ศรีลังกา ไม่ไปไม่รู้

ศรีลังกา ไม่ไปไม่รู้

ศรีลังกา ไม่ไปไม่รู้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ต้องยอมรับก่อนเลยว่า.. โดยส่วนตัวเรารู้จัก "ศรีลังกา" ในแค่บางมุมเท่านั้น คือ ทะเลสวย กับเป็นเมืองพระพุทธศาสนา จนกระทั่งมาเจอเรื่องราวประเทศศรีลังกา ของคุณ We Plant Happiness  ก็ทำให้โลกใบเดิมของเราเปลี่ยนไปมาก เพราะศรีลังกาที่คุณ We Plant Happiness พาพวกเราไปรู้จักนั้น..คือเป็นประเทศที่สวยงามและน่ารักมาก ถ้าเราไม่มาเจอเรื่องราวเหล่านี้ เราคงพลาดสิ่งดีๆ ครั้งยิ่งใหญ่เลยทีเดียว

สวัสดีค่ะ 

จขกท. เพิ่งจะตั้งกระทู้นี้ครั้งแรก อยู่ๆก็นึกสนุกอยากลองเล่าเรื่องทริปศรีลังกาที่เพิ่งไปเยือนมาครั้งแรกเมื่อ 11-27 เมษาที่ผ่านมานี่เองค่ะ

เริ่มจากกรอกemail จะสมัครสมาชิก และก็ได้รับการบอกกล่าวว่า สมัครไม่ได้ เพราะ emailนี้เป็นสมาชิกอยู่แล้ว

ฮ้า! ตกใจ! เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะเนี่ย 5555 ซึ่งแน่นอนย่อมไม่มีทางรู้password ...และแล้ว ก็ผ่านขั้นตอนต่างๆกันไปจนสามารถlogin เข้ามาถึงตรงนี้ได้ในที่สุด

ก่อนไปนี่ จขกท.แทบไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับศรีลังกาเลย ก็หาข้อมูลในเน็ตบ้างคร่าวๆอ่านผ่านๆตา แล้วก็ไปหาซื้อหนังสือไว้ 2 เล่ม อ่านไปแค่ 20%ของเล่มแรก พกเอาไปเที่ยวด้วย แต่ไม่ได้หยิบออกมาอ่านเลยตลอดทริป 

เล่มสองนี่ซื้อก่อนเดินทาง 2 วัน ที่ร้าน"คำนำ" ร้านหนังสือและร้านกาแฟบรรยากาศดีที่อยู่ระหว่างองค์พระปฐมเจดีย์กับพระราชวังสนามจันทร์

ตอนที่ซื้อ น้องคนขายพูดว่า เรามีข้อมูลบ้างก็ดี แต่ถ้าเรารู้เยอะไป เราก็จะเที่ยวไม่สนุก คือ น้องพูดโดนใจมากเลย พี่ชอบ มันเข้ากับนิสัยคุณพี่ที่สุด...ตกลงคุณพี่ไม่น่าจะซื้อมาเลยนะ หนังสือน่ะ หัวเราะ

เนื่องจากไม่ได้คิดว่าจะมาเขียนรีวิว ภาพอาจจะสื่อได้ไม่ดีเท่าไหร่ อีกอย่าง ก็เล่าจากสิ่งที่พบเจอนะคะ ไม่ได้ไปหาความรู้ประกอบจากแหล่งใดๆทั้งสิ้น ผิดพลาดคลาดเคลื่อนยังไง ขออภัยไว้ล่วงหน้าเลยค่ะ  

ทริปนี้ ไม่ได้คิดอะไรมาก รู้สึกแค่ว่า อยากไปสำรวจดูว่าที่นี่เป็นไงบ้าง เพราะยังไม่เคยไป เวลาจขกท.ไปเที่ยวที่ไหน จะชอบอยู่ที่นึงนานๆ ไม่ได้ชอบไปหลายๆที่ บางครั้งก็ไปที่เดิมๆ ในวันและเวลาต่างๆกันไปค่ะ ชอบดูวิถีชีวิตผู้คน (นอกจากนี้ก็แอบอยากหาข้อมูลเกี่ยวกับงานที่จขกท.ทำเล็กน้อยค่ะ เท่าที่รู้มาที่ศรีลังกาจะทำงานด้านที่จขกท.สนใจค่อนข้างเยอะ)  

ทริปนี้ เดินทางคนเดียวค่ะ 

เนื่องจากยุ่งๆกับงาน passport หมดอายุก็ไม่ได้ไปทำใหม่ กว่าจะทำเสร็จมาจองตั๋วก็ไม่ได้ราคาดีๆที่ดูไว้แล้ว ราคาดีที่สุดที่หาได้ในตอนนั้น (เน้นว่าต้องเดินทางในช่วง 10-12 เมษา) ก็ประมาณ 14,000 บาท ของSriLankan Airlinesราคาพอๆกะการบินไทย เลยเลือกของศรีลังกา ไหนๆจะไปประเทศเค้าแล้วนี่นา ราคานี้เวลาที่ได้ก็ไม่ดีหรอกค่ะ ไปถึงที่นั่น 5 ทุ่ม ของวันที่ 11 เมษายน

ป้ายนี้อยู่หลัง Immigration เห็นแล้วแอบยิ้มค่ะ ^_^

ช่วงที่ไปถึง ก็จะเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ของศรีลังกาด้วยค่ะ 

จขกท.ไม่มีกำหนดการใดๆเลยค่ะ สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ พาตัวเองไปถึงที่พักได้อย่างปลอดภัย และขอนอนหลับยาวๆก่อนในคืนแรก

เนื่องจากไปคนเดียว และไปหลายวัน การเลือกที่พัก ก็ดูจาก ความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และ ความประหยัด

พวก Hostel ก็ไม่เหมาะ จขกท.สูงวัยแล้ว กระเป๋าก็ค่อนข้างใหญ่ เพราะไปเกือบ 20 วัน โรงแรมที่ดูในagodaหรือ booking ถ้าที่ชอบๆก็ราคาสูงเกินไป ใน AirBNB อันที่ชอบก็จะอยู่บ้านเดียวกะ Host จขกท.มีควารู้สึกอยากเป็นส่วนตัวค่ะ 

ไปเจอที่พักนึง ในเว็บอพาร์เม้นท์ของศรีลังกา ห้องกว้างด้วย สิ่งอำนวยสะดวกพร้อม ราคาโอเค ดูเหมือนจะอยู่ในทำเลที่ไปไหนมาไหนได้สะดวก ก็เลยทำการจองเข้าไป พบว่าเค้ามีการประสานงานที่ดีมาก อาคารที่จขกท.จองไปนั้น เค้ามีบริการเพียง 3 ห้อง

ไปถึงสนามบินที่โคลอมโบ สิ่งแรกที่ทำก็แลกเงิน อัตราแลกเปลี่ยนตอนนั้น 1 USD = 130 RS(รูปีศรีลังกา) จากนั้นก็ซื้อซิมการ์ด เท่าที่เห็นที่สนามบินก็มี Airtel, Dialog ตอนนั้น Airtel ขึ้นป้ายว่าให้ซิมฟรี แต่จขกท.ซื้อของ Dialog 

จขกท.ซื้อ 2 ซิม อันนึงไว้ใส่ Tablet อีกอันเอาไว้ใส่โทรศัพท์มือถือ (ซัมซุงฮีโร่ ^_^) ตอนแรกเค้าบอกว่าเน็ต 4Gแต่พอรู้ว่าอันที่ใส่ Tablet จขกท.จะไม่ใช้โทร เค้าเลยบอกงั้นจะให้เป็น 6Gไปเลย ซึ่งจขกท.ไม่เข้าใจหรอกค่ะ เค้าว่าไงก็ว่างั้น ฮ่าฮ่า แต่ที่แน่ๆคือเน็ตเร็วปรื๊ดปรู๊ดปร๊าด

อันที่ใช้โทรเค้าบอกว่าโทรในประเทศ 2 RS/นาที โทรไปเมืองไทย 6 RS/นาที (1.50 บาท/นาที)  ตอนแรกคิกว่าเค้าโม้ แต่จริงๆด้วยค่ะ จขกท.โทรมาคุยธุระที่เมืองไทยตลอดทริป ตังค์ยังไม่หมดเลย

ทั้ง2ซิมและเติมเงินทั้ง 2 เบอร์ จขกท.จ่ายไปรวม 2,300 RS (ประมาณ 600 บาท) ใช้เน็ตคล่องมากทุกวัน และโทรกลับเมืองไทยแบบไม่ต้องคิดมากเลย ตอนกลับ ยังเหลือตังค์สำหรับโทรออกอีกตั้ง 4xx RS 

เนื่องจากไปถึงดึกแล้ว จขกท.ก็ใช้บริการแท็กซี่สนามบิน ไปส่งที่พัก ค่าบริการ 2,600 RS ค่ะ

พอไปถึงที่พัก ข้างนอกอาจดูไม่งาม เพราะกำลังตกแต่งปรับปรุงบางห้องอยู่ แต่เข้าไปในห้องแล้ว พอใจมากค่ะ สะอาดสะอ้าน กว้างขวาง ห้องน้ำก็กว้าง และมีทุกอย่างที่จขกท.ต้องการ แถมเค้าให้ชา กาแฟ น้ำดื่มขวดใหญ่ น้ำผลไม้และนมสดใส่ตู้เย็นไว้ให้ด้วย ถูกใจ

เท่าที่ได้คุยโทรศัพท์กับเจ้าของที่พัก และรปภ.ที่ดูแลอยู่ รู้สึกไว้วางใจ ทำให้หมดห่วงเรื่องที่พัก คืนแรกก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ต้องขอหลับยาวก่อนล่ะค่ะ ^_^

ขออนุญาตแทนตัวเองว่า"เรา" นะคะ

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2558

เราได้นอนเต็มอิ่ม ตื่นมาเพราะเริ่มรู้สึกหิว ก็อาบน้ำแต่งตัว แล้วเปิดเน็ต หาข้อมูลว่าวันนี้จะไปไหนดี 

วันแรก เอาแค่ใกล้ๆที่พักก่อนดีกว่า

ที่พักของเราอยู่ใกล้สวนสาธารณะที่เจ๋งมาก คือ Vihara Maha Devi Park (ชื่อเดิม Victoria Park) ห่างกันไม่กี่สิบเมตรเอง

เราเดินข้ามถนนไปที่สวน ร่มรื่นและน่าเดินเล่น นกเยอะ แต่พบว่ากล้องก๊อกแก๊กของเรานั้นถ่ายภาพได้มีข้อจำกัดมาก ถ่ายนกก็ดูไม่ออก ถ่ายต้นไม้ก็ไม่เต็มต้น ถ้าเต็มก็ไม่เห็นรายละเอียด 555 ที่นี่ต้นไม้ใหญ่เยอะมาก เป็นสิ่งที่เราชอบที่สุดในศรีลังกา

เจ้าของที่พักเคยแนะนำเรื่องถนนที่ศิลปินจะนำภาพที่ตัวเองเขียนเองมาจำหน่าย เลยอยากไปดูที่นี่ก่อน 

จากสวนสาธารณะเราเดินไปทางออกด้านที่ติดกับ War Memorial และอาคารถัดจาก War Memorial นั้นเป็น Public Library

เราสังเกตว่า มีคนหนุ่มสาว เดินเข้าออกตลอด รู้สึกว่าน่าสนใจเชียว เลยเดินเข้าไปดูข้างใน 

ด้านหน้าอาคารห้องสมุดจะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ซึ่งสามารถพบได้ทั่วไปในศรีลังกา รวมไปถึงตามหัวมุมแยกต่างๆที่มีต้นโพธิ์ใหญ่ๆอยู่ ก็จะมีการสร้างวัดเล็กๆหรือตั้งพระพุทธรูปไว้ทุกจุดเลย และมีคนมาดูแลมาสักการะเสมอๆด้วย

อาคารไม่ได้มีอะไรหรูหรา แต่พบว่ามีการใช้ประโยชน์ได้ดีมากๆ ด้านในมีรูปปั้นคนอ่านหนังสือ ทำจากหินหลายๆก้อนมาวางต่อกันแล้วเชื่อมด้วยปูน

ที่นี่มีรูปปั้นลุงโฮด้วย

ตรงบริเวณอาคาร Study Hall ผนังเป็นกระจกเงา สะท้อนภาพสวนหย่อม ตอนแรกเรามองไปแล้วแอบตื่นเต้น วี้ดว้ายในใจ ตายแล้วๆ ที่นี่เค้าทำ Green Roof, Green Wall ด้วย พอดูชัดๆแล้วแอบเขินในความเฟอะฟะของตัวเอง แต่ก็จะเขินทำไม ไม่มีใครรู้ว่าเราคิดอะไรนี่นา ^_^

และแล้ว เราก็ได้มีภาพตัวเองในวันนี้ ที่นี่เอง....ระดับพี่นี่ต้องเซลฟี่กับผนังอาคารทั้งหลังกันเลย ฮ่า ฮ่า

หลังจากมาเถลไถลที่ห้องสมุดพักใหญ่ๆๆๆ ก็ได้เวลามุ่งสู่เป้าหมายหลักของวันนี้ ที่จริงตอนอยู่หน้า Study Hall เราก็มองออกไปเห็นเป้าหมายแล้ว โดนใจที่สุด มันไม่ไปไหน ไม่ต้องรีบๆ บอกกับตัวเอง แล้วก็เดินออกจากห้องสมุด มุ่งสู่เป้าหมายพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ยอมหุบ ^_^

ออกจากห้องสมุด เราเดินเลาะกำแพงรั้วไปทางซ้าย ก็จะถึงทางแยกที่ซ้ายมือจะเป็นรูปปั้นเพื่อระลึกถึงบทบาทและความสำคัญของลูกเสือชาวบ้าน ตรงแยกนั้น

เลี้ยวซ้ายไป ก็จะเป็นถนนที่เราชอบมากเลยค่ะ

ตลอดถนนเส้นนี้ บริเวณฟุตบาททั้ง 2 ฝั่ง ศิลปินชาวศรีลังกาจะนำผลงานของตัวเองมาวางโชว์และจำหน่าย ปกติจะวางศุกร์ ถึงอาทิตย์ แต่ศุกร์ก็อาจจะน้อยหน่อย

เราตัดสินใจถูกมากเลยที่มาในวันนี้ เพราะรุ่งขึ้น 13 เมษาเค้าจะหยุดปีใหม่ ก็จะไม่มีคนมาขาย 

วันนี้วันแรกที่เราออกเที่ยว นับว่าดีมาก เพราะมันเป็นช่วงเทศกาลที่คนก็ออกต่างจังหวัด กลับบ้าน เหมือน กทม.บ้านเรา ที่จะไม่แออัด ถนนโล่ง ทำให้เรารู้สึกสบายๆในช่วงแรกๆ มีเวลาปรับตัว และได้สัมผัสอะไรทีละน้อยๆ ค่อยๆเรียนรู้

และแล้วก็เข้าสู่ถนนที่ทำเราเพลิดเพลินมาก 

จขกท. รู้สึกลั้ลลาไงไม่รู้ แบบว่ามันเป็นแกลอรี่ ที่บรรยากาศดีซะจริง อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ตลอดสาย

แต่ละคนก็จะเอาผลงานตัวเองมาตั้งโชว์ วางโชว์บนถนน พิงต้นไม้ กำแพง 

ตัวศิลปินเองก็จะนั่งอยู่แถวนั้นล่ะค่ะ นั่งเก้าอี้บาง นั่งบนมอเตอร์ไซค์บ้าง นั่งท้ายรถกระบะ หรือ นั่งในรถสามล้อ บางคนก็ทำงานไปด้วย

คนมาซื้อก็มีหลายแบบนะคะ เดินมา ขี่มอเตอร์ไซค์มา นั่งรถเก๋งมา 

พวกที่นั่งรถ ขี่รถมานี่ ฮามาก ในความรู้สึกของเรา คือ มันเหมือน Window Shopping บนระยะห่างพอควร เพราะฟุตบาทมันกว้าง แล้วเค้ามีตะโกนเรียกซื้อ เรียกถามกันด้วยนะ......สงสัยพวกเค้าจะเป็นคนสายตายาว มองเห็นระยะไกล อิอิ 

อันนี้ รูป Still Man ซึ่งเป็นเอกลักษณ์นึงของศรีลังกา

เราเดินดูอย่างช้าๆ ดูทุกรูป เดินไปได้ครึ่งนึง ท้องร้องคร่ำครวญ ก็พอดีมาอยู่หน้าอาคารนึงพอดี 

หนุ่มที่นั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์เป็นศิลปินชื่อ Chami เอาผลงานของเค้าและภรรยามาวางจำหน่าย

นี่งานของ Anu ภรรยาเค้า

นี่งานของตัวเค้าเอง Chami

ที่จริงเราถ่ายภาพมาเยอะแยะมากมาย ถ่ายจนแบตหมด ขออนุญาตเจ้าของภาพก่อนถ่ายทุกร้านนะ 

จริงๆเลือกไม่ถูก แค่ที่เอามาลงก็เยอะแยะแล้วเนี่ย 

ทางเข้าอาคารตรงนี้ มีต้นไม้ใหญ่ และใต้ต้นไม้ใหญ่นี้เป็นที่ตั้งของ Summer Garden Restaurant

ซึ่งเรดาร์ของเรา ส่งสัญญาณว่า นี่เลย ที่นี่ล่ะ อร่อยแน่ๆ ^_^

เราสั่งโค้ก เค้าก็เอามาให้ขวดนึง กับหลอด เราขอน้ำแข็ง ตอนแรกเค้างงๆ แต่เค้าก็อุตส่ห์ไปเอามาให้ เอาใส่ถ้วยน้ำจิ้มมาเอาช้อมกาแฟมาให้ตักน้ำแข็งจิ๋วด้วย ฮ่าฮ่า เป็นน้ำแข็งที่เค้าคงแช่ไว้ใช้เองนิดหน่อย

ที่ศรีลังกานี่ จะสั่งน้ำแข็งทาน หาได้ยากค่ะ อย่างร้านโค้กกดเป็นแก้วๆ ถ้าเราบอกมีน้ำแข็งมั้ย เค้าจะบอกว่านี่มันเย็นแล้ว เค้าไม่เข้าใจว่าเราติดน้ำแข็ง 

เราสั่ง Grilled Fish with Boiled Vegetable ราคา 550 RS

พบว่ามันอร่อยมากเลยค่ะ เราติดใจ บอกเค้าว่าพรุ่งนี้จะมาอีก

เค้าบอกว่าค่อยมาวันที่ 17 นะ เค้าหยุดปีใหม่ 4 วัน ฮ่า ฮ่า

ร้านนี้มีส่วนในตัวอาคาร กับส่วนที่อยู่ใต้ต้นไม้ เป็นซุ้มๆ เค้าจะทำแบบไม่ทำลายต้นไม้เลย คือต้นไม้ใหญ่ รากใหญ่มาก ทำให้พื้นไม่เรียบ เค้าก็ตั้งโต๊ะ ทำพื้นหยึกหยักไปตามรากไม้ เราแอบมองว่า ใครจะมานั่ง เราไม่นั่งแน่ๆ รู้ตัวว่าพื้นเรียบเรายังมีพรสวรรค์ล้มกลิ้งขาขวิดพลิกซ้นได้ ปลอดภัยไว้ก่อน (ครั้งต่อไปที่ไปกิน เราพบคนมานั่งจริงๆด้วย ^_^)

ผู้ช่วยเชฟมาชวนคุย บอกว่าที่ศรีลังกา ต้นไม้ใหญ่เยอะ ตรงกับที่เรารู้สึก เลยบอกเค้าขอถ่ายรูปหน่อย จะไปให้เพื่อนดูว่าคุณบอกเราเกี่ยวกับต้นไม้ใหญ่ ..... แหม! เราถ่ายมาชัดแจ๋วเลย แฮ่ๆ

ค่าอาหารที่ศรีลังกาถูกกว่าที่ไทย แต่น้ำอัดลมจะราคาสูงกว่า ถ้าเป็น Restaurant ก็จะมี Service Charge 10% ถ้าร้านทั่วๆไป ก็ไม่มี

ทานอาหารเสร็จ ก็มีแรงเดินต่อค่ะ

เราขอแปะภาพเยอะหน่อยนะคะ ถ่ายภาพถนนนี้มาเยอะเกิน ตัดแล้วยังเยอะ ถือว่าดุรูปเพลินๆนะคะ ^_^

ประเทศศรีลังกา เป็นรูปหยดน้ำ

จริงๆเราอยากได้รูปนี้นะคะ (ภาพสาวเล่นดนตรี อยากเอามาฝากอาจารย์ แต่ก็เดินทางคนเดียว เพิ่งวันแรก ยังไม่รู้วันข้างหน้า กลัวเป้นภาระ)

ที่นี่คุณจะได้พบกับศิลปินตัวจริง แต่ละคนจะเตรียมพู่กันและสีมาด้วยนะคะ บางภาพอาจจะต้องซ่อมสีเล็กน้อย เวลามีลูกค้ามาซื้อ เค้าก็จะทำได้ทันทีเลย

ดูรูปต่อค่ะ เรายกถนนสายศิลปินโคลอมโบ มาไว้ที่นี่ ^_^

คนนี้ก็มาซื้อค่ะ น่าอิจฉานะคะ เลือกซื้อภาพสวยๆได้ในราคาที่คนส่วนใหญ่จ่ายได้ค่ะ 

ศิลปินที่เอางานมาแสดงและจำหน่าย มีตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยกลางคน เราว่าดีนะ เป็นที่ให้คนได้นำเสนอผลงาน และให้ศิลปินมีช่องทางในการจำหน่าย ให้ลูกค้ามีโอกาสเลือกชมงานที่ถูกใจ

เราเห็นว่าที่ศรีลังกา เจ้าหน้าที่ของรัฐทำงานดีมาก และเค้าภูมิใจในเกียรติและหน้าที่ ทำงานบริการประชาชนอย่างเต็มที่และรักษากฎอย่างเคร่งครัด เราเห็นตำรวจอยู่ทั่วไป คอยทำหน้าที่ให้บริการจราจรและดูแลความปลอดภัยในที่สาธารณะ 

อันที่จริง คนศรีลังกาเอง ภูมิใจในประเทศเค้ามาก เรารู้สึกได้เลย แต่ภูมิใจแบบถ่อมตัว คือไม่ทับถมคนอื่น แต่ภูมิใจว่าประเทศตัวเองมีดี เห็นได้ชัดในคนทุกระดับทุกกลุ่มเลยล่ะ

ถนนหนทางก็สะอาด อย่างที่ถนนนี้ เราเห็นคนกวาดถนน กวาดอยู่ตลอดเวลา

รูปนี้ก็เป็นรูปพิธีที่ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ของศรีลังกา คือ พิธีแห่พระเขี้ยวแก้ว (Esala Perahera) ที่เมือง Kandy ซึ่งมีริ้วขบวนที่นำด้วยช้างที่แต่งเครื่องทรงงดงาม

ศิลปินท่านนี้ชื่อ Kalahe Jayasinghe ทำงานได้หลายรูปแบบ 

เค้ามีพิมพ์ภาพเล็กๆจากผลงานภาพเขียนใหญ่ของเค้า ทำเป็นการ์ดทำมือขาย เราก็เลยอุดหนุนา 2 ใบ เป็นรูปช้างแต่งเครื่องทรง 

งานอีกรูปแบบของเค้า

ตรงนี้เป็นโซนผลงานของ Kalahe Jayasinghe สาวในรูปถูกใจภาพของเค้า ได้ซื้อภาพใหญ่ไปด้วย

เราจะจบกับถนนสายนี้ไว้แค่นี้ จะได้ไปเที่ยวที่อื่นต่อ (ที่จริง เรามีไปถนนเส้นนี้อีกครั้งนึงด้วยนะ หลังหยุดปีใหม่ ซึ่งร้านก็จะมาเยอะขึ้น ภาพก็มาใหม่ๆเยอเลย)

บนถนนเส้นเดียวกับถนนสายศิลปะนี้ เดินต่อไปอีกไม่กี่เมตร จะเป็นทางเข้า Laksala Handicrafts Center

ที่นี่จะเป็นศูนย์แสดงและจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกและงานหัตถกรรมต่างๆของศรีลังกา จากประตูทางเข้า ผ่านอนุสาวรีย์ไป ด้านขวาจะเป็นอาคารที่แสดงรถลาก(Trishaw)ในยุคสมัยต่างๆ เราเลย(คิดเอาเอง)ว่า เค้าคงมีการใช้รถลากกันมาอย่างแพร่หลายตั้งแต่อดีต เพราะปัจจุบันนี้รถสามล้อที่มีอยู่ทั่วไปในศรีลังกา เค้าก็เรียกกันว่า Trishaw

ด้านหน้าอาคารที่จำหน่ายสินค้า (Laksala Emporium) จะมีปืนใหญ่อยู่ด้วย ที่นี่ห้ามถ่ายรูปค่ะ เดินผ่านประตูเข้าไปจะผ่านร้าน Barista ก่อน ซึ่งเป็นร้านกาแฟ แล้วก็มีขนมและอาหารง่ายๆบริการด้วย ผ่านร้านกาแฟเข้าไปก็จะเป็นบริเวณแสดงสินค้า ที่นี่มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลตรวจตราหลายคนเลย 

เรารู้สึกว่า ศรีลังกามีอะไรหลายอย่างคล้ายๆกับไทยค่ะ และเป็นประเทศที่ร่ำรวยทั้งทางธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และรุ่ง

เรืองทางพุทธศาสนา งานของเค้าก็สวยงาม น่าสนใจ ฝีมือดีค่ะ จะมีงานหลักๆเกี่ยวกับช้างที่แต่งเครื่องทรงหลายรูปแบบ ทั้งงานผ้า ไม้ กระดาษ และอัญมณี

ออกจาก Laksala Emporium เราเดินลัดเลาะจากทางเดินภายใน เพื่อไปเข้า ด้านข้างของ National Museum (ทางเข้าหลักด้านหน้า จะอยู่อีกถนนนึง)

ตอนกำลังจะเดินไปหาที่ซื้อตั๋ว เราก็จะถ่ายรูปต้นไม้ใหญ่ไปเรื่อยๆ เด็กนักเรียนที่เดินผ่าน นึกว่าเราถ่ายเค้า ก็เล่นกับกล้องใหญ่เลย เราก็เลยถ่ายมารูปนึง พบว่า คนศรีลังกาชอบให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปตัวเอง (มาก) ชอบถ่ายกับนักท่องเที่ยว(กลาง) แถมบางทีก็มาถ่ายรูปเราด้วย(น้อย)

ถ่ายสาวๆเสร็จ คนเดินมาเพิ่ม แล้วหนุ่มคนเดียวที่เห็นในรูป ก็มาดึง Tablet ไป บอกว่าจะถ่ายรูปหมู่ให้พวกเรา (ตอนนั้นกล้องจิ๋วแบตหมด เราเลยเอา Tablet ออกมาถ่ายรูป) หนุ่มน้อยทำท่าเหมือนชำนาญ เราเห็นเค้าชะงักนิดนึง แต่ก็ทำท่าถ่ายพวกเราปกติ จากนั้นสาวน้อยคนนึงก็บอกหนุ่มเข้ามา เดี๋ยวเธอจะถ่ายให้บ้าง พอเรากลับมาดูที่ห้อง ก็พบว่า ไม่มีภาพที่หนุ่มถ่ายเลย .... หนุ่มคงงงงกับ Tablet ป้า แต่ก็กลัวเสียฟอร์ม ไม่กล้าถาม 5555

ชาวต่างชาติ เสียค่าเข้าชม 600 RS สามารถชมได้ 2 อาคาร คือ Colombo National Museum และNatural History Museum

ที่นี่สามารถถ่ายภาพได้นะคะ โดยเสียค่านำกล้อง หรือ วีดีโอเข้าไป แต่เราไม่ได้ถ่ายค่ะ เพราะกล้องเราถึงถ่ายไปก็มองไม่ค่อยเห็น ในอาคารไม่ค่อยมีแสงค่ะ 

อาคารแรก Colombo National Museum ที่นี่ทำได้ดีมากๆเลย เป็นสถานที่ ที่เราคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะเข้าไปชม เราก็จะเข้าใจ ที่มาที่ไป และเรื่องราวต่างๆของประเทศที่เรากำลังไปเยือน จะทำให้เราเข้าใจผู้คนและสิ่งต่างๆในปัจจุบันได้มากขึ้นค่ะ 

อีกอาคารนึง Natural History Museum กำลังปรับปรุงด้านนอกทั้งอาคาร (อาคารแรกก็กำลังปรับปรุงส่วนด้านหน้า)

ที่นี่จะมีนิทรรศการเกี่ยวกับ โลก ดวงดาว ธรรมชาติ จักรวาล พืช สัตว์ แผ่นดิน ผืนน้ำ อะไรทำนองนี้ ตัวนิทรรศการเก่า แต่เนื้อหามันเป็นอมตะสุดยอดสำหรับเรา ตอนเราเดินอยู่ เราทำเสียง อือๆอาๆ พยักหน้า ผงกหัวหงึกหงักด้วย (ไม่มีใครเห็น อยู่คนเดียว 555)

คือเรารู้สึกทึ่งและเห็นว่ามันเป็นประโยชน์อย่างมาก ไม่ได้เน้นความเก๋ไก๋ทันสมัย ไม่มีพิมพ์ Inklet โปสเตอร์อะไรเลย ถ้าไม่ใช่เป็นพวก 3 มิติ โมเดลต่างๆ ก็จะเป็นการเขียนข้อความและวาดภาพลงบนกำแพงปูน หรือ ไม้กระดาน มันเจ๋งมากกกสำหรับเราค่ะ เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ คิดดูวาดภาพสารพัดพืช ต้นไม้ ดอกไม้ นก ปลา สัตว์ต่างๆ แบบเหมือนจริงลงบนกำแพง และเขียนตัวอักษรด้วยพู่กัน ให้ความรู้ตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับลึกๆ แอบนึกอยากจะกลับไปอีกที เอากล้องไปถ่าย แต่นึกแล้วก็เศร้าใจ กล้องของเจ้ ถ่ายออกมา แม้แต่เจ้เอง คงต้องจินตนาการมากว่า มันคืออะไร หัวเราะ  

เอาเป็นว่า ส่วนตัวเราคิดว่ามันคุ้มกับการเข้าไปชมมากๆค่ะ

วันแรก เที่ยวแค่ละแวกที่พัก เดินเอา ไม่เสียตังค์ค่ารถเลยค่ะ

ออกจากพิพิธภัณฑ์เป็นคนสุดท้าย จนท.มายืนส่งกันพร้อมหน้า  รปภ.2คนตรงทางออก ยังทักทายอำลา ^_^

เดินออกประตูเดิมตรงทางเข้า Laksala handucrafs Center 

ข้ามถนนไปก็จะเป็นฝั่งนึงของ Vihara Maha Devi Park  

ต้นไม้ นก คน อยู่ร่วมกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย

ที่นี่น่าขี่จักรยานมาก ตรงโซนที่เราพัก มี Bike Lane ที่สะดวก ดูจริงจัง ปลอดภัย 

ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ก็มาใช้เส้นทางจักรยาน ทั้งสำหรับการเดินทางไปไหนมาไหน และสำหรับออกกำลังกาย

ตอนแรก เราไม่รู้ประวัติที่มาที่ไปของสวนนี้ ก็ดูไปตามที่เห็น รู้สึกว่า เออ เค้ามีสวนสาธารณะที่ดีและใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่าจังเลย

มันใกล้ที่พัก เลยมาเดินบ่อยค่ะ เกือบทุกวัน เราจะแปะภาพเรียงวันไปตามที่เห็นนะคะ ดังน้นเดี๋ยวเขียนๆไป เราก็จะแปะภาพที่สวนนี้มาอีกเป็นระยะๆ

ที่นี่มีม้าด้วยนะ เราสามารถไปเล่นกับม้า ป้อนอาหารได้ด้วย

นั่งรถม้าเที่ยวชมสวนก็ได้

หรือจะขี่ม้าก็มีบริการด้วย

เค้าจะมีโซนนึงที่มีรถเข็นขายของอยู่รวมกัน

มีหลายร้านค่ะ แต่เรามองว่าของกินที่ขายไม่หลากหลาย จะซ้ำๆกัน ก็มีเครื่องดื่ม น้ำ น้ำอัดลม ไอศกรีม ข้าวโพด มันฝรั่งทอด ผลไม้สด ผลไม้คลุก แล้วก็แป้งทอดๆที่มีกุ้งแปะอยู่ เราคิดว่ามันน่าจะแข็งเลยไม่ได้ซื้อ แต่ทุกร้านเค้าทำสะอาดนะคะ ไม่มีขยะเลอะเทอะเลย เค้ามีถุงใส่ขยะของเค้าเองด้วย เรามาอยู่ที่ศรีลังกา ตลอดทริป ยังไม่เจอร้านไหนใช้กล่องโฟมเลย แก้วน้ำดื่มถ้าเป็น Take Away เค้าก็ใช้แก้วกระดาษเคลือบไข และทริปนี้เราก็ยังไม่เจอร้านที่ใช้แก้วพลาสติกด้วยล่ะค่ะ 

หนุ่มน้อยร้านขายลูกบอล ขายดีค่ะ ในสวนจะมีคนเล่นกันเยอะเลย

ที่นี่จะมีของเล่นสำหรับเด็กๆ

คุณแม่ก็จะนั่งรอนั่งเม้าท์ ระหว่างเด็กๆกำลังเล่นสนุก

อีกกิจกรรมที่น่าสนุกมากก็คือการปีนต้นไม้ ขี่ต้นไม้ ที่ศรีลังกาต้นไม้ใหญ่ พวกอายุร้อยกว่าปีขึ้นไป นี่มีอยู่ทั่วไปเลย เราชื่นชอบที่สุดเลยค่ะ

รถขายไอติม บริการความสุขความหวานสดชื่น ให้คนทุกวัยค่ะ

Trishaw หรือรถสามล้อ มีให้บริการทุกหนแห่ง บางคนก็เรียก 3 Wheels หรือ Tuk Tuk (อาจจะรู้จักจากคนไทยก็ได้นะคะ) แต่ที่เรียกกันทั่วไป คือ Trishaw 

จากการที่ร้านอร่อยที่กะจะฝากท้องวันรุ่งขึ้นบอกว่าหยุด บรรดาศิลปินยังบอกวันอาทิตย์พรุ่งนี้จะไม่มีใครมา 

แถมคนที่มาชวนคุยทั้งหลาย ต่างก็บอกว่า ธรรมดา โคลอมโบไม่ใช่เงียบๆแบบนี้นะ มันจอแจBusyทั้งวี่วัน

ได้รับคำบอกเล่าว่าคนและร้านส่วนใหญ่จะหยุดประมาณ 1 สัปดาห์ 

เราเลยวิตกจริต กลัวอดตาย ตอนค่ำเลยเดินไปห้าง Arpico (ที่พักของเรา เหมาะกับทริปแรกนี้มาก ใกล้ทุกสิ่งอย่าง) ไปซื้อของมาตุนไว้นิดนึงก่อน 

จริงๆที่ห้องพักมีเครื่องปิ้งขนมปัง แล้วก็เครื่องถ้วยชามมีดช้อนสารพัดนะ มีไมโครเวฟ ดังนั้น ถ้าห้างสรรพสินค้าไม่ปิด เราก็ไม่ถึงกะอดหรอก เลยไม่ได้ซื้อมาเยอะ เอาแค่พอมีกินไปมื้อสองมื้อก่อน ถ้าจำเป็น ซื้อโค้ก น้ำส้ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไส้กรอกไก่ ผลไม้ แล้วก็อินทผลัม (น้ำดื่ม รปภ.ไปซื้อขวดยักษ์ใหญ่มาให้อีก 10 ขวด ยกขึ้นไปบนห้องให้ด้วย...ใจดี ^_^)

ที่ Arpico เราเจอร้านผลไม้สดคั้น ปั่นร้านแรก ประเดิมไปเลยด้วยมะม่วงปั่น (ไม่ใส่น้ำ ไม่ใส่ น้ำตาล) เริ่ดที่ซู้ด 250 RS 

และพบว่าของอร่อย ราคาย่อมเยา คุณภาพดีที่นี่ คือ อินทผลัม เราซื้ออันที่เคลือบน้ำผึ้งด้วย กล่องขนาด 600 g. ราคา 290 RS เท่านั้น ตอนกลับบ้านซื้อมาด้วย 4 กล่อง

กล่องเดียวที่เราซื้อ กินวันละนิดละหน่อย อยู่ได้ตลอดทริปเลย

มีเรื่องสนุกวันนี้ ตอนไปซื้อของในห้าง พอดีกรุ๊ปทัวร์จีนมาลง เค้าซื้อของกันเยอะมาก ซื้อยังกะเอาไปขายแน่ะ ที่เห็นหยิบมากเป็นพิเศษ ก็จะเป็นมะม่วงหิมพานต์ แบบต่างๆ หน้าตาน่าทานมาก ราคาห่อนึงคิดเป็นเงินไทยหลายร้อยถึงพันกว่าบาท ราคาสูงเชียวแต่ของดูดีมาก เค้าหยิบกันคนละเป็นสิบหรือหลายสิบห่อ หมดชั้นเลยล่ะ แย่งกันเองด้วย ส่งเสียงล้งเล้ง โวยวาย ชวนปวดหูปวดหัวมาก แล้วก็ยืนเกะกะขวางทางคนไปทั่ว ไม่สนใจใครเลย เราเห็นเจ้าหน้าที่พากันเดินมาดูอย่างแตกตื่น แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ดูเป็นลูกค้ากระเป๋าหนักกลุ่มใหญ่ 

ผู้หญิงศรีลังกาคนนึงเข็นรถผ่านมา บอกขอทางอย่างสุภาพเป็นภาษาอังกฤษ ไม่มีคนสนใจ เธอก็เริ่มเสียงดังขึ้น เพิ่มเลเวลไปอีก 2 ครั้ง ยังไม่ได้ผล สุดท้ายเธอฟิวส์ขาด ตะโกนด่าเลย(แต่เสียงดังสู้อาเจ้อาเฮียไม่ได้นะ อิอิ) เราว่าทัวร์จีนเก่งมากเลย เธอยืนด่าอยู่ข้างๆสาวๆที่เกะกะ แต่ทุกสาวทำเหมือนเธอเป็นอากาศธาตุ ไม่สะเทือน ไม่หวั่นไหว ไม่เหลือบแลไปซักนิดเลย เรายืนมองและหัวเราะก๊ากออกมาเสียงดังด้วยนะ แต่ก็แน่นอน ไม่มีใครสนใจเราเช่นกัน (แต่มีคนสบตาแล้วยิ้มกับเราด้วยนะ) หัวเราะ

ความบันเทิงมีอยู่รอบตัวเราจริงๆ ^_^

จันทร์ที่ 13 เมษายน 2558

นอนซะเต็มอื่ม ไม่มีอะไรรีบร้อน ตื่นมาอย่างสดชื่น

เริ่มก้าวเข้าสู่วันหยุดเทศกาลปีใหม่อย่างเป็นทางการของศรีลังกา

เค้าถือว่าเป็น Singhala and Tamil New Year 

การ์ดอวยพรปีใหม่จะหน้าตาแนวนี้

จะมีการทำบุญ ไหว้พระ ทำอาหารฉลองในครอบครัวและแจกจ่ายให้เพื่อนบ้าน 

เล่นเกมส์ เล่นดนตรี จุดประทัด อาบน้ำแต่งกายด้วยชุดใหม่ แจกเงินให้ลูกหลาน และเก็บเงินก้นถุงเป็นสิริมงคล ประมาณนี้ค่ะ

เมื่อวานเราออกจากที่พักเดินเลี้ยวขวา วันนี้ไปลองเลี้ยวซ้าย

ตึกนี้มองเห็นแต่เมื่อวาน ว่าทำไมดูสดชื่นดีจริง อะไรจะปลูกต้นไม้เป็นจริงเป็นจังขนาดน้าน ปลูกมันทุกชั้น

วันนี้ได้เดินผ่านละ ที่แท้เป็นตึกของ Indra Trading ซึ่งทำธุรกิจขายรถค่ะ พอเดินเข้ามาใกล้ ยิ่งเห็นว่าเค้าปลูกต้นไม้เยอะจริง

สิ่งที่เราชอบที่สุดก็นี่ล่ะค่ะ ต้นไม้ใหญ่ ถูกอนุรักษ์และดูแลอย่างดีทุกต้น

และมันก้ให้ประโยชน์มหาศาลกับทุกคน ทั้งความสวยงาม ความร่มรื่น

จริงๆที่นี่แดดแรงนะคะ แม้อุณหภูมิจะไม่สูงเท่าบ้านเราก็ตาม แต่เรากลับเดินไปไหนมาไหนได้สบายใจมาก ก็เพราะมีร่มไม้ใหญ่อยู่ทุนหนแห่ง แถมก็เป็นเมืองที่ฝนตกเป็นส่วนใหญ่ แต่เราเคยออกไปเดินข้างนอกตอนฝนตก 2-3 ครั้ง โดยไม่มีร่ม เรากลับแทบไม่เปียกเลย ก็เพราะต้นไม้หญ่ช่วยดูดซับน้ำให้นี่ล่ะค่ะ

วันนี้ กะจะเดินไปวัด คิดว่าไปถูกทิศทาง ไม่ได้หาข้อมูลจริงจัง กะๆเอาค่ะ

ระหว่างเดิน มี Trishaw หรือ Taxi มาจอดเรียกบ้าง แต่เราบอกว่าอยากเดินไปเอง

เค้าก็มักจะชวนคุย เช่นมาจากไหน มาครั้งแรกรึเปล่า มากี่วัน 

บางคนก็ถามชื่อ ถามว่าแต่งงานรึยังด้วย ตอนแรกตกใจอะไรจะซักจังวะ 

แต่ดูท่าทางเค้า ไม่ได้คิดว่ามันละลาบละล้วง เราก็เลยไม่ได้แสดงอาการอะไร 

แต่เราจะตอบทุกคนว่าแต่งานแล้ว มีลูกโตแล้ว (โกหกโดยเจตนาค่ะ)

หลายคนจะโน้มน้าวว่า นี่ตอนนี้ปีใหม่ศรีลังกานะ มันมี exhibition ดีๆ ที่ศรีลังกานน่ะมีชื่อเสียงเรื่องอัญมณีมากๆเลย 

เราก็จะบอกว่าเรารู้แล้ว แต่เราไม่สนใจของพวกนั้น เรามีสิ่งที่เราสนใจและกำลังจะไปดู 

โดยมากก็พูดดีมารยาทดีทุกคนค่ะ ไม่มีคนไหนมีอาการคุกคามเลย

เค้าจะออกแนวช่างพูดช่างคุย ตอนหลังถ้าเราขี้เกียจคุย เราก็จะยิ้มๆแล้วก็ส่ายหัว (เค้าเข้าใจนะคะ ว่าเราส่ายหัวแปลว่าไม่ แม้ว่าเวลาเค้าส่ายหัวจะแปลว่า Yes หรือ OK ก็ตาม แต่การส่าย มันคนละลีลานะคะ ^_^)

แต่มีพิเศษคนนึงค่ะ เค้าขับรถตามด้วย แล้วก็ถามว่ามาจาก China รึเปล่า พอเราบอกว่า ไม่ใช่ มาจาก Thailand เค้าก็บอกว่าหนุ่มศรีลังกาไม่ชอบสาวจีน เพราะสาวจีนชอบเซ็กส์ (เราได้ยินแบบนี้นะ) เราก็ ฮ้า! อะไรนะ! เค้าก็พูดอีกที เราก็ไม่ได้พูดอะไร เดินไปเรื่อยๆ เค้าขับรถตามอีก แล้วก็พูดว่า Do you like sex? เราก็ตอบเค้าว่า I have nothing to talk with you. และเดินต่อไป เค้าก็ขับรถตาม แล้วพูดว่า If you like sex, you can go and enjoy with me. เราหัวเราะก๊ากออกมาแบบขำมากเลย (ไม่ได้กลัว เพราะเค้าไม่มีท่าทีน่ากลัวหรือคุกคาม ไม่ทำหน้าหื่นหรือหยาบคาย พูดเหมือนธรรมด๊าธรรมดา) เราตอบเค้าว่า Thank you so much. I'm on my way to the temple. Bye ^_^   

เดินไปอย่างขำๆนะ มันตลกอ่ะ

และแล้ว ก็มาเจอวิวทะเลสาบ อันสบายตา ลมดี น่าเพลิดเพลินมาก 

(อย่างที่บอก เราว่า เรามาครั้งแรกในช่วงวันที่ดี ทำให้ได้ค่อยๆสัมผัสเมืองและผุ้คน แบบไม่รีบเร่ง)

กล้องของเรา ขนาดถ่ายนก ใกล้ๆยังไม่ค่อยชัด (ไม่นับฝีมือคนถ่ายอีก 555) ไม่ต้องไปคิดถึงนกที่เกาะบนต้นไม้เลยค่ะ หมดสิทธิ์

กล้องจิ๋วของเราป่วย จะมีวงดำ 1-2 วงในทุกรูป และเราก็ใช้กล้องนี้ล่ะค่ะ อันเดียวตลอดทั้งทริป

ฝั่งถนนตรงข้ามทะเลสาบ เค้ากำลังแข่งคริกเก็ตอยู่ เราเลยไปยืนดู มีผู้ชายคนนึงจอดรถ Trishaw ยืนดูไม่ไกล เค้าเดินมาถามเราว่า รู้จักคริกเก็ตมั้ย เราบอกว่า รู้จักแค่ว่ามันคือ กีฬาคริกเก็ต เค้าบอกว่าศรีลังกาเป็นแชมป์โลกคริกเก็ตด้วย บอกอย่างภาคภูมิใจฝุดๆ เราแอบอมยิ้มเลย 

จากทะเลสาบด้านที่เรายืนอยู่ตอนนี้ มองไปอีกฝั่งนึง ก็จะเห็นจุดหมายในวันนี้ที่เราตั้งใจมา 

ถ้าจะไปแค่จุดหมายที่เราตั้งใจ ตรงวัดนั้น เราไม่ต้องเลี้ยวเข้ามาฝั่งนี้ก็ได้ แต่การเข้ามา ทำให้เราได้มองเห็นสิ่งนั้น สถานที่นั้น จากอีกมุมมอง 

อะไรๆก็ดีทั้งน้าน ไม่มีอะไรที่ดีที่สุด ^_^

มองเห็นฝั่งตรงข้าม คิดว่าเป็นที่ๆเราจะมาชมในวันนี้

รู้มาคร่าวๆว่า Gangaramaya Temple กับ Seema Malaka Meditation Center อยู่ใกล้กัน แต่ไม่มีเวลาหาข้อมูลจริงๆ ที่วันนี้มาเที่ยวเพราะเห็นว่าเป็นวัดสำคัญของศรีลังกาและอยู่ใกล้ที่พัก เดินมาได้

พอเห็นฝั่งตรงข้าม หน้าตาเป็นวัด มีเจดีย์ แล้วใกล้ๆกันเป็นตึก กำลังก่อสร้าง เลยคิดเองเออเองว่า อ๋อ ที่มีเจดีย์กลางน้ำ นั่นคือวัด แล้วอาคารที่กำลังก่อสร้างต้องเป็น Meditation Center แหงๆ 

ตอนจะเดินไปวัด ทำทะลึ่งเดินลัดเข้าไปในที่ก่อสร้างด้วยนะ ประหยัดเวลาและย่นระยะทางไง ^_^

จากหน้าเจดีย์กลางน้ำ มองไปฝั่งตรงข้าม เห็นคนกำลังเล่นคริกเก็ตอยู่ เป็นที่นิยมจริงๆ เห็นเล่นกันทั่วไปเลย ....ที่จริงซอยข้างๆที่เค้าเล่นคริกเก็ตคือทางเข้าวัดคงคาราม Gangaramaya Temple แต่พอเราไปคิดเองว่าที่มีเจดีย์กลางน้ำเป็นวัด ศูนย์สมาธิกำลังก่อสร้าง เราก็เลยไม่ได้คิดจะเสาะหาเพิ่มเติม

คุณลุงคนนี้ ที่เดินถือถุง ในถุงเค้าใส่ดอกลีลาวดี ซึ่งคุณลุงสอยเอาจากต้นที่อยู่ตามทาง แกมีเหล็กยาวๆ ที่ปลายเป็นขอโค้ง ไว้เกี่ยวดอกไม้ที่อยู่สูงๆ เกี่ยวทีละดอก แล้วเก็บใส่ถุง คุณลุงดูสุภาพ สำรวมนะ แล้วดอกไม้ก็น่าจะนำไปถวายพระ

ที่นี่เค้าคงไม่ได้มองว่าแปลก หรือเป็นการขโมย เพราะเราได้เห็นแบบนี้บ่อยๆเลยล่ะค่ะ แต่เค้าก็ขโมย เอ้ย! จิ๊ก เอ้ย! เก็บ แบบพอประมาณนะคะ ไม่ได้เก็บจนต้นเค้าดอกโกร๋น แหว่ง คนอื่นอดเชยชม เค้าไม่ค่อยโลภกันค่ะ 

ในที่สุดเราก็มาถึง Seema Malaka Meditation Center 

แต่เดี๋ยวก่อน กำลังจะเดินก้าวลงบันได มีหนุ่มหล่อมาเรียกค่ะ คนนี้อย่างหล่อ แต่งตัวอย่างกะทำงานใน World Trade Center เลย

มาทักและชวนคุย ถามว่ามาจากไหน พอบอกจากไทย เอ้า!คุยอีก เคยไปไทยหลายครั้ง มีเพื่อนคนไทยหลายคน 

แล้วก็แนะนำเรื่องเที่ยวศรีลังกา สรุปก็คือจะชวนไปชม Exhibition อีกแล้วววว เราบอกมีคนชวนหลายคนแล้วล่ะ เราไม่สนใจเลย ยูก็ดูซิ เราไม่ใส่เครื่องประดับอะไรซักอย่าง เค้าก็ยังบอกอีกว่า มีอีกหลายที่น่าสนใจ แบบว่า ไม่อยากให้เราเสียเวลา ที่นี่มันไม่มีอะไรให้ดู

เราเลยบอกว่า เหรอ...ไม่มีอะไรให้ดูเหรอ แต่ไม่เป็นไร ไหนๆเราก็มาถึงแล้ว ให้เราเข้าไปดูเถอะนะ เรามีเวลาเยอะ ไม่ต้องห่วง ไม่เสียเวลาหรอก

ในที่สุด เจ้ก็ฝ่าด่านอรหันต์ มาถึงจนได้ เกือบแพ้ความหล่อแล้วเชียว 555

Seema Makaka Mediatation Center หรือ Seema Malaka Temple 

คนไทยเรียกกันว่า วัดกลางน้ำโคลอมโบ ตั้งอยู่ใน Beira Lake 

วัดกลางน้ำนี้ มีโบสถ์หลังใหญ่อยู่ตรงกลาง ประดิษฐานพระพุทธรูปด้านใน และบนขอบรอบกำแพง

ทางปีกซ้าย จะเป็นที่ประดิษฐานต้นโพธิ์ และมีเจดีย์สีขาวอยู่ในฝั่งนี้ด้วย ส่วนทางปีกขวาเป็นหอพระไตรปิฎก 

เคยได้อ่านที่ไหนมาไม่รู้ (จำผิดรึเปล่าก็ไม่รู้เช่นกัน แฮ่ๆ) ว่าวัดนี้เคยเกิดพังและจมน้ำ ต่อมาได้จัดสร้างขึ้นใหม่ โดยมีสถาปนิกผู้มีชื่อเสียงเป็นผู้ออกแบบ

เดินเลาะริมทะเลสาบมาเรื่อยๆ ก็จะมาเจอกับจุดเริ่มของสะพานแขวน ซึ่งสามารถเดินข้ามไปยังเกาะที่ร่มรื่นงดงาม ที่อยู่กลางทะเลสาบเบรา

ป้ายรถเมล์ตรงบริเวณนั้น มีทางลาดให้รถเข็นด้วย แต่ก็ไม่เห็นรถเมล์เค้ารองรับกับรถเข็นนี่นา ไม่แน่ใจ อาจจะมีเหตุผลเฉพาะบริเวณนี้ แต่ในที่สาธารณะจะมีคนเข็นรถพาผู้ใหญ่มากินลมชมวิวกันเยอะเลย

มีจักรยานน้ำ ให้ขี่ออกกำลังกาย และชมวิวทิวทัศน์ เป็นที่นิยมมากด้วยค่ะ ช่วงหยุดปีใหม่ คนจะบางตา แต่พอหลังวันหยุด คนคับคั่งทุกวัน

รอบทะเลสาบจะมีม้านั่งหิน เรียงราย ปกติจะมีคนนั่งแทบทุกที่ ยกเว้นช่วงวันหยุดพิเศษอย่างวันนี้ ที่ใครๆต่างก็อยู่กับครอบครัวที่บ้าน

ตอนนั่งเครื่องมา อ่านนิตยสารบนเครื่อง เจอรูปอาคารนึงในศรีลังกา อาคาร Altair ทำเราตาเหลือกในใจ ว่า อ่าฮ้า! ศรีลังกามีอะไรที่มันอลังการขนาดนี้เลยรึ ต้องหาโอกาสไปลองชมดูซะหน่อยแล้ว

ตึกนี้ล่ะค่ะ แต่ภาพในนิตยสารมันหรูหรา โรแมนติก น่าตื่นตาตื่นใจกว่านี้มากกกก

ซึ่งก็มาเจอ อยู่ที่นี่เอง โครงการกำลังดำเนินการก่อสร้าง คืบหน้าไปเยอะมากแล้วค่ะ เป็นโครงการใหญ่ ทำเลที่ตั้งดี๊ดี อยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามกับสะพานแขวน ตำแหน่งที่ตั้งอาคาร จะมองเห็น Beira Lake และเกาะกลางน้ำได้แบบนี้เลย

ใครอยากจะได้ที่อยู่อาศัยในเมืองโรแมนติค ทำเลเก๋ๆเริ่ดๆ ก็ลองไปชม และติดต่อได้นะคะ อาจจะยังพอเหลือซักยูนิตสองยูนิต อิอิ

Altair Sri Lanka's Tallest Residential Towers Colombo Documentary

เดินไปเรื่อยๆ จนสุดขอบทะเลสาบ จะเป็น 3 แยก ข้ามถนนไปเป็น Sampath Bank ซึ่งเราแอบชอบภาพที่เค้าติดรอบๆตัวอาคาร เลยถ่ายมาดูเล่น โดยไม่รู้มันคือภาพอะไร ต่อมาถามเพื่อนที่ได้รู้จักในทริปนี้ เค้าบอกมันเกี่ยวกับกิจกรรมที่ทำในวันขึ้นปีใหม่

เริ่มหิวข้าวละ สามล้อคันนี้กระดิกนิ้วเรียกอย่างฮา เลยใจง่ายไปกะเค้าเลย 

ให้เค้าพาไป Old Dutch Hospital ค่ะ เป็นโรงพยาบาลเก่า ที่นำมาปรับปรุงทำเป็น Community Mall แบบเก่ไก๋ เรียกว่า Dutch Hospital Shopping Precinct

อย่างหิว ก็ขอทานก่อนค่ะ จริงๆมีร้านชื่อ Ministry of Crab ก็น่าสนใจ แต่ว่ามาคนเดียว กินปูอาจไม่สนุก กลัวไม่อิ่มด้วย 555

เลยตัดสินใจเลือกร้านนี้ค่ะ Harpo's Colombo Fort Cafe ทำตามเรดาร์ แล้วก็พบว่า อร่อยอีกแล้ว

นั่งด้านนอก จะได้ดูวิว ดูคนไปด้วย

ด้านในเค้าก็สวยงามน่านั่งค่ะ (ดูรูปออกมั้ยเนี่ย ว่าร้านเค้าจริงๆสวยนะคะ 555)

ค่าเสียหาย

เท่าที่เจอมา 2 วัน ทำให้รู้ว่า คงไม่น่าห่วงมาก เรื่องอาหารการกิน 

ปกติเราเป็นคนทานค่อนข้างยาก ทานไม่เป็นหลายอย่าง แล้วก็เป็นคนท้องเสีย-อาหารเป็นพิษได้ง่าย เลยต้องระวัง 

วิตกจริตมาล่วงหน้า กลัวอาหารไม่สะอาด ไม่อร่อย ทานไม่ได้ พกยาฆ่าเชื้อ กับเกลือแร่มาเป็นโหล (ยาซองละ 4 เม็ด พกมาสิบกว่าซอง...ไม่ได้ใช้เลยซักเม็ด มีใช้วันก่อนมาไป 2-3 เม็ด ที่ไทยนี่ล่ะค่ะ กินอะไรมาไม่รู้ จู๊ดๆเลย)

มุมมอง World Trade Center Colombo (WTCC) จากเก้าอี้ทานอาหารของเรา

อิ่มแล้วก็เดินชมร้านต่างๆ ส่วนตัวเรามองว่า ตัวอาคารเก่า สวยดี และมีประวัติความเป็นมาน่าสนใจ แต่สำหรับร้านค้าต่างๆนี่ เราเฉยๆมากเลย ไม่รู้สึกมีเสน่ห์ ไม่ดึงดูดเราให้อยู่นานๆ แต่อย่างที่ Vihara Maha Devi Park หรือ Galle Face Green นี่ เราสามารถไปบ่อยๆ อยู่นานๆได้ ไม่รู้สึกเบื่อเลย (เอาจริงๆเราก็รู้แหละ เราไม่ชอบอะไรที่ออกแนว เฟค หรือ ประดิษฐ์....เรามองเห็นความเก๋ ที่อยู่ภายในแต่ละสิ่งแต่ละคนได้ ซึ่งมันดึงดูดกว่าสำหรับเรา)

ร้าน Odel นี่เราก็ชอบนะ เห็นการจัดร้านและสินค้าน่าสนใจอยู่เหมือนกัน 

ส่วนร้านชาร้านนี้ รู้สึกจะดังในหมู่นักท่องเที่ยว เราเดินเข้าไป ตั้งใจจะไปหาชาและขนมมาดื่มกิน แต่เข้าไปแล้ว ไม่ชอบเลย รู้สึกมันไม่ใช่  มันไม่มีจิตวิญญาณ ขอเจ้กลับไปชงชาที่ห้องกินดีกว่า เดินเข้าไปเยี่ยมๆมองๆส่องๆแล้วออกมาซะงั้น แฮ่ๆ

ออกมาเดินเล่นด้านนอกแล้าก็หารถกลับที่พัก

ด้านขวาของ Dutch Hospital เดินไปหน่อยจะเป็น Kingsbury Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมใหญ่ อยู่ริมมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ และไม่ไกลจาก Galle Face Green เรายังไม่ไปเดินเที่ยวในวันนี้ ไม่รีบๆ (อันที่จริง พอได้เริ่มรู้จักศรีลังกา ก็รู้เลยว่า เราจะต้องกลับมาอีกหลายครั้ง เลยยิ่งไม่มีอะไรจะรีบใหญ่เลย ^_^)

ร้านนี้เล็งไว้ว่าจะมากับเพื่อน พฤศจิกานี้....ชอบชื่อร้าน "Fridays" และสโลแกนเค้าด้วยค่ะ In here, It's always Friday

ตรงข้ามกันเป็นอาคารแฝด World Trade Center

ถัดมาเป็นโรงแรมฮิลตัน ซึ่งหน้าโรงแรมก็มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ด้วย เช่นเดียวกับหลายๆอาคารในศรีลังกา

เราเดินมาเรียกรถสามล้อตรงนี้กลับที่พักค่ะ

ค่าสามล้อ(Trishaw) ที่นี่ถูกมาก มีทั้งแบบติดมิเตอร์และไม่ติด ความรู้สึกของเรามีเยอะยิ่งกว่ามอเตอร์ไซค์รับจ้างบ้านเราซะอีก เราเรียกไปที่นู่นมานี่ แล้วแต่ใกล้ไกล อยู่ระหว่าง 150-300 RS ต่อเที่ยว  ราคาถูกกว่ามอเตอร์ไซค์วินที่วิ่งประจำซอยอีกค่ะ

มาต่อค่ะ...วันนี้เดินทางไกลมากับน้องหมา เพิ่งได้เข้าที่พักเองค่ะ

-----------------------------------------

อังคารที่ 14 เมษายน 2558

งานของเราเกี่ยวข้องกับวงการไม้ดอกไม้ประดับ เราเลยชอบไปดูงานดอกไม้ จัดสวน และตลาดไม้ดอกไม้ประดับในแต่ละเมือง

หาข้อมูลมาได้นิดนึง(หายาก และข้อมูลก็ไม่ชัดเจน) ถามคนศรีลังกาที่ได้คุยด้วย ก็ไม่รู้จัก พอดีเจอตัวเจ้าของที่พัก ซึ่งบังเอิ๊ญเคยเป็น Lanscape Designer มาก่อน เค้ารู้จักสถานที่ที่เราพูดถึง และบอกว่านั่นน่ะใหญ่สุดในโคลอมโบแล้วล่ะ แต่ก่อนเคยมีที่ Oasis ไม่ไกลจากที่พัก แต่ปัจจุบันเหลือเล็กนิดเดียว  ที่เราพูดนั้นเปิดใหม่และใหญ่ที่สุด 

ไม่ได้ถามอะไรเค้ามากกว่านี้ และไม่ได้บอกเค้าว่าคิดจะไปวันนี้ (จันทร์ 14 เม.ย.)

เดินออกไป 30 เมตร ^_^ ไปเรียกรถที่สวนสาธารณะ 

แอบอยากมีรูปเป็นที่ระลึกมั่ง เริ่มจากถ่ายติงก่อง 

คนขับชื่อ Mahinda พูดอังกฤษได้น้อย จนเราไม่ค่อยแน่ใจว่าเค้าจะพาเราไปถูกรึเปล่า

บอกให้เค้าพาไป Good Market at Water's Edge, Battaramulla

ตั้งใจจะไปหาอาหารทานที่นั่น 2 มื้อ กะอยู่นานๆถึงค่ำ เอาหนังสือไปอ่านด้วย เพราะที่เราเห็นมาในรูปมันสวย บรรยากาศดี มีอาหารอร่อยๆหลายร้าน ตอนเย็นมีดนตรีสดด้วย

นั่งมาเรื่อยๆ พอเห็นหลังคาขาวๆ ค่อยโล่งใจว่ามาถูกที่แล้ว เหมือนกับที่เคยเห็นในรูป

แต่พอเข้ามาใกล้ๆ ทำไม มันช่างว่างเปล่า นี่คืออัลไล? เค้าเลิกกิจการ? ตลาดเจ๊งไม่มีลูกค้า? .... นี่คือคำถามในหัวของเราค่ะ แบบว่า มันโล้งงงโล่งงง โล่งจริง โล่งจัง

ตอนเราเห็นในรูป คิดว่าหลังคาขาวๆเป็นเต๊นท์ จริงๆมันเป็นหลังคาไฟเบอร์ค่ะ 

ที่นี่มีการวางโครงสร้างที่ดี เรียบร้อยสวยงาม 

ใกล้ๆกันก็เป็นสวนและบึงน้ำขนาดใหญ่ (ไว้จะพูดถึงอีกที วันอื่น ^_^)

ตรงกลางจะมีตู้ปลาขนาดใหญ่เป็นวงกลม วันนั้นมีคนมาดูปลาบ้างเล็กน้อย

พอดีมีหนุ่มน้อยคนนึง กำลังทำงานอยู่ที่บู๊ทอาหาร 

เราเลยไปถาม เค้าบอกว่า ไม่ได้เลิกกิจการหรอก ที่นี่จะเป็นตลาดแบบอีเว้นท์ คือ แต่ละวัน ขายไม่เหมือนกัน เช่น วันอังคารขายเสื้อผ้า วันพฤหัสขายอาหาร ประมาณนี้ แต่สำหรับต้นไม้ จะมีวันศุกร์ถึอาทิตย์ แต่ช่วงปีใหม่ ก็จะมีร้านมาน้อยนะ ส่วนใหญ่จะหยุด เค้าว่างั้น 

เรากลัวผีหลอก เอ้ย! ไม่ใช่ค่ะ คือ เราก็ไม่รู้จะอยู่ยังไงให้มันถึงค่ำกับที่โล่งๆ แดดจ้าแบบนี้ แล้วเราก็หิวมากด้วย มันไม่มีอะไรขาย นี่สำคัญที่สุด! 

ที่จริงตรงปากทางเข้าตลาด มีแมคโดนัลล์ร้านใหญ่ แต่เราไม่อยากกินอาหารแนวนั้น 

เลยบอกคนขับช่วยพาไป Fort Railway Station หน่อย คือ เราคิดว่าจะไปหาอาหารอร่อยๆทาน แล้วนั่งฆ่าเวลาอ่านหนังสือในร้านกาแฟที่สถานีรถไฟ รู้มาว่านั่นคือสถานีรถไฟที่เป็นศูนย์กลางของโคลอมโบ 

ในจินตนาการของเรา มันต้องมีช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ในนั้น ต้องมีร้านเพียบ อีกอย่างก็จะไปหาข้อมูลเรื่องตารางหรือตั๋วรถไฟด้วย เพราะเราคิดว่าจะนั่งรถไฟไปเที่ยวซักที่สองที่ ในทริปนี้ (ไม่ไปเยอะ รอไว้ไปพร้อมเพื่อน ^_^)

Mahinda บอกว่ามีลูกสาวอายุ 31 พูดอังกฤษคล่องแคล่วมาก ชื่อ Buddhima

ซักพักก็บอกว่า อยากชวนไปบ้าน เรากินข้าวกลางวันรึยัง ตอบไปว่า กินแล้ว กินเสร็จก็ออกมาเลย (ที่จริงหิวมากกกก)

เค้ายังไม่เลิกชวน บอกว่า ให้แวะบ้านเค้าก่อน แป๊บนึง บ้านเค้าอยู่ใกล้ Fort Railway Station 

ชวนหลายที ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง เพราะดูเหมือน ถึงจะปฏิเสธ แต่ถ้าเค้าจะไปเราก็คงทำอะไรไม่ได้ 

อีกแป๊บบอกขอแวะเติมน้ำมัน หน้าตาปั๊มน้ำมันก็ไม่ศิวิไลซ์เท่าปั๊มแถวที่พักเรา เริ่มระแวงค่ะ 

เซ้นส์ของเรา บอกว่า Mahinda ไม่ได้เป็นคนไม่ดี แต่สมองมันบอกให้ระวัง และสั่งให้เราโกหกเพื่อป้องกันตัว ไม่ว่าจะบอกว่ากินข้าวแล้ว บอกว่ามีสามีและมีลูกแล้ว (จริงๆอยู่คานทองวิลเลจค่ะ)

เราถ่ายรูปปั๊มน้ำมัน ตาคนนี้ก็มาบอกให้ถ่ายรูปเค้า แหม๊!ดูโพสซะ 

เท่าที่เราพบมา คนศรีลังกา เป็นมิตรและมีน้ำใจมากค่ะ บางทีเค้าเป็นมิตรเกินไปจนเรารู้สึกระวังตัว 

เราว่า เค้าเป็นคนที่ซื่อๆจริงใจ ไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ไม่วกวน เล่นกล ยอกย้อน....อันนี้พูดถึงโดยทั่วไปนะคะ ไม่ได้หมายถึงในวงการธุรกิจ ซึ่งอาจจะแตกต่างออกไป คือ ไม่แตกต่างกันไม่ว่าชาติไหนๆ รึเปล่า ^_^

แต่ด้วยสีผิวของเค้า กับเวลาที่เค้าไม่ได้ยิ้ม คนอาจมองเหมือนเค้าดุ ซึ่งจริงๆแล้ว ตรงข้ามเลย ใจดีมาก สุภาพมาก ในบางคนจะกันเองมากจนดูเหมือนละลาบละล้วง (ซึ่งเท่าที่เราดู เค้าไม่มีเจตนา) ดังนั้น ถ้าเรามองเห็นคนอย่างที่เค้าเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราคิดว่าเค้าเป็น เราก็จะได้พบความจริง และความจริงใจนะคะ

เค้าขับซอกแซกเข้าไปในซอย ซึ่งเราดูก็รู้ว่าเค้าอยากพาไป บ้านเเค้าอาจไม่ไกกลจาสถานีรถไฟจริง แต่มันไม่ได้ต้องผ่าน คุณจงใจจะเข้าไปต่างหาก

ขับๆไป บอกเจอคนรู้จัก ขอให้เค้าติดรถไปด้วย เรานึกในใจขำๆ ตามสบายเถอะคุณพี่ น้องมันไม่มีปากมีเสียง 555

ซักพักก็มาจอดตรงนี้ค่ะ เค้าบอกว่าบ้านเค้าเล็กนิดเดียว ไม่เป็นไรนะ และชวนกินข้าวอีก เราก็บอกว่าขอบคุณมากแต่เราอิ่มมากเลย (หิวจะเป็นลมแล้ววว)

เค้าบอกบ้านอยู่ในซอย ปากซอยเป็นร้านญาติ ซักพักลูกสาวเค้าก็ออกมา เราก็ทักทายกัน เค้าก็ชวนเข้าไปบ้าน ไปดื่มชาและของว่าง คือ มันไม่มีทางปฏิเสธได้แล้ววว มันจะเสียมารยาทเกิ๊น 

นี่ค่ะสองพ่อลูก เราชอบรอยยิ้มของBuddhima

บ้านเค้าหลังนิดเดียวอย่างที่Mahindaบอก ดูแล้วไม่เกิน 2.5 x 2.5 เมตร มี 2 ชั้น บันไดปูน กว้างไม่เกิน 0.5 เมตร 

ตอนเรานั่งอยู่ในบ้าน Buddhima จะส่งเสียงคุยกับใครคนนึงที่อยู่ชั้น2ตลอด เดาว่าเป็นคุณแม่ 

Buddhima ต้มน้ำ ชงชาเขียวให้เราดื่ม และชวนทานผลไม้ เห็นเค้ามีอาโวคาโดและแตงโม เราเกรงใจมาก ไม่อยากรบกวน เค้าถามหลายทีเลยบอกเอาแตงโมละกัน คิดเอาว่ามันคงเปลืองเค้าน้อยกว่าอาโวคาโด ปรากฎเลือกถูกใจค่ะ เพราะมันคือของโปรดของ Mahinda

Mahinda บอกว่าขอให้ลูกนั่งรถไปด้วย เราก็ตอบว่าโอเค ในใจก็แบบตามสบายเลยพี่ เดี๋ยวน้องถึงสถานีรถไฟ ก็บ๊ายบายกันแล้ว จะไปกินให้พุงกางเลย อิอิ

เธอต้องเปลี่ยนกระโปรง เรากะ Mahindaเลยเดินออกมารอนอกบ้าน Mahinda พูดกับเราว่า ที่นี่เป็นบ้านภรรยาคนแรกของแค้า ตอนนี้เค้าอยู่ที่Kotteกับภรรยาคนที่สอง เราแซวว่า แล้วไม่มีปัญหาอะไรเหรอ เค้าก็ยิ้มๆ

เปลี่ยนชุดเสร็จ Buddhima เรียกเราเข้าไปในบ้าน บอกว่าแม่เธอมีของขวัญจะให้ และในที่สุดคุณแม่ของเธอก็เดินลงมาชั้นล่าง 

ตอนแรกBuddhima เป็นคนเอาของให้เรา แม่ไม่ได้ลงมา แต่ซักพักแม่ก็เดินลงมา เราชมว่าแม่ใส่ชุดสวย ขอถ่ายรูป แม่ก็ให้ถ่ายค่ะ ดูเป็นคนใจดี น่ารัก พูดอังกฤษไม่ได้เลย 

ของที่แม่ให้ คือ สติ๊กเกอร์ตกแต่งบ้านรูปหมาแมว (บังเอิญ เรามีลูกเป็นมะหมาอยู่หนึ่งหน่วย...ตอนนี้ก็นั่งอยู่ข้างๆกันนี่เลยค่ะ)

และอีกชิ้นก็คือ ปลอกหมอนที่แม่เย็บมือ ชิ้นนี้สวยมากค่ะ เราออกอาการอึ้ว มาให้เราทำไม

ก่อนออกจากบ้าน Buddhima ทำความเคารพแม่ และพ่อ ก้มเอามือแตะเท้าแม่แตะหน้าผากตัวเองประมาณนี้ เรารู้สึกเหมือนมันพิเศษมาก จากท่าทางของทุกคน

แล้ว Buddhima ก็หันมาพูดกับเราว่า เค้าขอบคุณเรามาก เค้าดีใจที่เราได้มาบ้านเค้าในวันนี้ ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใใหม่ และเป็นครั้งแรกในรอบปี(หรือ 2-3 ปี ตามความเข้าใจของเราในตอนนั้น) ที่พ่อกับแม่เธอได้เจอกัน (พอดี Mahinda บอกแล้ว เลยไม่รู้สึกแปลกใจ) เราก็ยิ้มๆแล้วก็อวยพรปีใหม่ไป

และแล้ว เราก็เงิบอีกครั้งค่ะ....คือ ตอนแรก เราคิดว่า เราน่ะใจดี ที่ให้เค้าติดรถเราไปข้างนอก รถที่เราเป็นคนจ่ายตังค์ แต่ที่จริงแล้ว เค้าจะให้ลูกสาวไปเป็นไกด์ให้เรา เพราะลูกพูดอังกฤษคล่องและสามารถแนะนำอะไรดีๆให้เราได้

นี่ล่ะ เพราะเราอยู่ในสังคมที่ต้องสร้างกำแพง สิ่งเหล่านี้ มันจึงติดตัวเรามา แม้ว่าโดยพื้นฐานเราจะไม่ค่อยมีอะไรพวกนี้เคลือบมาก แต่มันก็มีไม่ใช่น้อยเลยล่ะ

เค้าพามารู้จักตลาดน้ำ Pettah Floating Market ซึ่งจะอยู่ใกล้กับตลาดกลาง Manning Market แล้วก็อยู่ตรงข้ามกับท่ารถบัส Pettah Bus Terminal ซึ่งจะมีรถบัสหลายๆสายอยู่ที่นี่ค่ะ เป็นรถที่ไปจังหวัดต่างๆนะคะ ประมาณหมอชิตบ้านเรา

Pettah Bus Terminal 

Manning Market ตลาดสดใหญ๋ที่สุดของศรีลังกา (ปีใหม่ แม้แต่ตลาดสดยังหยุดเลยค่ะ หยุดประมาณ 3-4 วัน)

Floating Market ยามที่ไร้ผู้คน...ไร้คนขาย 

ถ้าวันปกติ จะมีบริการจักรยานน้ำ และนั่งเรือแบบนี้กินลมชมวิวได้ด้วยค่ะ

ในที่สุด ก็มีรูปเดี่ยวเป็นรูปแรก...เรามาเที่ยวจริงๆนะ มีรูปเป็นหลักฐานด้วย (Buddhima ถ่ายให้)

ตั้งใจว่าไว้เค้าเปิดก็จะมานั่งเล่นอีกที 

สองพ่อลูก ถามว่าจะไปทำอะไรที่สถานีรถไฟ เราบอกจะไปนั่งร้านกาแฟ หาอะไรดื่และนั่งเล่นไปจนถึงเย็นๆ จะไปหาข้อมูลตั๋วรถไฟด้วย

เค้าก็มองหน้ากัน แล้วจะชักชวนเราไปที่อื่น แต่ความที่เราอยากส่วนตัวแล้วก็ระแวงนิดๆอยู่แล้ว ประสาคนที่มีการป้องกันตัวอัตโนมัติ จึงปฏิเสธและยืนยันหนักแน่นว่า ให้เอาเราไปปล่อยที่สถานีรถไฟได้แล้ว (คือตอนนั้น เราไม่รู้ว่าเราอยู่ตรงจุดไหน...อันที่จริงตลาดน้ำอยู่ใกล้ Fort Railway Station เดินนิดเดียวก็ถึง)

เค้าขับต่อ อีกนิดก็จอดอีกละ เราเริ่มเคืองนิดๆในใจ (ไม่ได้แสดงอาการ) ถามว่าจอดทำไม เค้าบอกว่า จะให้เราซื้อเครื่องดื่ม ..... ตรงนั้นมีร้านอาหาร เครื่องดื่ม ติดกันหลายร้าน มีร้านผลไม้ด้วย เราบอกไม่เอา จะไปกินที่สถานีรถไฟ ไปส่งเราที่นั่นเหอะ....เราออกอาการดื้อแพ่ง เค้าก็มองหน้ากันนิดนึง แล้วก็ออกรถต่อ ไม่เกิน 10 วินาที เราก็มาถึงสถานีรถไฟ มันใกล้มาก 555 (เค้าวิ่งสวนทาง One Way มา เพราะวันนี้ไม่มีรถ...ถ้ามาทางปกติ จะผ่านถนนใหญ่ จะเห็นป้ายสถานีรถไฟชัดเจน แต่มาเส้นนี้เราเลยมองไม่เห็นก่อนถึงสถานี รู้ตัวก็มาถึงแล้ว)

เราออกอาการลิงโลด เค้าบอกว่าจะรอเรา เราบอกเค้าว่า ม้ายยย ม่ายยย ไม่ต้องเรา เราจะอยู่ถึงเย็นๆเลย (ตอนนั้นเพิ่งบ่ายโมงกว่า) เค้าทำท่าลังเลรีรอ แต่เราคะยั้นคะยอให้เค้าไป เค้าก็เลยต้องออกรถออกไป

วันนี้ 14 เมษา เค้าถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ (แต่ละปีจะมีประกาศช่วงเวลา โดยปกติจะอยู่ช่วงเย็นวันที่ 13 ไปถึงเช้า 14 เมษา) จะได้ยินเสียงประทัดโป้งป้างทั่วไปเลยค่ะ เค้าจุดฉลองปีใหม่ 

ในที่สุด เจ้ก็มาถึง Fort Railway Station เย้!! 555 จุดพลุฉลอง ^_^

แต่มันไม่ใช่อย่างที่คิดค่ะ ช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ ร้านกาแฟกิ๊บเก๋ ร้านอาหารเยอะๆ ไม่มี๊ ไม่มี อิอิ

สถานีรถไฟที่นี่ เค้ามีการจัดการที่ดีนะคะ เราชอบว่ามันมีประสิทธิภาพ 

ตลอดแถวยาวด้านหน้าจะเป็นสำนักงานและที่ขายตั๋วต่างๆ 

คนที่ไม่มีตั๋ว ห้ามเข้าไปในสถานีรถไฟ เป็นการรักษาความปลอดภัยในตัวเลย จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วก่อนเข้า ซึ่งจะมีทางเข้า ทางออก แยกกัน ทางเข้าห้ามออก ทางออก ห้ามเข้าค่ะ

แล้วเราจะอยู่ที่สถานีรถไปยังไงให้ถึงเย็นล่ะค่ะ แล้วใครจะรับผิดชอบความเดือดร้อนของกระเพาะอาหารดิชั้น T T

แต่ก็ไม่เสียหลายค่ะ เจอสิ่งน่าสนใจอย่างนึง ถ่ายรูปไว้ เดี๋ยวกลับที่พักหาข้อมูลเพิ่ม

ด้านหน้าสถานีรถไฟมีพระพุทธรูป เช่นอาคารใหญ่ๆทั่วไป ดูๆไปแล้วก็เปรียบเสมือน ศาลพระภูมิบ้านเรา

ด้านหน้าสถานีรถไป เป็นชุมทางรถบัสสายต่างๆที่วิ่งในโคลอมโบ

เราว่ามันเป็นการจัดการที่มีประสิทธิภาพและเป้นประโยชน์แก่ผู้เดินทางค่ะ คือ ชุมทางรถบัสในเมือง รถบัสระหว่างเมือง และรถไฟ ล้วนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน

จากภาพที่ถ่ายมา เรามาหาข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.jftours.com/

พบว่าเป็นรถไฟขบวนพิเศษ สำหรับเดินทางท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม 

เค้ามีรถไฟหลายขบวน(โบกี้) ที่มีการตกแต่งสวยงาม คลาสสิค สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆของศรีลังกา อย่างละเมียดละไม รวมไปถึงบริการจัดเลี้ยง จัดงานแต่งงานบนรถไฟคลาสสิคนี้ด้วย

รถไฟของเค้ามีหลายโมเดล ตัวอย่างเช่น

Viceroy Special

Viceroy II

T1 Rail Car

เราล่ะสนใจมากมาย แต่มาคนเดียว จะทำอย่างไรได้ ก็พอดีไปเจอแพ็คเกจเที่ยวแคนดี้ Excursion to Kandy on Viceroy II

ดูรูปแล้ว มีที่นั่งเดี่ยวด้วย แหม เหมาะเจาะ เพราะเราก็ตั้งใจจะไปเมืองแคนดี้ Kandy อยู่แล้ว ราคาก็ไม่แรง

http://www.jftours.com/offer/excursion-to-kandy-on-viceroy-ii/

จัดการโทรไปคุยและจะจอง แต่ก็ผิดหวังค่ะ เค้าต้องรับขั้นต่ำ 15 คนขึ้นไป (ในรายการก็บอกอยู่แล้ว) เราก็บอกว่า ไม่มีคนอื่นสนใจจะไปเหรอคะ รวมๆกัน เป็น 15 ที่ เค้าว่าไม่มี แต่เราคิดว่าเค้ารับจัดกรุ๊ปเหมาน่ะค่ะ ไม่ได้มาขายทีละใบ ทีละคนให้วุ่นวาย  

อีกที หรือ เราจะเหมาตู้ไปคนเดียว จ่าย 15 ที่ ??....แฮ่ๆ ไอเดียดี แต่ไม่มีตังค์ค่ะ หัวเราะ

สุดท้าย เราเลยตัดสินใจว่าจะใช้บริการของ Exporail นั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองแคนดี้ ซึ่งมีให้บริการทุกวัน วันละ 1 เที่ยวไป และ 1 เที่ยวกลับ

--------------------------

ไว้ค่อยมาเล่าต่อ ต้องออกเดินทางไปนอกสถานที่แล้วค่ะ ^_^

ที่สถานีรถไฟไม่มีที่ให้นั่งและไม่มีอะไรให้ทาน (ปกติฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟ มีร้านค้าคึกคักมากค่ะ มันคือ Pettah Market แต่ว่าช่วงปีใหม่ ปิดหมดทุกร้าน เงียบกริ๊บเลย ^_^)

เราจึงเดินย้อนกลับทางเดิม ตั้งใจจะไปดูลาดเลา Manning Market ไว้ก่อนด้วย

แป๊บนึงก็ถึงจุดที่สองพ่อลูกแวะให้ซื้อเครื่องดื่ม แต่เราไม่ซื้อ แถมแอบเคืองนิดๆด้วย นึกว่าเค้าจะยัดเยียดให้ทำสิ่งที่เราไม่ต้องการ

แต่พอเดินนมา จึงรู้ว่า ตรงนั้นเป็นจุดเดียว ที่ร้านค้า(บางร้าน)ยังเปิดให้บริการ....เราแอบรู้สึกละอายใจที่มองเค้าไปแบบนั้นค่ะ 

แถวนี้เป็นร้านมุสลิมทั้งหมด ร้านอาหารทุกร้านย่านนี้ใช้คำว่า Hotel ซึ่งถ้าเกิดไปเจอ Hotel อะไรซักอย่าง แต่ดูแล้วไม่เห็นมีห้องพักเลย ก็น่าจะเป็น Hotel แบบเดียวกันนี้ล่ะค่ะ เราคิดว่ามันคงหมายถึง สถานที่ ที่มีอาหารและเครื่องดื่มบริการ

แต่ละร้านก็ขายของคล้ายๆกัน คือมีช่องใส่แกงชนิดต่างๆอยู่ในตู้ มีปลาทอด ไก่ทอด กองๆอยู่ด้วย แล้วก็มีพวกแป้ง เช่น ขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยว โรตี นาน จาปาตี(Chapati)อยู่อีกตู้นึง มีอีกมุมนึงไว้ผัดข้าวผัดและก๋วยเตี๋ยว เราเลือกร้านที่คิดว่าโอเคที่สุด จากร้านที่เปิดให้บริการในวันนั้น 

เราเลือกร้าน Jayalanka Hotel

ด้วยความที่เราระวังเรื่องการกิน จะเลือกที่เค้าต้องทำร้อนๆใหม่ๆ ก็เลยสั่ง  Fried Basmati Rice with Vegetables แล้วก็สั่งปลาทอดตัวนึง เค้าหยิบปลาใส่จานมาให้เลย เราขอให้เค้าช่วยเอาไปทอดใหม่ให้ร้อน เค้าก็ยินดีทำให้นะ ไม่แสดงสีหน้าท่าทางหงุดหงิดอะไรเลย

เวลาสั่งข้าวที่ศรีลังกาจะมาจานใหญ่มาก ทานได้ 2-4 คนเลยล่ะ เราขอจานมาแบ่งและทานไปแค่ 1ใน 4 เท่านั้น ที่เหลือให้เค้าเอาไปเลย จะได้ไม่ต้องทิ้ง

ตอนเค้าเอาข้าวมาเสิร์ฟมาพร้อมช้อนยาว 1 คัน เราขอส้อมด้วย ก็ได้ช้อนยาวมาอีกคันนึง นึกว่าเค้าหยิบผิด เลยบอกเค้าอีกทีว่าขอส้อมนะคะ เค้าบอกส้อมไม่มี เราก็ โอเค้! ไม่เป็นไร กระบี่อยู่ที่ใจ อะไรก็ใช้แด๊กได้ทั้งนั้นล่ะ ยิ้ม

นั่งๆอยู่เค้าเอากล่องที่ตัดจากขวดน้ำมาวาง ข้างในมีกระดาษนสพ.ตัดเป็นแผ่นเล็กๆใส่อยู่ เราถามว่าเอามาทำไม เค้าหยิบออกมาแผ่นหนึ่ง สาธิตวิธีใช้ เอามาเช็ดมือ แล้วขยุ้มๆทิ้งลงถังขยะใต้โต๊ะให้ดูด้วย เราก็พยักหน้าหงึกหงัก ไอซี้ ไอซีเด้อ

เราทำท่ายกกล้องไปทางแคชเชียร์ คนรับออเดอร์รีบพุ่งมาเข้ากล้อง แถมลูกค้าอีกคนก็จะมาร่วมเฟรมอีกคน...คนที่นี่ เป็นกันเองจริง จริ๊ง ^_^

พอเราทำท่ากินเสร็จ เค้าจะมาถามว่าทานเสร็จแล้วใช่มั้ย พอบอกใช่ เค้าจะเก็บจาน แล้วเอาบิลมาเก็บตังค์ทันทีโดยที่ลูกค้ายังไม่ได้เรียกเก็บ ร้านอาหารท้องถิ่นเป็นแบบนี้ทุกแห่ง 

ค่าเสียหายมื้อนี้ ข้าวผัดจานยักษ์+ปลาทอดตัวยาวฟุตนึง+โค้ก 1 ขวด 380 RS ค่ะ ถูกมากเลย 

ตอนเก็บจานเสร็จ เค้าเอากระดาษนสพ.ออกมาเช็ดโต๊ะอย่างรวดเร็วเรียบร้อย เราล่ะตื่นเต้นฮือฮามาก บอกว่า โอ้ว้าวว! ช่างเป็น multipurpose paper จริงๆเล้ยย เค้ายักคิ้วให้ ฮ่าฮ่า!....เราชื่นชมนะ มันใช้งานดี มีประโยชน์และประหยัด แถมช่วยลดโลกร้อนด้วย ประหยัดทรัพยาการน่ะ.....เราเห็น ตอนว่างๆ เค้าก็นั่งฉีกกระดาษนสพ.นี่ล่ะ ทำสต็อคเก็บไว้ 555

ทานเสร็จเราก็ออกเดิน มุ่งหน้าไป Manning Market และ Pettah Floating Market

ตรงนั้นจะเป็นสามแยกเล็กๆ ก็เช่นเคยตรงหัวมุมจะมีต้นโพธิ์และมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่

นับจากจุดนั้นไป ก็ถือว่าอยู่ในอาณาบริเวณของ Manning Market แล้ว 

เรามองไป เห็นมีร้านหรือบริษัทที่ค้าขายเนื้อไก่เป็นหลักอยู่หลายร้าน ด้านบนของร้าน จะมีช่องลมยาวๆและด้านในกรุด้วยลวดตาข่าย มองไม่ออกว่าใช้ทำอะไร เพราะวันนั้นเป็นวันหยุด เราแอบเดาว่า หรือเค้าจะเอาไก่มาขังไว้ในนั้นด้วย(แค่เดานะคะ)

Manning Market วันนั้นว่างเปล่า แต่เราดูแล้วมันเป็นตลาดเก่าที่อยู่ใจกลางชุมชน คิดว่าคนน่าจะเยอะและรีบเร่งยุ่งเหยิง อาจไม่เหมาะที่เราจะมาเดินซอกแซก กลัวจะเป็นที่เกะกะของคนอื่น และพอเรากลับไปหาข้อมูลเพิ่มเติมตอนอยู่ห้อง ก็พบว่า รัฐบาลได้อนุมัติโครงการย้ายตลาดสดManning Market จากย่าน Pettah ในปัจจุบัน ไปอยู่ที่ Peliyagodaแทน กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยก่อนหน้านี้ได้ย้ายตลาดปลาและอาหารทะเลออกไปก่อนแล้ว

จากนั้นเราก็ไปดูลาดเลาที่ Floating Market  เดินรอบๆพอให้รู้ว่าโครงสร้างเค้าเป็นยังไง ไว้จะมานั่งเล่นวันหลัง

จากนั้นก็เรียกรถไปที่ Vihara Maha Devi Park  วันนี้บอกให้รถไปจอดซีก Town Hall

วานคนขับรถถ่ายรูปให้รูปนึง ^_^

เราลงรถที่ Vihara Maha Devi Park ด้านที่ตรงข้ามกับ Town Hall

สาวๆกำลังเป่าลมลูกบอล ขายดีค่ะ คนเล่นกันเป็นร้อย(ลูก)ได้มั้งในสวนน่ะ

ฝั่งนี้จะมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่และงดงามมากประดิษฐานอยู่ คนที่นี่โดยมากจะสักการะด้วยดอกไม้ ไม่ค่อยเห็นจุดธูปเทียน ก็พอมีบ้าง บางแห่งแต่เป็นส่วนน้อยค่ะ

Town Hall มองออกไปจากในสวน

เราชอบเจตนารมณ์ของเค้านะคะ ที่ว่าจะ Bring Modernity To The Country, Healthiness To The Nation and Beauty To The Environment

ดูเหมือนสวนแห่งนี้ จะเปิดให้บริการประชาชนมาตั้งแต่ปี 1951 ....นานมาแล้ว และได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นในทุกวันนี้ น่าชื่นชมเขียว ^_^

นี่เป็นแผนผังของสวนสาธารณะแห่งนี้ พื้นที่ไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่ให่ประโยชน์และความสุขได้กับคนทุกเพศทุกวัยทุกชนชั้นได้ยอดเยี่ยมไปเลยค่ะ มีการจัดการและการออกแบบที่ดีมาก

เราชอบเรื่องป้ายเตือนต่างๆของเค้า มันชัดเจนและเกิดประโยชน์จริงๆ คือเราเคยเพลียกับหลายสิ่งที่บ้านเรา เช่นป้ายไม่มี ป้ายบอกไม่ชัดเจน ป้ายสื่อไม่รู้เรื่อง ป้ายสักแต่ว่าทำ ติดในที่ทำให้สับสนอะไรประมาณนี้ 

ตัวอย่าง ป้ายของเลนจักรยานมันชัดเจนมาก แล้วพอใกล้ทางแยกที่คนเดิน ก็บอกให้จักรยานระวังคน ในส่วนทางถนนที่จะตัดกับจักรยาน ก็จะมีป้ายบนพื้นใหญ่มากๆบอก ข้างหน้ามีจักรยานผ่าน ให้ระวัง 

คือ ใคร อะไร ตรงไหน อย่างไร ทำไม มันได้จริงๆ (โปรดอย่าเข้าใจผิด เราไม่ใช่คนที่ชอบก่นด่าเมืองไทย เรารักเมืองไทยมากมาย และตกหลุมหลงรักเมืองไทยครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นร้อยๆครั้งแล้ว....เพราะเรารัก เราจึงอยากเห็นคนไทยช่วยกันทำอะไรที่ดีๆให้สมกับของดีๆที่เรามีอยู่มากมาย)

สวนแห่งนี้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนอย่างแท้จริงเลยค่ะ เป็นสวนที่ไม่มีรั้วและไม่มีประตู เปิดกว้างสำหรับทุกคนจริงๆ

นี่ห้องน้ำในสวนค่ะ

อีกมุมหนึ่งในสวนแห่งนี้ สะพานแขวน

มีคนสนใจเดินข้ามสะพานกันเยอะ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ทหาร คอยดูแลเรื่องความปลอดภัย และหลายๆจุดในสวน ก็จะมีทหารมาคอยดูแลความปอดภัยด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ตรงบริเวณน้ำพุเต้นระบำ ที่เด็กๆจะไปเล่นกันสนุกสนาน

ขอเพิ่มภาพในสวนสาธารณะสำหรับวันนี้อีกซักหน่อย อยากแชร์ให้เห็นว่า เค้ามีการออกแบบที่เรียบง่าย แต่มันใช่จริงๆ มันได้ใช้ประโยชน์ ประหยัด สวยงาม และแสนสนุกค่ะ

เราจะจบเรื่องเล่าของวันที่ 14 เทษายนไว้ที่คอมเม้นท์นี้นะคะ ต่อไปก็จะเป็นเรื่องเล่าของวันที่ 15 เมษายนแล้วววว ^_^

รถสามล้อ หรือ Trishaw เป็นรถรับจ้างที่มีอยู่ทั่วไป เป็นเอกลักษณ์ของศรีลังกาเลย โดยเฉพาะโคลอมโบนี่ ประชากร Trishaw หนาแน่นยิ่งนัก 

คนขับ Trishaw มีทั้งหญิงและชาย ทั้งหนุ่มถึงแก่ ผู้ชายที่ขับ Trishaw ที่เราเห็น แทบจะครึ่งๆเลย ไม่ใส่รองเท้าเวลาขับรถ ขับตีนเปล่า เอ้ย!เท้าเปล่าค่ะ ยิ้ม

และโดยมากคนขับ Trishaw ก็จะใช้รถของเค้าหรือเธอ เป็นรถครอบครัวไปในตัวด้วย เราจะพบเห็นพวกเค้าพาคนในครอบครัวไปเที่ยวหรือพักผ่อน นับเป็นรถเอนกประสงค์อย่างแท้จริง

รถ Trishaw นี้คันละเล็กกว่ารถตุ๊กตุ๊กของเราพออสมควร ดูเหมือนน่าจะขนาดราวๆ 3ใน4 ของตุ๊กตุ๊กบ้านเรา

แต่เค้าก็สามารถนั่งกันได้หลายคนทีเดียวเชียว

ในโคลอมโบ Trishaw ส่วนมากจะมีมิเตอร์ แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่มี ส่วนในต่างจังหวัดจะไม่มีมิเตอร์ 

ค่าใช้บริการ Trishaw มีมาตรฐานราคาตามนี้ค่ะ

Trishaw แต่ละคัน จะมีสีสัน และการตกแต่งภายนอก ภายใน ตามแต่รสนิยมของเจ้าของรถเลยค่ะ

สารพัด สำหรับเราก็แอบสนุกสนาน กับการดูการแต่งรถของ Trishaw แต่ละคัน (เสียดายกล้องเราถ่ายไม่ได้ดีค่ะ บางทีก็ไม่มีจังหวะจะถ่าย)

ความเพลิดเพลิน มันอยู่รอบตัวเรา ไม่ต้องซื้อต้องหา สามารถมองเห็นด้วยตา และสัมผัสได้ด้วยใจ ^_^

เค้าบอกว่า Better to you don't come my way 

ศรีลังกา ไม่ไปไม่รู้ ^_^ (Part 2)

http://pantip.com/topic/33626893

ขอบคุณข้อมูล จาก We Plant Happiness

อัลบั้มภาพ 285 ภาพ

อัลบั้มภาพ 285 ภาพ ของ ศรีลังกา ไม่ไปไม่รู้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook