แอนโธนี่ โรเบลส : แชมป์มวยปล้ำอเมริกาที่มีขาแค่ข้างเดียวแต่เก่งจนโดนหาว่าโกง

แอนโธนี่ โรเบลส : แชมป์มวยปล้ำอเมริกาที่มีขาแค่ข้างเดียวแต่เก่งจนโดนหาว่าโกง

แอนโธนี่ โรเบลส : แชมป์มวยปล้ำอเมริกาที่มีขาแค่ข้างเดียวแต่เก่งจนโดนหาว่าโกง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ว่ากันว่าการจะเล่นกีฬาอะไรสักอย่างแบบเอาจริงเอาจังและทำให้ประสบความสำเร็จนั้น เรื่องของความพยายามเป็นแค่ส่วนหนึ่ง เพราะต่อให้บางคนพยายามแค่ไหนแต่ถ้าพระเจ้าไม่ได้มอบพรสวรรค์ให้ หรือแม้กระทั่งร่างกายที่เหมาะสมกับกีฬานั้น ก็ยากที่จะทำให้คุณกลายเป็นผู้ชนะที่แท้จริงได้

อย่างไรก็ตามนั่นไม่เสมอไป เพราะนี่คือเรื่องราวของคนที่มีขาแค่ข้างเดียว แต่กลับเลือกเล่นกีฬาที่ต้องใช้พละกำลังทุกส่วนของร่างกายอย่าง "มวยปล้ำ" เพราะกีฬาชนิดนี้มีส่วนหนึ่งที่ถูกเคมีกับพลังงานในตัวของเขา นั่นคือสัญชาติญาณนักสู้

ติดตามเรื่องราวของ แอนโธนี่ โรเบลส ที่เกิดมาพร้อมกับความพิการ ผู้พิสูจน์ตัวเองด้วยแชมป์ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ที่นี่ ... 

นักสู้ขี้แพ้ 

"แม่ผมจะออกไปเล่นกับเพื่อน" แอนโธนี่ โรเบลส ในวัยเด็กมักจะบอกกับแม่ของเขาอย่างนั้นเสมอหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เด็กชายที่มีขาข้างเดียวตั้งแต่กำเนิดอาจจะแตกต่างกับเด็กคนอื่นๆ แต่มันก็แค่นั้น เขาคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหา ...

สิ่งที่เด็กผู้ชายทั่วโลกต้องเล่นกันตามสัญชาติญาณ ไม่ว่าจะเกิดมาในประเทศใดก็ตามคือการ "เล่นต่อสู้" ไม่ว่าจะเป็นทางตรงอย่างการมาชกกันไปเลย หรือเป็นการต่อสู้แบบทางอ้อมเช่นการสวมบทบาทเป็นฮีโร่และตัวร้ายต่อสู้กัน นั่นทำให้ แอนโธนี่ ต้องเสียเปรียบกับการเล่นกับเพื่อน เขาเองตัวเล็กกว่าใครแต่กลับชอบที่จะเล่นต่อสู้กับเพื่อนๆ เสมอ แม้ว่าท้ายที่สุดเขาจะตาเขียวกลับบ้านเพราะเป็นฝ่ายแพ้ก็ตาม

"ผมแพ้เขาหมดเลย เพราผมตัวกะเปี๊ยกเดียวเอง ผมน่าจะเป็นเด็กที่ตัวเล็กที่สุดในเมืองเลยล่ะ" โรเบลส เล่าถึงวัยเด็ก 


Photo : Twitter 

มันน่าแปลกที่เขาชอบที่จะต่อสู้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าสู้ไปก็ยากที่จะชนะเด็กคนอื่นๆ ได้ เขาต้องพกไม้เท้าไปไหนด้วยตลอด เพราะขาขวาของเขาที่พิการตั้งแต่เกิดนั้นมันหายไปทั้งขาเลย ไม่มีส่วนที่ยื่นออกมาซึ่งจะเอาขาเทียมใส่ได้ อย่างไรก็ตามความเป็นนักสู้นั้นเกิดมาพร้อมกับการผลักดันของ จูดี้ ผู้เป็นแม่ เพราะเธอเชื่อว่าลูกของเธอไม่ต่างจากใคร ทุกครั้งที่เห็นเด็กๆ คนอื่นเล่นกัน เธอจะดันหลังให้ แอนโธนี่ ออกไปเล่นกับเพื่อนๆ ด้วย และไม่สนว่าลูกของเธออาจจะถูกเด็กๆ คนอื่นทำร้ายทั้งทางคำพูดและการกระทำ "ไปเลยลูก ไปสนุกกับเพื่อนๆ สิ" นี่คือที่ จูดี้ บอกกับลูกเธออยู่ประจำ

"ฉันคลอด แอนโธนี่ ตอนอายุ 16 ปี วันที่เขาเกิดมาพร้อมกับความพิการ ฉันร้องไห้ ..." จูดี้ เล่าย้อนกลับไปวันที่เขาพบว่าลูกชายตัวเองเกิดมาพร้อมกับความพิการ เธอยอมรับว่าร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งแรกที่เห็น แอนโธนี่ ... แต่หลังจากนั้นเธอตั้งใจว่าเธอจะไม่อ่อนแอและร้องให้อีกแล้วเธออยากให้ แอนโธนี่ เป็นเด็กผู้ชายที่สมบูรณ์แบบให้ได้ 

"ฉันก้มมามองลูกและบอกตัวเองว่าสำหรับฉันแล้วแอนโธนี่คือเด็กที่สมบูรณ์ จริงอยู่ที่เขาเกิดมาแตกต่างแต่ฉันจะเป็นแม่ที่ผลักดันเขาให้มากที่สุด และใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้เลย" และนับตั้งแต่วันนี้ แอนโธนี่ ได้รับการดูแลเหมือนกับเด็กทั่วๆ ไป พ่อและแม่ของเขาเอาใจใส่กับการเลี้ยงดูแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นช่วยทำให้ทุกอย่างจนเขารู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ ...

รู้ตัวอีกที แอนโธนี่ ก็โตเป็นเด็กที่สามารถเข้ากับแก๊งของเพื่อนๆ ได้อย่างกลมกลืน กลายเป็นว่าบางครั้งเป็นฝั่งลูกชายที่ขอออกไปลุยไปเล่นอะไรที่ดูแล้วตัวของเขาไม่น่าจะไหว ฝั่ง จูดี้ ต่างหากที่ต้องห้ามไม่ให้ออกไป แต่สุดท้าย แอนโธนี่ บอกว่าไม่ต้องห่วงผมจะกลับมาก่อนมื้อเย็น 


Photo : Times Union

"ทัศนคตินั้นสำคัญมาก ผมหาเรื่องแข่งขันมาตลอด เพื่อจะพิสูจน์ให่คนอื่นๆ เห็น ผมไม่อยากเป็นแค่คนที่ดีพอ แต่ผมอยากเป็นคนที่ดีที่สุด ผมไม่เคยพอใจในตัวเองสักครั้งแม้จะมีคนบอกว่าผมทำได้ดีแล้วก็ตาม"

 จะเป็นนักสู้จริงๆ มันไม่ง่าย...

การถูกเลี้ยงมาแบบเด็กปกติทำให้ แอนโธนี่ กล้าเข้าสังคมกับคนอื่นๆ ตลอดเวลา เขาเลือกจะเล่นกีฬาหลายชนิดทั้ง บาสเก็ตบอล และ ฟุตบอล ที่สำคัญคือเขาดันทำได้ดีอีกต่างหาก 

"ผมเล่นกีฬาหลายอย่างเลย ผมอาจจะมีขาเดียวแต่ผมก็เล่นฟุตบอลด้วย แม่บอกว่าเอาเลยอยากเล่นอะไรก็เล่น ผมก็เลยลองทั้งหมดและพยายามทำในสิ่งที่เกินกว่าใครจะตีกรอบไว้" โรลเบลส เล่าถึงวันที่เขากำลังมั่นใจถึงขีดสุด จนกระทั่งความมั่นใจที่ว่าเขาแข็งแกร่งแล้วสูญสลาย เมื่อถูกเพื่อนๆ ชวนให้ลองมาเล่นมวยปล้ำ

"ตอนผมย้ายจาก แคลิฟอร์เนีย มายัง แอริโซน่า ลูกพี่ลูกน้องของผมเป็นนักมวยปล้ำ ผมเลยไปลองฝึกกับเขาดูสักพักใหญ่ และได้ขึ้นสู้จริงๆ 1 ครั้งกับเพื่อนร่วมทีมคนหนึ่ง แม้ผมจะแพ้แบบขาดลอย แต่มันเป็นความพ่ายแพ้ที่ทำให้ตกหลุมรักกีฬาชนิดนี้"  

มีหลายคนบอกกับ แอนโธนี่ ว่าขาข้างเดียวของเขาเป็นปัญหาที่ทำให้มวยปล้ำไม่เหมาะกับตัวของเขาอย่างแรง เพราะมันต้องอาศัยการทรงตัวโดยใช้ขาทั้ง 2 ข้างเป็นฐานรับน้ำหนัก ซึ่งตัวของ แอนโธนี่ ก็นั่งทบทวนดูหลายครั้งว่ามันจริงอย่างที่คนอื่นว่าหรือไม่ และถ้าไม่จริงเขาควรจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร 


Photo : Team USA

จริงๆ แล้วมันไม่ใช่แค่การพยายามฝึกเพื่อเอาชนะใครหรอก สิ่งที่สำคัญคือเขาเองต่างหากที่ไม่ชอบความพ่ายแพ้ ยิ่งเป็นการแพ้แบบสู้ไม่ได้ขาดลอยสุดๆ ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดและรู้สึกว่าการแพ้แบบนี้ทำให้ความเชื่อมั่นในตัวเองที่พ่อและแม่ใส่ให้เขามาตั้งแต่เกิดจะค่อยๆ ถูกกลืนกินกับข้ออ้างที่บอกว่า "สู้ใครไม่ได้เพราะผมมีขาข้างเดียว" ... สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือการหาข้ออ้างให้ตัวเองดูดี ทั้งที่จริงๆ แล้วยังไม่รู้เลยว่าหากได้ลองพยายามทำให้เต็มที่ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นอย่างไร

"การได้ต่อสู้กับใครสักคนมันทำให้ผมมั่นใจในตัวเอง ความเป็นนักสู้สอนให้ผมต้องดิ้นรน เมื่ออยู่บนเวทีปล้ำมันเหลือแค่คุณกับคู่ต่อสู้ของคุณแล้ว บนนั้นไม่มีพ่อแม้หรือใครมาช่วยคุณได้ ดังนั้นต่อให้เหนื่อยจนใจแทบขาดแต่สิ่งสุดท้ายที่ช่วยคุณได้คือความเชื่อมั่นในตัวคุณเองนั่นแหละ" 

บนเวทีปล้ำระดับไฮสคูล มันไม่ใช่การชกต่อยหรือเล่นต่อสู้กันแบบเด็กๆ เมื่อผู้เข้าแข่งขันทุกคนเดินขึ้นมาบนเวทีแล้วทุกคนอยากชนะ ทุกคนจะสลัดทิ้งซึ่งความเห็นอกเห็นใจ เพราะในเมื่อ แอนโธนี่ เลือกจะสู้แล้วมันหมายความว่าต่อให้เขาจะโดนเหวี่ยง, ทุ่ม หรือโดนล็อค มันเกิดจากความเต็มใจของเขาเอง 

การแข่งขันแบบจริงจังในช่วงไฮสคูลของ แอนโธนี่ นั้นมีพ่อแม่และพี่น้องทั้ง 3 คนของเขาเข้ามาดูการปล้ำเกมนั้นด้วย ... ทุกคนหวังจะได้เห็นลูกชายและพี่ชายคนเก่งของพวกเขาเอาชนะคู่แข่ง แต่ความจริงมันตรงกันข้ามเลย ความแตกต่างของคนธรรมดากับคนพิการมันมากเกินไป แถมคู่ปล้ำของแอนโธนี่ยังทำเหมือนว่าเขาเป็นลูกไก่ในกำมือจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด...


Photo : The State Press

นักมวยปล้ำคนนั้นวิ่งเป็นวงกลมรอบตัวของ แอนโธนี่ เขาจับไม่ทัน และได้แต่กระโดดหยองแหยงตาม สิ่งที่ตามมาจากฉากนั้นคือมีเสียงหัวเราะจากผู้ชมที่รู้สึกตลกกับการสู้ครั้งนี้ ... ในขณะที่ จูดี้ ผู้เป็นแม่กัดฟันด้วยความโกรธและตะโกนออกไปว่า "พวกคุณหัวเราะอะไรกัน?" ... หลังจากนั้นไม่นานคู่ปล้ำของ แอนโธนี่ ก็ปิดฉากจับเขาทุ่มลงกับพื้นและชนะไปอย่างง่ายดาย   

จูดี้ และครอบครัวเดินเข้าไปหาแอนโธนี่ และกระซิบบอกอะไรบางอย่าง ก่อนที่ทุกคนจะกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง มันคือคำพูดปริศนา ไม่รู้ว่า จูดี้ พูดคำว่าอะไร แต่ที่รู้ๆ คือมันทำให้ แอนโธนี่ อมยิ้มและคิดในใจว่า "เดี๋ยวเจอกันใหม่" และเขามั่นใจด้วยว่าหากได้ขึ้นปล้ำอีกรอบเขาจะต้องชนะแน่ 

"แอนโธนี่ สู้ไม่ได้เลย เขาออกไปสู้แล้วเขาก็แพ้ แต่ช่างมันสิ สำหรับฉันแล้วมันไม่ได้มีผลอะไร การแพ้ของเขาทำให้ฉันเห็นหัวใจที่แท้จริงของลูกชาย เขายังอยากสู้อยู่ และนั่นล่ะคือสิ่งที่เขาเป็นมาตลอด"


Photo : Larry Salter 

ชัยชนะขึ้นอยู่กับวิธีการ 

คริส ฟรายเย คือคู่ต่อสู้ที่ทำให้ แอนโธนี ถูกหัวเราะในวันนั้น ทั้ง 2 คนอยู่ชมรมมวยปล้ำเดียวกัน และได้ซ้อมกันบ่อย ทุกครั้งที่ซ้อม คริส จะเอาจริงในระดับเกิน 100% หากได้ลงปล้ำกับ แอนโธนี่ แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จัดอยู่ในหมวดคู่กัดที่เกลียดขี้หน้ากันอย่างแท้จริง

"ไอ้ คริส มันเหวี่ยงผมไปรอบเวที ปล้ำกับมันแต่ละทีมันก็เล่นซะผมแทบอ้วกแตกอ้วกแตนตลอดเลย" แอนโธนี่ กล่าวถึงตัวแสบที่เล่นงานเขาประจำ 

แต่เมื่อการเข้าค่ายเก็บตัวนักกีฬามาถึง ทุกอย่างเปลี่ยนไป ทั้งสองคนพยายามฝึกอย่างหนักไปพร้อมๆ กันเพื่อเอาชนะ และโค้ชของทีมก็เห็นในความพยายามของคู่ปรับคู่นี้ และน่าแปลกที่โค้ชจัดให้ทั้งสองคนขึ้นปล้ำด้วยกันเสมอ

ว่ากันว่าหากลูกผู้ชายได้ซัดกันจนหมดแรง พวกเขาทั้งคู่จะเข้าใจคู่ชกของตัวเองมากขึ้น คู่ของ คริส และ แอนโธนี่ ก็เช่นกัน การพยายามเอาชนะ คริส ส่งผลให้ แอนโธนี่ ก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเอง เขาเริ่มฝึกเพิ่มความแข็งแกร่งร่างกายช่วงบนใหม่ให้สามารถทดแทนกับขาที่หายไป ซึ่งคู่ซ้อมก็ไม่ใช่ใคร เป็น คริส เองนั่นแหละที่ถูกวางมาเป็นบัดดี้ และในที่สุดจากคู่ปรับก็กลายเป็นเพื่อนซี้ไปอย่างไม่รู้ตัว 


Photo : FloWrestling

นี่คือแผนที่ โค้ช วางไว้ เขาอยากให้ แอนโธนี่ มีแรงมุ่งมั่นยิ่งกว่าเดิม และเมื่อเขาพิสูจน์ว่าพร้อมทางร่างกายแล้ว โค้ชของทีมจึงปรับสไตล์การปล้ำของเขาใหม่เสีย เพราะไม่มีทางที่จะชนะคนอื่นได้แน่หากเขายังปล้ำในสไตล์ที่เหมือนคนปกติ 

แอนโธนี่ ได้ฝึกแท็คติกใหม่ที่เหมาะกับร่างกายของเขา ตอนนี้เขาจะไม่ยืนขาเดียวเพื่อเป็นการเสียเปรียบอีกแล้ว เขาจะนั่งลงไปกับพื้นเลยและใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายส่วนบนยกทุ่ม หรือใส่ซับมิชชั่นคนอื่นโดยใช้พื้นเวทีเป็นฐาน ซึ่งแตกต่างจากคนปกติที่ต้องใช้ขาทั้ง 2 ข้างเป็นหลัก

"หลังจากได้ซ้อมแท็คติกนั้น แอนโธนี่ กลายเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวแล้ว ตอนนี้เขาเก่งขึ้นจนผมเริ่มอยากจะซ้อมปล้ำกับเขาแล้ว ใครก็ตามที่เดินผ่านประตูโรงยิมมามักจะถามว่า "แอนโธนี่ อยู่ไหน? เพื่อขอวัดกับเขาดูซักที" คริส กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีการปล้ำที่ทำให้ แอนโธนี่ กลายเป็นยอดฝีมือได้อย่างไม่น่าเชื่อ และมีแชมป์ระดับไฮสคูลติดตัวมากมาย 

จากจุดอ่อนสู่จุดแข็ง 

โควต้านักกีฬาในระดับมหาวิทยาลัยของประเทศอเมริกานั้นถือเป็นเรื่องใหญ่และต้องพิจารณากันหลายขั้นตอนมาก เพราะแต่ละมหาวิทยาลัยให้แต่ละทุนด้วยมูลค่าที่สูงมาก ที่สำคัญคือมันมีจำกัด และเมื่อพวกเขาให้การสนับสนุนทุกด้านแล้วสิ่งที่แต่ละมหาวิทยาลัยต้องการคือการสร้างชื่อเสียง ดังนั้นต้องยอมรับว่าการมอบทุนเรียนฟรีในโควต้านักกีฬาให้กับเด็กหนุ่มที่มีขาแค่ข้างเดียวนั้นดูจะไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย 


Photo : FloWrestling

แอนโธนี่ ยื่นขอรับทุนนักกีฬากับทั้งมหาวิทยาลัย ไอโอว่า, โอกลาโฮม่า สเตท และ โคลัมเบีย แต่ไม่มีที่ไหนที่เขาได้ทุนนักกีฬาเลย สุดท้ายเขาก็ต้องเริ่มพิสูจน์ตัวเองใหม่ด้วยการเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย แอริโซน่า ในโควต้านักเรียนปกติ และเข้าชมรมมวยปล้ำตามที่เขาตั้งใจเพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่าเขานั้นสามารถทำได้ดีไม่แพ้ใคร  

"มันมีการเปรียบเทียบเกิดขึ้นจริงๆ ผมไม่ได้ทุนการศึกษาเพราะเรื่องนี้และผมว่ามันเป็นการดูถูกการทำงานหนักของผมเป็นอย่างมาก เพราะผมทุ่มเทอย่างเต็มที่มาตลอด ซึ่งนั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมจึงประสบความสำเร็จแบบทุกวันนี้ได้"

การออกกำลังกายแบบทุ่มสุดตัวของ แอนโธนี่ ดำเนินมาถึง 3 ปีเต็มๆ ดังนั้นช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาจึงเป็นนักปล้ำที่เก่งมากยิ่งกว่าระดับไฮสคูลเสียอีก ยิ่งเมื่อผนวกกับการศึกษาแท็คติกการปล้ำแล้ว ทำให้เขาได้เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยลงแข่งขันชิงแชมป์ประเทศในทุกๆ ปีอีกด้วย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจากขาข้างเดียวที่ถูกมองว่าเป็นจุดอ่อน กลับกลายเป็นว่าตอนนี้คู่แข่งตามที่ต่างพยายามจะอ้างว่ามันทำให้แอนโธนี่ได้เปรียบ เพราะเมื่อขาไม่มีข้างหนึ่งมันทำให้น้ำหนักของเขาหายไปหลายสิบปอนด์ และคู่แข่งไม่สามารถเล่นท่ารวบขาเขาได้เพราะเขาเลือกที่จะปล้ำแบบนั่งและนอน ความได้เปรียบนี้เองที่ทำให้เขาลงแข่งมวยปล้ำรุ่นเล็กได้ ทั้งๆ ที่ร่างกายส่วนบนนั้นแข็งแกร่งและใหญ่กว่าคู่แข่งคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด และมันทำให้เขากลายเป็นแชมป์ในระดับมหาวิทยาลัยของประเทศสหรัฐอเมริกา ในรุ่น 125 ปอนด์ เมื่อต้นปี 2011 หลังคว้าแชมป์ในภูมิภาคแปซิฟิกของประเทศได้ 3 ปีซ้อน ที่สำคัญคือในปีที่เขาคว้าแชมป์ประเทศ สถิติของเขาคือชนะ 36 ครั้ง ไม่แพ้ใคร


Photo : Bleacher Report

"น่าแปลกดีนะ มันตรงกันข้ามกับตอนที่ผมปล้ำครั้งแรกเลย ทุกคนบอกว่าอย่าเอาจริงกับผมเลยเพราะผมมีขาแค่ข้างเดียว ผมต้องเสียเปรียบหลายคน หลายมหาวิทยาลัยที่ผมสมัครบอกกับผมว่าผมแข่งเกมระดับสูงไม่ได้หรอกเพราะผมไม่มีขา" แอนโธนี่ รู้สึกตลกเมื่อสิ่งที่ทำให้เขาเป็นจุดอ่อนในการแข่งขัน กลับกลายเป็นข้ออ้างสำหรับคนที่เขาสามารถเอาชนะได้ในเวลาเดียวกัน ...

"ก็คงต้องบอกว่าแล้วไงล่ะ? ... ผมมีความสุขที่ได้เป็นผู้ชนะและอยู่บนยอดเขาที่พวกนั้นมาไม่ถึง มันไม่สำคัญหรอกว่าใครจะพูดอะไร ผมก็แค่ตั้งเป้าของผมไว้และทำให้มันสำเร็จเท่านั้นเอง" 

ที่สุดแล้วคือวิชาชีวิต

มวยปล้ำอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องราวของ แอนโธนี่ โรเบลส โด่งดั่งไปทั่วประเทศอเมริกา แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือสิ่งที่เขาทำมันสะท้อนให้เห็นว่าทุกอย่างบนโลกนี้มีสองด้าน ไม่มีอะไรเลวร้ายไปทั้งหมด ทุกอย่างต่างมีจุดแข็งของมันเพียงแต่ต้องหาให้เจอ แม้ว่าจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในแบบที่ใครก็คาดไม่ถึงก็ตาม

สภาพจิตใจขของ แอนโธนี่ คือสิ่งชี้วัดที่ทำให้เรื่องดังกล่าวกลายเป็นประวัติศาสตร์ เขาไม่ได้แค่พยายามพิสูจน์ตัวเองในเวทีเท่านั้น แต่ในการใช้ชีวิตประจำวันทุกวัน เขาทำให้ตัวเองมีค่าเสมอ นั่นคือสิ่งที่เขาอยากจะส่งต่อไปถึงผู้พิการทุกคนว่า โอกาสที่แท้จริงเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงตัวเอง 


Photo : The Virginian-Pilot

"เริ่มวาดภาพเป้าหมายของคุณไว้ และทบทวนดูเสมอว่าตอนนี้คุณไปถึงไหนแล้ว สิ่งนี้แหละที่จะช่วยให้คุณนึกถึงสิ่งที่คุณกำลังไล่ล่ามันอยู่ ผมเองเขียนเตือนตัวเองไว้ตั้งแต่ 14 ขวบ คุณรู้ไหมผมเขียนไว้ว่าอะไร ... ผมเขียนว่าจะเป็นแชมป์มวยปล้ำของรัฐ" แอนโธนี่ บอกเคล็ดลับง่ายๆ ซึ่งสิ่งที่เขาทำได้จริงๆ นั้นยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่จดไว้อีกต่างหาก  

"ผมคิดว่ามวยปล้ำเป็นแค่ประตูที่เปิดให้โลกได้รู้ว่า แอนโธนี่ คือใคร แต่ถ้าเปิดเข้ามาแล้วพวกคุณจะได้รู้ว่าเขาเป็นพี่ใหญ่ที่แท้จริง ผมอยู่กับพี่มานานและรู้เสมอว่าเขาทำอะไร และผ่านสิ่งไหนมาบ้าง" นิโคลัส โรเบลส พูดถึงตัวพี่ชายของเขา  

ทุกอย่างที่กล่าวมาเป็นเรื่องจริงทั้งหมด สำหรับ แอนโธนี่ แล้วการขึ้นปล้ำให้อะไรมากกว่าชัยชนะ เพราะมันสอนให้เขารู้ซึ้งถึงความพยายามในการดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปแบบผู้ชนะต่างหาก 

"มวยปล้ำสอนให้ผมรู้จักอำพรางจุดอ่อนและดึงมันออกมาเป็นจุดแข็ง ไม่ต้องกังวลว่าใครจะบอกว่าคุณทำไม่ได้ เพราะถ้าได้ลองฝึกฝนดูแล้วทุกอย่าง ย่อมมีโอกาสจะเดินทางไปสู่ความสำเร็จได้เหมือนกันนั่นแหละ"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook