที่มีความงามไม่แพ้กันแข่งกันอวดโฉมซะเต็มท้องทุ่งไปหมด เราตั้งกล้องเพื่อจับภาพกลุ่มผองเพื่อน บริเวณทุ่งดอกหงอนนาค ที่ขึ้นแซมต้นสนเล็ก และห้อมล้อมไปด้วยหมอกจาง ๆ .... หลังจากชักภาพเก็บไว้แล้ว 2-3 ภาพ เราก็ออกเดินทางกันต่อ เราพยายามเดินตามทางเดิมที่มีอยู่ เพื่อจะเดินเข้า สู่บริเวณที่เคยไปเห็นรองเท้านารี และต้นเมเปิ้ล เมื่อคราวที่เรามา ในช่วงฤดูหนาว แต่เพราะว่า ไม่มีใครขึ้นมานาน หนทางเดิมจึงค่อนข้างจะเลือนลางไป หากไม่สังเกตดี ๆ ก็ออกนอกเส้นทาง เข้าไปเหยียบย่ำบุกเข้าป่าหญ้าคาข้างทางซะทุกที เราเดินกันไปเรื่อย ๆ จนถึงบริเวณที่เป็นเหมือนสันเขา (ซึ่งเป็นบริเวณแนวสันสูง ๆ รอบ ๆ บริเวณนั้น) เราจึงสามารถมองเห็นได้ว่า จุดไหนที่เราควรจะไป เมื่อถึงจุดที่เคยบุกเข้าไปดูต้นเมเปิ้ลแล้ว ปรากฏว่า เราไม่สามารถมองเห็นได้ ตอนแรกก็นึกว่าพวกเราเข้ามาผิดทาง แต่ทางเข้าก็ยังคงเหมือนเดิม ... แล้วก็ถึงบางอ้อ เมื่อเราเห็นใบแก่บางใบที่ตกอยู่ใต้ต้น ... ช่วงนี้ยังไม่ใช่ช่วงที่ต้นจะผลิใบ จึงยังคงเป็นใบที่เขียวชอุ่มอยู่ หากอยากจะเห็นช่วงที่ใบร่วง และเกลื่อนกลาดไปด้วยใบเมเปิ้ลสีแดง สีเหลือง ก็คงต้องรอมาช่วงฤดูหนาว เราเดินลุยกันลึกเข้าไปอีก 3-4 คน ที่เหลือรออยู่ตรงทางออก กลุ่มที่บุกเข้าไปเรื่อย ๆ คาดว่าจะได้เจอรองเท้านารีบ้าง พวกเราลุยผ่านลำธารอีกแห่งหนึ่ง (บริเวณนี้ในช่วงฤดูหนาวจะเห็นรองเท้านารีเยอะมาก) ปรากฏว่า เราเห็นกล้วยไม้ป่า หรือรองเท้านารี บนยอดที่สูงมาก แต่ยังคงเป็นเพียง ตุ่มดอก และพร้อมจะผลิบานในฤดูหนาว .....             หลังจากออกจากจุดที่เข้าไปดูต้นเมเปิ้ลและรองเท้านารีแล้ว เราก็ออกเดินทาง เพื่อหาบริเวณโล่ง เมื่อหาเจอ เราก็จัดแจงแผ่เสบียงที่เตรียมมา แล้วก็แย่งกันกินด้วยความหิวโหย และแอบชักภาพไว้เล็กน้อย .... เกลี้ยง ไม่มีเหลือ ช่วงเวลานี้เอง ที่เราเจอกับกลุ่มอีกกลุ่ม เค้าก็กำลังเดินสำรวจอยู่เหมือนกัน เพียงแต่สวนกัน คนละฝั่งป่า เมื่อเคลียร์สถานที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางกลับที่พัก ระหว่างทางก็ไม่ลืมแวะเก็บเศษกิ่งไม้ เมล็ดสน รวมไปถึงกิ่งไม้ใหญ่ ๆ ที่ร่วงหล่นอยู่ข้างทาง หรือบางครั้งก็ตัดเอาจากต้นที่นอนตายอยู่ ช่วยกันแบก ช่วยกันหาม ช่วยกันหอบ คนละไม้คนละมือ กลับที่พัก ......            พวกเรากลัวว่าฝนจะตก จึงเอาถุงดำที่เตรียมมา มาเก็บฟืนไว้ก่อน และเริ่มเป็นช่วงเวลาบ่ายแก่ ๆ แต่อากาศกลับเย็นสบาย พวกเราจึงพากันหลับ..... แล้วเราก็ได้ยินเสียง เปาะแปะ ๆ ๆ ใกล้ ๆ กับเต็นท์ ลุกขึ้นมาดู ถึงได้รู้ว่า ฝนตกแล้ว ดีนะ ที่ไม่ตกหนักมาก หากแต่ก็มากเอาการอยู่ และตกนานพอสมควร พวกเราจึงต้องซุกตัวอยู่ในเต็นท์ใครเต้นท์มัน หากจะพูดคุยกันก็ต้องตะโกนคุยกัน เรายังนึกในใจว่า ดีนะที่เก็บฟืนไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่งั้นคืนนี้คงจะต้องนั่งตากอากาศ โดนแช่แข็งแน่ ๆ เลย หลังฝนหยุด และเริ่มเข้าสู่ความมืดอีกครั้ง พวกเราก็มาช่วยกันเตรียมอาหาร ช่วงเวลานี้เอง ที่มีอีกคณะนึงเดินทางขึ้นมาถึง พวกเค้าขึ้นมากับสายฝนจริงๆ แต่ละคนเสื้อผ้าเปียกฝนไปหมด หลังจากพูดคุยกัน ได้ความว่า มาถึงตั้งแต่เมื่อวานเย็น แต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้ขึ้นมา เนื่องจากว่าจะไม่ทัน เพราะกลัวว่ามืดเสียก่อน และทางก็เป็นอันตราย หากจะเดินทางในเวลามืดค่ำ จึงต้องรอให้เช้าก่อน แต่ช่วงเวลาที่เดินทางขึ้นมาบนลานสน ก็เจอฝนอีก ทำให้ใช้เวลาเดินทางร่วม 6-7 ชั่วโมง ....           พวกเราก่อกองไฟ และทำกับข้าวเสร็จก็เมื่อฟ้ามืดหมดแล้ว ดีที่ว่าเรามีเทียนติดตัวขึ้นมาอีกหลายกล่องใหญ่ จึงเอาเทียนมาตัดและจัดแจงทำเป็นโคมไฟ ปักไว้รอบ ๆ บริเวณที่นั่งรอบกองไฟ พวกเรากินข้าวกันท่ามกลางอากาศที่เย็น และลมพัดแรงพอควร กองไฟที่ก่อไม่ได้ช่วยอะไรได้มาก หากแต่ก็ยังให้ความรู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง หลังจากกินข้าวเรียบร้อย เราก็ยังมีถั่วเขียวต้มกินแก้หนาวอีกด้วย คืนนี้เราเข้านอนกันเร็ว เพราะอากาศที่เย็น และลมที่พัดค่อนข้างแรง ก่อนนอนพวกเราก็ไม่ลืมที่จะขนเสื้อผ้ามาใส่ให้หลาย ๆ ชั้นเข้าไว้ .........  [.....เช้าวันที่สาม เป็นวันที่เราต้องลงจากภูสอยดาวแล้ว .....]

            เราเอาเสบียงทั้งหมดออกมา เพื่อจัดเตรียมเป็นอาหารมื้อเช้า และมื้อเที่ยง (ระหว่างเดินทางลงจากภู) ลูกหาบมาถึงตั้งแต่เราต้มข้าวเสร็จ เราเลยชวนเค้ากินข้าว ด้วย เราจัดแจงเก็บสัมภาระ เก็บขยะ เก็บสถานที่ พวกเราแบกเป้ของตัวเอง เพราะคิดว่าขาลงคงไม่ลำบากเท่าตอนขึ้น ส่วนที่เหลืออื่น ๆ เต้นท์ อุปกรณ์เครื่องครัว ของแห้ง ฯลฯ เราให้ลูกหาบช่วย ของแห้งเช่น ข้าวสาร น้ำตาล ฯลฯ ที่ยังเหลืออีกเยอะ เราให้พวกลูกหาบไปหมดก่อนจะลงจากลานสน เราอดใจหายไม่ได้ รู้สึกว่ายังไม่ เต็มอิ่มกับธรรมชาติบนนี้เลย เลยหวังไว้ในใจว่า อีกไม่นาน เราจะได้กลับขึ้นมาเยี่ยม...อีกครั้ง ในครั้งแรกที่เราขึ้นมาพิชิตภูสอยดาว เราบอกกับตัวเองว่าเราเข็ด เหนื่อย มาก ไม่อยากจะกลับขึ้นมาอีก แต่ก็อดไม่นาน แล้วเราก็ต้องขึ้นมาเป็นรอบที่สอง แต่เมื่อถึงคราวที่เรากำลังจะต้องลงจากที่นี่ เรากลับรู้สึกรักที่นี่ ผูกพัน และยังไม่เต็มอิ่ม กับธรรมชาติเลย ....                  ขาลง เร็วกว่า ขาขึ้นมาก เราใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง แต่ขาของพวกเราก็เจ็บ พองเป็นน้ำ เราแวะกินเสบียงที่เตรียมมาระหว่างทางด้วย เราเดินกันไม่หยุด และ ไม่มีใครปริปากบ่นอะไร ทุกคนรู้แต่ว่าอยากจะเร่งเดินให้ถึงทางข้างล่างไว ๆ เนื่องจากว่าทางชันมาก จึงต้องลงอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่เรากลับลงสู่ข้างล่าง ฝนก็ตก พรำ ๆ ไปตลอดทาง เมื่อเรามาถึงจุดที่เกือบจะถึงบริเวณลานที่ทำการ เราต้องเดินลัดเลาะน้ำตก น้ำตกไหลเชี่ยวมา น้ำเยอะ อาจจะเพราะฝนตกหนัก และเป็นช่วงฤดูฝน จึงทำให้น้ำมีปริมาณมาก พวกเราเหนื่อยและล้า แต่ก็ไม่มีใครหยุดพัก เราเดินกันไปเรื่อย ๆ เมื่อเราลงมาถึงข้างล่าง เราก็ทิ้งเป้บนสนามหญ้า ถอดรองเท้าทิ้ง (เท้าระบม ไปหมด ที่พอง ก็แตก ที่แตกก็สีกับรองเท้า) แล้วเราก็กระโดดลงน้ำตก บริเวณข้างที่ทำการ ไม่รู้สึกหนาวเลย กลับรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก สดชื่นอย่างที่สุด เพื่อน ๆ ก็ตามลงมากัน 3-4 คน พวกเราก็เลยเล่นน้ำกันอยู่ตรงบริเวณนั้น สระผม อาบน้ำ แล้วก็นอนแช่ ให้ความเย็นลดความปวดเมื่อยล้าของร่างกาย ......            แล้วพวกเราก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องน้ำข้างที่ทำการ หลังจากแต่งตัวกันเรียบร้อยแล้ว เราก็มานั่งรอลูกหาบบนที่ทำการ รอประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง จนต้องไป หาอะไรกินบริเวณที่เป็นร้านอาหารกว่าเราจะได้ออกจากที่ภูสอยดาวก็เกือบบ่ายสอง ทั้ง ๆ ที่เราลงมาถึงตั้งแต่ยังไม่สิบเอ็ดโมงเลย จากภูสอยดาว เราเตรียมเดินทาง ไปเยี่ยมน้ำตกชาติตระการ ก่อนเดินทางกลับบ้านระหว่างทาง เรากับเพื่อน (ที่ร่วมชะตากรรมนั่งหลังรถกระบะ และหมายเหตุเป็นหญิงล้วน ๆ) ก็ต้องนั่งกินฝุ่นเป็นระยะ ทางร่วมเกือบ 2 ชั่วโมงเต็ม เนื่องมาจากคนขับกลัวไปไม่ทันเข้าน้ำตก จึงเร่งสปีคจนทางลูกรังฝุ่นกระจาย เราไม่เคยรู้สึกว่าเหนื่อยกับการเดินทางเท่าครั้งนี้เลย อาจ เป็นเพราะว่าแดดที่ร้อนเปรี้ยง และอาการปวดเมื่อย และเจ็บล้าของกล้ามเนื้อ รวมถึงฝุ่นฟุ้งกระจายที่เกาะเต็มตัว ....            เมื่อรถหยุด และพวกเราลงจากรถ มันช่างไม่ต่างอะไรกับพวกเวียดนามที่หัวแดง ๆ เปื้อนฝุ่นเลย เหมือนพวกเราเพิ่งหลุดออกมาจากพายุฝุ่นยังไงอย่างนั้นเลย เราเดินเข้าที่น้ำตกชาติตระการ ซึ่งการที่จะขึ้นไปเยี่ยมชมน้ำตกในแต่ละชั้นนั้น ก็ต้องปีนป่ายขึ้นไป ไม่ต่างจากการปีนขึ้นที่ภูสอยดาวซักเท่าไหร่ จะดีหน่อยก็ตรงที่ว่าทาง ใหญ่ ถึงจะชันมาก แต่ก็ยังดูเป็นทางให้ปีนและเดินได้สะดวก เพื่อนบางคนก็ไม่ขึ้น เพราะร่างกายเริ่มล้า จึงนั่งรออยู่ที่น้ำตกชั้นล่างสุด น้ำตกชั้นที่สวยที่สุดเห็นจะเป็นชั้น ที่สาม เราไปนั่งชื่นชมความงามอยู่ซักพัก จึงเดินต่อไปชมน้ำตกชั้นที่สี่ แต่พอจะขึ้นไปดูน้ำตกชั้นที่ห้า ซึ่งต้องเดินข้ามสะพานไม้ที่พาดผ่านน้ำตกชั้นที่สี่ ก็มีอันต้องหยุด ชะงัก เพราะสะพานไม่ชำรุด ไม่สามารถขึ้นไปได้ พวกเราจึงต้องเดินกลับลงสู่ข้างล่าง อย่างเสียดาย ที่ไม่มีโอกาสได้ชมความงามได้ครบ เมื่อเราลงถึงชั้นล่างแล้ว เราก็ เตรียมตัวกลับเข้ากรุงเทพฯ กัน โดยแวะส่งน้องที่ลงมาจากเชียงรายขึ้นรถก่อน แล้วเราก็กลับเข้าสู่กรุงเทพฯ กว่าจะแวะส่งเพื่อนหมด เราก็ถึงบ้านใกล้เช้า ยังดีได้นอน อีกนิดนึง โชคดีของเราเหลือเกิน ที่วันรุ่งขึ้น เรายังหยุดอีกวัน ไม่ต้องไปทำงาน ไม่งั้น .... คงแบกสังขารไปไม่ไหว             จบแล้วหล่ะ สำหรับการตะลุยภูสอยดาว เพิ่งมานั่งเขียนให้มันจบ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน หลังจากไปมาแล้วหลายเดือน ต้องมานั่งนึกทวนความทรงจำ แต่ก็ไม่ นานนัก เพราะมันประทับใจไม่รู้ลืม เพียงแต่ไม่มีหลงเหลือความสดใหม่แค่นั้นเอง จากฝนถึงหนาว ที่หวังว่า หากมีโอกาสคงได้ขึ้นไปเห็นรองเท้านารีและใบเมเปิ้ลที่หล่น เกลื่อนพื้นแดงไปหมด แต่ในฤดูหนาวคงไม่มีโอกาสได้เห็นดอกหงอนนาค คงเห็นแต่เพียงหญ้าเหลืองอร่าม แห้งทั่วท้องทุ่งแทน แต่นั่นหล่ะ ความงามของภูสอยดาว ที่ ไปเมื่อไหร่ ก็ทำให้อยากไปเยี่ยมชมเสมอ ๆ

[.....จบแล้วจ๊า.....] The End>>>

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook