ศีลธรรมหรือต่อลมหายใจ : เมื่อบริษัทพนันทุ่มเงินหนุนทีมฟุตบอล … ใครได้-ใครเสีย?

ศีลธรรมหรือต่อลมหายใจ : เมื่อบริษัทพนันทุ่มเงินหนุนทีมฟุตบอล … ใครได้-ใครเสีย?

ศีลธรรมหรือต่อลมหายใจ : เมื่อบริษัทพนันทุ่มเงินหนุนทีมฟุตบอล … ใครได้-ใครเสีย?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากสังเกตภูมิทัศน์ของวงการฟุตบอลตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์หนึ่งที่ดูจะเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น คือ "การมีบริษัทพนันเข้ามาเป็นผู้สนับสนุน"

หน้าอกเสื้อ, แขนเสื้อ, หลังเสื้อ ไม่เว้นแม้แต่ป้ายโฆษณาข้างสนามและหนังสือโปรแกรม คือทำเลทองที่เรามักได้เห็นบริษัทพนันมากมายหลายเจ้าจากทั่วโลกเข้ามาจับจองเพื่อโปรโมทแบรนด์ของตนกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

แต่เหตุใดกันที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจกระโดดเข้ามาในธุรกิจลูกหนัง และมันส่งผลดีหรือผลเสีย กับผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างไรกันบ้าง? Main Stand ขอไขข้อข้องใจ และที่มาที่ไปของวงการการพนันกับฟุตบอล ตั้งแต่อดีต จนก้าวเข้ามีบทบาทครั้งใหญ่ ในการส่งเสริมสโมสรฟุตบอล

จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ บ.พนัน & โลกลูกหนัง

แม้การพนันจะเกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอลมานานเกือบ 100 ปี แต่การที่รัฐบาลในหลายๆ ประเทศได้รับรองให้การพนันเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย ก็ได้ทำให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดด เงินสะพัดมากขึ้น ที่สำคัญคือ มันยังช่วยให้วงการลูกหนังมีความใสสะอาดมากขึ้น เพราะบริษัทพนันจะสามารถจับสังเกตได้อย่างรวดเร็วหากมีการพนันที่ต้องสงสัย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการล็อกผลการแข่งขันด้วย อย่างที่ เดคลาน ฮิลล์ เจ้าของหนังสือที่ตีแผ่การล้มบอลอย่าง The Fix: Organized Crime and Soccer มองว่า “เป็นเรื่องที่โง่เง่ามากหากคิดจะล้มบอลในยุโรปซึ่งมีกฎระเบียบเรื่องการพนันที่ชัดเจน”

ซึ่งผลพวงอีกประการของการทำให้การพนันฟุตบอลถูกกฎหมาย คือเริ่มมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาแข่งขันกับบริษัทพนันที่ตั้งร้านอย่างเป็นกิจจะลักษณะ นั่นคือ บริษัทพนันออนไลน์ และนั่นทำให้วงการฟุตบอลได้เห็นชื่อของบริษัทพนันอยู่บนหน้าอกเสื้อเป็นครั้งแรก เมื่อ Betfair จับมือกับ ฟูแล่ม ทีมในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เพื่อเป็นสปอนเซอร์หลักในฤดูกาล 2002/03 หลังจากนั้นเราก็ได้เห็นทีมอย่าง มิดเดิ้ลสโบรช์ และ เซบีย่า ที่พะหน้าอกเสื้อด้วยบริษัทรับพนันในเวลาต่อมา

แต่เหตุการณ์ที่บริษัทพนันสร้างความตื่นตะลึงต่อโลกฟุตบอลมากที่สุดคงหนีไม่พ้นตอนที่ Bwin บริษัทสัญชาติออสเตรีย ทุ่มเงินปีละ 20 ล้านยูโร (760 ล้านบาท) เพื่อเป็นสปอนเซอร์หน้าอกให้ เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่แห่งลาลีกา สเปนเมื่อปี 2007 รวมถึงการเป็นสปอนเซอร์หน้าอกให้ เอซี มิลาน อีกหนึ่งทีมดังของกัลโช่ เซเรียอา อิตาลีเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้า และนั่นถือเป็นสัญญาณของการบุกวงการลูกหนังอย่างเต็มตัวของบริษัทพนัน

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ชื่อของบริษัทพนันหลายชื่อหลากสัญชาติก็เริ่มเป็นที่คุ้นหูของแฟนฟุตบอลมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน โดยขุมทรัพย์ของพวกเขาหนีไม่พ้นวงการฟุตบอลอังกฤษ เพราะ 10 จาก 20 ทีมของพรีเมียร์ลีก รวมถึง 16 จาก 24 ทีมในลีกแชมเปี้ยนชิพฤดูกาล 2019/20 มีสปอนเซอร์บนเสื้อแข่งที่เป็นบริษัทพนัน ขณะที่ลาลีกา ลีกสูงสุดของสเปนมีบริษัทพนันเป็นสปอนเซอร์ 5 ทีม ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละสโมสรยังได้มีการเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับบริษัทพนันอีกมากมายนับไม่ถ้วน

ทำไมต้องเข้ามาทุ่มเงินมหาศาล?

สำหรับวงการโฆษณานั้น สปอนเซอร์หน้าอกชุดแข่ง ถือเป็นพื้นที่ซึ่งบริษัทใดก็อยากจับจองเพื่อให้สินค้าของตนได้ปรากฎโฉมตรงนั้น ซึ่ง รูเพิร์ต แพรตต์ ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาโฆษณาของ Mongoose Sports and Entertainment บริษัทให้คำปรึกษาด้านการตลาดเปิดเผยถึงสาเหตุว่า

"ง่ายๆ เลยครับ ถ้าคุณอยากทำให้ผู้คนตระหนักรู้ในแบรนด์สินค้าของคุณเพียงชั่วข้ามคืนไปทั่วโลก ไม่มีอะไรง่ายไปกว่าการแปะโลโก้บนเสื้อแข่งฟุตบอลอีกแล้ว ไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ต้องการถ้อยคำเลิศหรู นี่คือป้ายโฆษณาที่คุ้มค่าสุดๆ"

แต่คำถามก็คือ แล้วเหตุใดบริษัทรับพนันจึงหมายปองพื้นที่นี้มากเป็นพิเศษกัน? ซึ่งเรื่องนี้แพรตต์เล่าต่อว่า

“มันเป็นเรื่องของการตลาดล้วนๆ เลยครับ เพราะสิ่งที่คุณกำลังโฆษณาอยู่นั้น คือสิ่งที่คนดูพร้อมจะวางเงินเดิมพันกับมัน ยิ่งไปกว่านั้น พรีเมียร์ลีกยังถือเป็นลีกชั้นนำของโลก การเป็นสปอนเซอร์คาดหน้าอกมันทำให้ผู้ชมรู้สึกว่า ‘โอ้ แบรนด์นี้มันต้องใหญ่แน่ๆ ถึงเป็นสปอนเซอร์ให้ทีมในพรีเมียร์ลีกได้’ ซึ่งสำหรับอุตสาหกรรมพนัน เรื่องนี้ถือเป็นอะไรที่ช่วยพวกเขามากเลยทีเดียว”

และหากได้เห็นตัวเลขผู้ชมของศึกพรีเมียร์ลีก เราเชื่อว่าทุกท่านคงไม่แปลกใจ เพราะจากข้อมูลเมื่อปี 2015 ที่ Ticketbis จัดทำขึ้นนั้น ลีกสูงสุดของอังกฤษมีการถ่ายทอดสดไปยัง 156 ประเทศทั่วโลก และมีคนชมการถ่ายทอดสดถึง 4.2 พันล้านคนทุกๆ สัปดาห์ นั่นหมายความว่าทุกครั้งที่แบรนด์สินค้าใดปรากฎโฉมในการถ่ายทอดสด ก็จะมีผู้ชมกว่าครึ่งโลกเห็นมันอย่างแน่นอน

และนั่นจึงทำให้บริษัทพนันมากมายยอมที่จะจ่ายเงินเพื่อให้แบรนด์ของตนได้ไปปรากฎโฉมบนชุดแข่ง เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้แบรนด์ของตัวเองปรากฎตรงสู่กลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอลและรักการเสี่ยงโชคเท่านั้น เม็ดเงินที่ลงไปเพียงหลักล้านปอนด์นั้นยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่าในอุตสาหกรรมที่สูงถึง 14,000 ล้านปอนด์ (6 แสนล้านบาท) ซึ่งตัวเลขข้างต้น เป็นแค่ตัวเลขเฉพาะในเกาะอังกฤษเท่านั้นเสียด้วย

ท่อน้ำเลี้ยงสำคัญของทีมขนาดกลาง-เล็ก

สำหรับอุตสาหกรรมการพนันซึ่งถือเป็นธุรกิจที่มีกำไรสูงติดอันดับต้นๆ ของโลก เม็ดเงินที่บริษัทพนันต่างๆ หว่านให้ทีมต่างๆ อาจเปรียบเหมือนเศษเงินจากผลประกอบการมหาศาล แต่สำหรับบางสโมสรฟุตบอล เศษเงินดังกล่าวนั้นสำคัญดุจอ็อกซิเจนที่ช่วยให้ทีมยังอยู่ได้เลยทีเดียว และนั่นทำให้พวกเขาพร้อมกระโจนเข้าใส่เงินจากบริษัทพนันที่พร้อมจ่ายแบบไม่คิดอะไรมาก เพื่อนำเงินเหล่านั้นไปใช้ในเรื่องต่างๆ ทั้งการบริหารงาน, เสริมทัพนักเตะ หรือแม้กระทั่งจ่ายค่าเหนื่อยให้ผู้เล่นจนมากพอที่จะเลิกคิดเรื่องการรับเงินเพื่อล้มบอลไปเลย

มัลคอล์ม เบเกอร์ นักวิเคราะห์จาก MorrisLane บริษัทบัญชีที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองบอร์นมัธของอังกฤษมองถึงเรื่องนี้ว่า "สโมสรฟุตบอลย่อมต้องมองหาสปอนเซอร์ที่พร้อมจ่ายเงินมากที่สุดอยู่แล้ว ซึ่งนั่นทำให้บริษัทพนันมีความได้เปรียบ ยิ่งไปกว่านั้นคือ เงินดังกล่าวยังช่วยให้หลายสโมสรโดยเฉพาะระดับกลางและเล็กมีความมั่นคงทางการเงินมากขึ้น เพื่อให้ทีมอยู่รอด รวมถึงสามารถมองไปถึงเป้าหมายที่สูงขึ้นในอนาคต"

ซึ่งเมื่อดูจากรายได้ที่บริษัทพนันจ่ายให้กับทีมฟุตบอลต่างๆ ในการเป็นสปอนเซอร์หน้าอกก็พบว่า พวกเขาพร้อมจ่ายเงินมากกว่าเพื่อให้ได้พื้นที่ในการประชาสัมพันธ์บริษัท เช่นในกรณีของ เอฟเวอร์ตัน ที่ SportPesa บริษัทพนันจากประเทศเคนยายอมจ่ายเงินถึงฤดูกาลละ 9.6 ล้านปอนด์ (400 ล้านบาท) เพื่อให้ได้เป็นสปอนเซอร์หลักรายใหม่ตั้งแต่ฤดูกาล 2017/18 ซึ่งมากกว่าที่ได้รับจาก ช้าง เครื่องดื่มสัญชาติไทยที่เคยจ่ายให้ฤดูกาลละ 5.3 ล้านปอนด์ (225 ล้านบาท) ในสัญญาฉบับสุดท้ายถึงฤดูกาลละ 4.3 ล้านปอนด์ (175 ล้านบาท) เลยทีเดียว เงินทุนจากนายทุนและสปอนเซอร์หลักรายใหม่จึงมีส่วนช่วยให้ทีมท็อฟฟี่สีน้ำเงินยุคใหม่กล้าช็อปแหลกอย่างไม่ลังเล

เหตุการณ์ลักษณะใกล้เคียงกันยังเกิดขึ้นกับ นิวคาสเซิ่ล อีกหนึ่งทีมที่เคยขึ้นมามีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกยุค 1990 แต่ตกอับต้องวนเวียนกับการเลื่อนชั้นตกชั้นอยู่บ่อยครั้ง เมื่อพวกเขาได้ Fun88 บริษัทพนันสัญชาติจีนเป็นสปอนเซอร์หลักรายใหม่ฉลองการกลับสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งในฤดูกาล 2017/18 ซึ่งรายงานจากสื่อหลายสำนักระบุว่า นายทุนจากแดนมังกรรายนี้จ่ายเงินให้ทีมสาลิกาดงถึงฤดูกาลละ 6 ล้านปอนด์ (255 ล้านบาท) มากกว่าที่ได้จาก Wonga บริษัทสินเชื่อผู้สนับสนุนรายเดิมถึงฤดูกาลละ 1.2 ล้านปอนด์ (51 ล้านบาท)

แม้แต่ทางฝ่ายจัดการแข่งขันเองก็หนีความจริงตรงนี้ไปไม่พ้น โดยเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นกับทาง ฟุตบอลลีก หรือ EFL องค์กรจัดการแข่งขัน 3 ลีกรองของอังกฤษ (ลีกแชมเปี้ยนชิพ, ลีกวัน และลีกทู) เมื่อ Sky Bet บริษัทพนันสัญชาติอังกฤษ เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลักการแข่งขันตั้งแต่ปี 2013 แถมสัญญาฉบับล่าสุดที่เพิ่งเซ็นกันไปเมื่อปี 2017 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ฤดูกาล 2019/20 เป็นต้นไปนั้น Sky Bet สัญญาว่าทางลีกจะมีรายรับจากพวกเขาเพิ่มขึ้นปีละ 20% จนถึงปีสุดท้ายของสัญญาในฤดูกาล 2023/24 อีกด้วย

ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงไม่แปลกที่โฆษกของ EFL ผู้ขอสงวนชื่อจะกล่าวกับ The Guardian สื่ออังกฤษถึงการที่บริษัทพนันเข้ามาเป็นสปอนเซอร์ว่า “มีส่วนสำคัญต่อความยั่งยืนทางการเงินอย่างต่อเนื่องของฟุตบอลระดับมืออาชีพทุกระดับ”

แรงกดดันจากสังคม

แม้ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทพนันกับวงการฟุตบอลจะออกมาในแนวเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน เมื่อสโมสรได้เงินทุนไปใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ขณะที่บริษัทพนันก็ได้ช่องทางประชาสัมพันธ์ แต่ขณะเดียวกันก็มีผลร้ายซ่อนอยู่

เพราะความสัมพันธ์ที่กล่าวไปข้างต้นนี้ ได้กลายเป็นจำเลยในสายตาหลายฝ่ายว่า มีส่วนอย่างยิ่งที่ทำให้คนเล่นการพนันมากขึ้น ซึ่งได้ลุกลามกลายเป็นปัญหาสังคม โดยผลการศึกษาล่าสุดของคณะกรรมการการพนันของอังกฤษ หรือ Gambling Commission พบว่า มีผู้ใหญ่ในสหราชอาณาจักรกว่า 430,000 คนที่ประสบปัญหาจากการพนัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2012 ถึง 150,000 คน และมีถึงกว่า 2 ล้านคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจะเข้าไปอยู่จำพวกเดียวกับกลุ่มแรกได้ทุกเมื่อ ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่าเด็กอายุระหว่าง 11-16 ปีถึง 370,000 คนที่เล่นการพนันอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และ 25,000 คนจากจำนวนดังกล่าวประสบปัญหาจากเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว เรื่องดังกล่าวถูกตอกย้ำจากคำพูดของศาตราจารย์ จิม ออร์ฟอร์ด แห่งมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Gambling Watch ที่กล่าวว่า

“การใกล้ชิดกันของอุตสาหกรรมการพนันกับวงการฟุตบอล ถือเป็นหลักฐานสำคัญว่าการพนันเริ่มกลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญเข้าไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ ที่หลายคนเริ่มมองว่าการจะเชียร์ทีมรักให้สนุกต้องลงเดิมพันกับมันด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การที่อุตสาหกรรมพนันนั้นเปิดเสรีมากในสหราชอาณาจักร ก็ทำให้หลายคนเช่นกันที่มองว่า ปัญหานี้มันหนักหนาเกินควบคุมไปแล้ว”

เรื่องดังกล่าวทำให้ภาพลักษณ์ของสโมสรที่มีบริษัทพนันเป็นสปอนเซอร์หน้าอกได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน จนทีมอย่าง เรอัล มาดริด และ เอซี มิลาน ตัดสินใจเปลี่ยนสปอนเซอร์หน้าอกเป็นบริษัทที่มาจากธุรกิจอื่นอย่าง สายการบินเอมิเรตส์ หลังสัญญากับ Bwin สิ้นสุดลง ทว่าสำหรับสโมสรขนาดกลางหรือเล็ก พวกเขากลับไม่มีทางเลือกมากนัก เมื่อบริษัทที่ทำธุรกิจถูกต้องตามขนมธรรมเนียม หรือศีลธรรม ไม่อาจให้เงินสนับสนุนพวกเขาได้มากเหมือนธุรกิจประเภทนี้ เนื่องจากไม่ส่งเสริมภาพลักษณ์ ของทีมได้เท่ากับสโมสรใหญ่ๆ นั่นเอง

เรื่องราวดังกล่าวทำให้บริษัทพนัน, สโมสรฟุตบอล รวมถึงฝ่ายจัดการแข่งขันต้องปรับตัว ด้วยการเซ็นเซอร์ตัวเองบางส่วน ไม่ติดชื่อบริษัทพนันเป็นสปอนเซอร์หน้าอกของเสื้อที่ขายให้กับเยาวชนรวมถึงชุดแข่งของทีมเยาวชน เพื่อไม่ให้คนรุ่นใหม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของบริษัทพนันเร็วเกินไปนัก ซึ่งจะทำให้พวกเขาก้าวสู่วังวนของการพนันเร็วเกินควร รวมถึงทำกิจกรรมสร้างการตระหนักรู้ถึงพิษภัยจากการพนันให้แฟนบอลรู้มากขึ้น โดย สตีฟ แพริช ประธานสโมสร คริสตัล พาเลซ อีกหนึ่งทีมที่มีสปอนเซอร์หน้าอกเป็นบริษัทพนัน เผยถึงสาเหตุในการจับมือร่วมกับ GambleAware องค์กรที่ต่อสู้กับปัญหาติดการพนันว่า “ในฐานะที่เป็นสโมสรในพรีเมียร์ลีก เรารู้ตัวเสมอว่าต้องเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้การพนันขันต่อนั้นปลอดภัยและรับผิดชอบต่อสังคม”  

การพนันกับฟุตบอลอาจเป็นสิ่งที่แยกจากกันแทบไม่ออก แต่ด้วยสภาพธุรกิจที่หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดศีลธรรม ธุรกิจพนันจึงตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกตัดขาดจากวงการ เหมือนอย่างที่บุหรี่ประสบมาแล้วจากพิษร้ายที่มีต่อสุขภาพ และนั่นทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องปรับตัว มองถึงผลกระทบทางสังคมเพิ่มมากขึ้น ไม่เน้นแต่การสร้างรายได้และกำไรจากการพนันแต่เพียงอย่างเดียว

เพราะหากการแบนการพนันออกจากการสนับสนุนวงการลูกหนังเกิดขึ้นจริง บริษัทพนันก็จะเสียช่องทางประชาสัมพันธ์ไป แต่สโมสรฟุตบอลจะเป็นฝ่ายที่เดือดร้อนกว่า เพราะแต่ละทีมจะเสียช่องทางหารายได้ ซึ่งอาจส่งผลให้สโมสรรวมถึงภาพรวมทั้งวงการซบเซา และอาจต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่จะมีธุรกิจใดเข้ามาเกื้อหนุนให้ความคึกคักกลับมาอีกครั้ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook