"คลิทช์โก้ บราเธอร์ส" : พี่น้องแชมป์เฮฟวี่เวทชาวยูเครนที่คิดว่าอเมริกาเป็น "ดิสนี่ย์เเลนด์"

"คลิทช์โก้ บราเธอร์ส" : พี่น้องแชมป์เฮฟวี่เวทชาวยูเครนที่คิดว่าอเมริกาเป็น "ดิสนี่ย์เเลนด์"

"คลิทช์โก้ บราเธอร์ส" : พี่น้องแชมป์เฮฟวี่เวทชาวยูเครนที่คิดว่าอเมริกาเป็น "ดิสนี่ย์เเลนด์"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ความรักเปลี่ยนได้ ความรู้เปลี่ยนได้ และความรู้สึกก็เป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อการเวลาผ่านไป ทุกสิ่งในโลกล้วนตั้งอยู่และดับไป ไม่มีอะไรยาวนานและตลอดกาลไม่มีจริง ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงช้า หรือเร็วแค่นั้นเอง ทว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงยากที่สุดคือ "ความเชื่อ" การจะบอกให้ใครสักคนว่าสิ่งที่เขาเชื่อนั้นผิดเป็นเรื่องที่ยากมาก หากเขาเหล่านั้นไม่เคยมาสัมผัสเอง…

นี่คือเรื่องราวของคู่พี่น้องชาวยูเครน ที่มีโอกาสได้สัมผัสบรรยากาศตั้งแต่ประเทศของพวกเขายังถูกเรียกว่า สหภาพโซเวียต ไม้เบื่อไม้เมาตลอดกาลของ สหรัฐอเมริกา ... ทั้งสองประเทศต่างมีความเชื่อ และปลูกฝังประชาชนของพวกเขาต่างกัน ซึ่งต่างกันแค่ไหนคุณจะได้รู้จาก วลาดิเมียร์ และ วิตาลี่ คลิทช์โก้ ที่ออกจากแผ่นดินคอมมิวนิสต์ สู่ฝ่าย โลกเสรี ด้วยการตามฝันเป็นนักมวยตั้งแต่อายุ 17 ปีเท่านั้น

 

พวกเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง และสิ่งที่โดนสอนมาเกี่ยวกับสหรัฐอเมริกา เป็นจริงหรือไม่?  ติดตามได้ที่นี่

ตัวแสบลูกผู้พัน 

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939 ถึงปี 1945 มีกลุ่มประเทศที่ถูกจัดให้อยู่ในหมวด "อภิมหาอำนาจ" อยู่ 3 ประเทศที่มีบทบาทสำคัญในสงครามครั้งนั้น ได้แก่ จักรวรรดิอังกฤษ, สหรัฐอเมริกา และ สหภาพโซเวียต โดย อลิซ ไลแมน มิลเลอร์ ศาสตราจารย์แห่งกิจการความมั่นคงแห่งชาติ ณ บัณฑิตวิทยาลัยกองทัพเรือ ให้เหตุผลที่ทั้ง 3 ประเทศถูกเรียกเช่นนี้เป็นเพราะพวกเขาคือ  "ประเทศซึ่งมีความสามารถจะรักษาอำนาจครอบงำและส่งอิทธิพลได้ในทุกพื้นที่ในโลก และในบางครั้ง มากกว่าหนึ่งภูมิภาคของโลกในเวลาใดเวลาหนึ่ง และอาจกล่าวได้ว่าบรรลุสถานะความเป็นเจ้าโลก"    

1

ทว่าเมื่อสงครามจบโลก  ประเทศมหาอำนาจในยุโรปต่างบอบช้ำหนัก อเมริกาประกาศความเป็นพี่ใหญ่แทนอังกฤษ ฝรั่งเศส ในการแสวงหาประเทศต่างๆทั่วโลก เพื่อเป็นพันธมิตรและปลูกฝังทุนนิยมให้เหมือนกับตน และแน่นอนใดๆในโลกนี้ล้วนมี 2 ด้าน เมื่ออเมริกาอยู่ฝั่งหนึ่ง ย่อมต้องมีอีกฝ่ายที่เป็นตัวแทนของอีกหนึ่งความเชื่อเข้ามาคานอำนาจ ซึ่งนั่นคือ โซเวียต

โซเวียต ก้าวขึ้นมาเป็นพี่ใหญ่ในฐานะตัวแทนของสังคมนิยม และเมื่อต่างฝ่ายต่างเชื่อว่าความคิดและระบอบของตัวเองถูกต้องที่สุดและต้องการหาพรรคหาพวกจากประเทศต่างๆทั่วโลก พวกเขาจึงสร้างสถานการณ์หนึ่งขึ้นมาโดย การต่อสู้ระหว่างประเทศต่อประเทศด้วยวิธีการต่าง ๆ ยกเว้นการทำสงครามกันโดยเปิดเผย แต่ใช้วิธีแข่งขันกันทางกำลังอาวุธ กำลังทางเศรษฐกิจแทน เพื่อขัดขวางการขยายอำนาจของกันและกัน หรือที่รู้จักกันในชื่อสั้นๆและเข้าใจง่ายกว่ามากว่า "สงครามเย็น"   

ความเชื่อดังกล่าวไม่ได้หายไปไหน โซเวียต และ อเมริกา ยังคงแข่งขัน และมีความเกลียดชังกันโดยสายเลือดอยู่ลึกๆ โดยเฉพาะในฝ่ายของชนชั้นผู้นำที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นการแสดงออกของความรักชาติ หนึ่งในกลุ่มผู้นำที่มีอำนาจในกองทัพอากาศของโซเวียตคือ วลาดิเมียร์ โรดิโอโนวิช คลิทช์โก้ ทหารยศผู้พันจากกองทัพอากาศของสหภาพโซเวียตที่เกิดในยุคการเริ่มสงครามเย็น และเขามีความเชื่อเหมือนกับหลายๆคนในโซเวียตนั่นคือ "ประเทศของเราคือมหาอำนาจ"  

"วลาดิเมียร์ โรดิโอโนวิช คลิทช์โก้" จึงเติบโตมากับอุดมการณ์ที่จะเป็นกำลังสำคัญให้กับประเทศชาติ เขาจึงเลือกที่ตบเท้าเข้าสู่กองทัพตั้งแต่ยังหนุ่ม ก่อนที่เขาจะเริ่มมีครอบครัวและมี วิตาลี่ ลูกชายคนแรกในปี 1971 ในตอนที่เขาไปประจำการอยู่ที่ คีร์กีซสถาน และจากนั้นให้หลังมาอีก 5 ปี ลูกชายคนที่ 2 ที่ชื่อว่า วลาดิเมียร์ ก็ได้ลืมตาดูโลกไล่หลังกันมา

2

"วลาดิเมียร์ โรดิโอโนวิช คลิทช์โก้" ผู้เป็นพ่อเลี้ยงลูกแบบสมฉายาชายชาติทหาร เขาสอนให้ลูกชายทั้ง 2 รักประเทศให้มากเท่าชีวิตให้เรียนสูงๆเพื่อเป็นบุคลากรแถวหน้าของประเทศ และยังสอนให้รู้จักศิลปะการต่อสู้ต่างๆแบบที่กองทัพโซเวียตฝึกกันอีกด้วย ดังนั้น 2 พี่น้อง คลิทช์โก้ จึงเติบโตมาในฐานะเยาวชนระดับคุณภาพของประเทศเลยทีเดียว 

เมื่อร่างกายเติบโตและเริ่มแข็งแรงขึ้น 2 พี่น้อง คลิทช์โก้ ถูกส่งไปยังโรงเรียน Brovary Olympic Reserve School  ซึ่งเป็นโรงเรียนกินนอนภายใต้การดูแลของกองทัพและมีจุดประสงค์ในการสร้างนักกีฬาเพื่อไปประกาศความยิ่งใหญ่ของโซเวียต ในการแข่งขันโอลิมปิก ซึ่งกีฬาโอลิมปิกในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็มีกลิ่นอายของความเป็นสงครามเย็นกลายๆ มันคือการประกาศชัยชนะของ 2 อภิมหาอำนาจ ที่จะจ้องจะหาเรื่องข่มกันในทุกๆทางที่แข่งขันได้

2 พี่น้อง คลิทช์โก้ มีไฟในตัวเต็มเปี่ยม มีเลือดทหารจากพ่อ และมีความทะเยอทะยานที่จะสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ พวกเขาจึงเป็นเด็กที่แกร่งที่สุดในแผนกกีฬามวยสากล โค้ช กวาร์เดีย วอร์สซาว่า เคยเปิดเผยถึงความแสบของ 2 พี่น้องลูกผู้พันที่ตัวใหญ่อย่างกับยักษ์ (สูง 2 เมตรทั้ง 2 คน)ว่าเป็นนักกีฬาที่แข็งแกร่งกว่าใครเพื่อน และยังเป็นคนที่เมื่อได้ขึ้นเวทีเเล้วเอาจริงเอาจังมาก แม้ว่าจะเป็นการลงนวมเรียกฟิตธรรมๆดาแต่ทั้งคู่มักจะชกคู่ซ้อมจนเละเทะเพื่อชัยชนะแบบเด็ดขาดเป็นประจำ แน่นอนว่าด้วยความโหดระดับนั้น ทั้งคู่ก็กลายเป็นนักกีฬามวยสากลของกองทัพตั้งแต่อายุ 17 ปี

เหตุการณ์ฝังสมอง

ในขณะที่เส้นทางของสองพี่น้องกำลังรุดหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้งที่กรุงเคียฟ ยูเครน หนึ่งในแผ่นดินของ โซเวียต เกิดเหตุการณ์ที่ดังกระฉ่อนไปทั้งโลกเมื่อ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล ตั้งอยู่ที่นิคมเชอร์โนบิเกิดระเบิดขึ้น และมันได้สร้างผลกระทบครั้งใหญ่เพราะ ปริมาณของรังสีที่แพร่กระจายออกมา มีอานุภาพมากกว่ารังสีจากระเบิดปรมาณูที่ถล่มใส่เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิถึงอย่างน้อย 100 เท่า สารเคมีต่างๆ กระจายตัวไปทั่วพื้นที่ เข้าไปสู่บ้านเรือน, โรงเรียน, ป่าเขา, แม่น้ำ แม้แต่กระทั่งอากาศ 

3

ผู้พัน คลิทช์โก้ คือกลุ่มเก็บกวาดกลุ่มแรกที่รัฐบาลโซเวียตส่งเข้าไปจัดการปัญหาดังกล่าว ซึ่งอุบัติเหตุครั้งนั้นก็กลายเป็นอีก 1 เรื่องที่สร้างความแตกแยกให้ อเมริกา และ โซเวียต และเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็นด้วย 

สหรัฐฯ เชื่อว่าอุบัติเหตุเกิดครั้งนี้เกิดขึ้นจากความเน่าเฟะของระบบราชการในโซเวียต ที่อยากจะเป็นใหญ่จนไม่คิดถึงประชากรในประเทศ ซึ่งแนวความเชื่อของอเมริกาในจุดนี้ถูกส่งต่อมาจนถึงยุคปัจจุบัน และตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเมื่อ HBO ได้สร้างภาพยนตร์ซีรีส์เรื่อง เชอร์โนบิล ขึ้นมาในปี 2019 นี้ พวกเขาก็เล่นประเด็นความผิดพลาดของรัฐบาลโซเวียตไปเต็มๆ  

ขณะที่ทาง โซเวียต ก็มีความเชื่อในแบบของพวกเขาเช่นกัน เนื่องจากมีทฤษฎีที่ว่าด้วยการแทรกซึมของสายลับจาก ซีไอเอ ที่เข้ามาเพื่อสร้างปฎิบัติการบ่อนทำลายจนเกิดหายนะครั้งนี้ และแน่นอนว่าเรื่องนี้ยังเถียงกันไม่จบง่ายๆ เมื่อล่าสุดมีข่าวว่ารัฐบาลรัสเซียจะให้งบประมาณสนับสนุนการถ่ายทำ ซีรีส์ เรื่อง เชอร์โนบิล ในมุมมองของ โซเวียตบ้าง 

4

“มีทฤษฎีว่าอเมริกันแทรกซึมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล นักประวัติศาสตร์หลายคนก็ไม่ได้สรุปสาเหตุเป็นไปได้จากเหตุการณ์นั้น สายลับจากสำนักข่าวกรองของศัตรูอยู่ในสถานีโรงไฟฟ้า” ว่าไว้อย่างนั้น

เห็นได้ชัดว่าเหตุแม้เหตุการณ์เชอร์โนบิลจะเกิดขึ้นมาเเล้วกว่า 30 ปี แต่ความจริงคือความคิดของทั้งสองประเทศต่างกันไปแบบคนละขั้ว ต่างฝ่ายต่างมองกันในแง่ลบจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นเเทบไม่ต้องสืบเลยว่าคนยุค "เชอร์โนบิล" จะได้รับข้อมูลจากรัฐบาลของตนเองและอินกับสิ่งที่พวกเขารับรู้มากแค่ไหน เพราะยุคนั้นสื่อที่เร็วที่สุดมีเพียงแค่โทรทัศน์เท่านั้น ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็สามารถใส่ข้อมูลและมุมมองของแต่ประเทศได้อย่างเต็มที่    

ในช่วงเวลาที่ เชอร์โนบิล ระเบิดและพ่อของพวกเขาก็ทำหน้าที่ "เก็บกวาดเพื่อชาติ" 2 พี่น้อง คลิทช์โก้ กำลังอยู่ในช่วงการสร้างชื่อเสียงและกำลังจะกลายเป็นเบอร์ 1 และเบอร์ 2 ของประเทศ และเมื่อปราบเพื่อนร่วมชาติจนเกลี้ยงเเล้ว พวกเขาทั้งคู่ก็เตรียมถูกส่งไปทดสอบฝีมือที่ดินเเดนที่เต็มไปด้วยยอดนักชก... สหรัฐอเมริกา

อ้าว... อเมริกา

การเติบโตในค่ายทหารและอยู่ในยุคที่โลกยังไม่เชื่อถึงกันในทุกวันนี้ทำให้สองพี่น้อง คลิทช์โก้ ยินดีเป็นอย่างมากที่จะได้ไปอเมริกา ดินแดนที่พวกเขาไม่รู้จัก แต่เคยได้ยินชื่อเสียงมาตั้งแต่เด็ก ภาพของอเมริกาในหัวของทั้งคู่คือประเทศที่ขี้โกงและชอบชุบมือเปิบ อีกทั้งยังเป็นดินเเดนที่อันตราย ทุกหย่อมหญ้ามีอาชญากรรม ซึ่งเขาคิดว่าอยากจะรู้เหมือนกันว่าที่ได้ยินมานั้นจะแน่สักแค่ไหน?

5

"ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมถูกบอกมาตคลอดว่าอเมริกาเป็นประเทศที่น่ากลัว ประชาชนที่นี่ก้าวร้าวและชอบก่ออาชญากรรม เป็นพวกควบคุมไม่ได้ ถ้าผมเดินเล่นตามท้องถนนผมอาจจะโดนยิงทิ้งก็ได้" วิตาลี่ ผู้เป็นพี่กล่าว ก่อนจะเสริมถึงมุมมองด้านการเมือง ที่โดนป้อนข้อมูลมาตลอดว่า

"ผมถูกบอกมาเหมือนกันว่าพวกอเมริกันเป็นศัตรูเบอร์ 1 ของพวกเรา เขาจะทำให้พวกเราเป็นทาส และอเมริกาเป็นชาติบ้าอำนาจที่อยากจะครอบครองโลกทั้งใบ"

เขาคิดไว้แบบนั้นก่อนเดินทาง และเมื่อเครื่องเเลนดิ้งที่ แคลิฟอร์เนีย พวกเขามุ่งสู่แคมป์ฝึกซ้อมที่ แปซิฟิก ปาลิซาเดส พวกเขาวางมาดมาด้วยความแอ็คเต็มที่เพื่อข่มพวกไอ้กันจอมโอหัง และเมื่อเหยียบถึงโรงยิม ก้าวแรกเพื่อประกาศศักดาเขาก็เจอโค้ชของที่นี่ถามสวนขึ้นมาทันทีว่า "แกมาจากไหน?"    

พี่น้องคลิทช์โก้ ถูกถามหยั่งเชิงก่อนและพวกเขาบอกว่าเราคือเบอร์ 1 จาก ยูเครน และวางก้ามข่มทันที หนนี้เป็น วลาดิเมียร์ คนน้องที่ฉายแสงบ้าง

6

"เรามาจากยูเครน ตอนฉันอายุ 12 ฉันเริ่มถือปืน AK-47 และพกระเบิดมือไว้กับตัว เพื่อวิ่งผ่านอุโมงค์ใต้ดินในการฝึกซ้อมโจมตีรถถึง" วลาดิเมียร์ เปิดก่อนและรอฟังท่าทีของคนอเมริกันที่พวกเขาคิดว่าโหดมากจะตอบกลับอย่างไร... โค้ชคนนั้นยิม และเริ่มแสดงสีหน้าที่แปลกออกไปทันที  ไม่ใช่ท่าทีของคนไม่ถูกใจกัน แต่มันคือท่าทีของความตะลึงต่างหาก

"เฮ้ย เดี๋ยวๆๆ ขนาดนั้นเลยเหรอวะ จะบอกให้ตอนฉันอายุ 12 ขวบ ฉันทำอะไร ฉันนั่งรถที่มีพ่อขับมุ่งหน้าไปยังดิสนี่ย์แลนด์ ไปทำไมรู้ไหม? ฉันไปเยี่ยมพวกมิกกี้เม้าส์ไงล่ะ บอกมานะโว้ยว่าคิดอะไรกันอยู่  อะไรของพวกแกว่ะ?" 

พี่น้องคลิทช์โก้ งงจัดเลยทีเดียวเขาอาจจะไม่เคยไปแต่เขาก็พอรู้มาบ้างว่า ดิสนี่ย์แลนด์ เป็นที่ๆมีแต่ของเล่นที่เหมาะกับเด็กน้อย ทำไมคนที่จะมาสอนมวยพวกเขาในวันนี้ถึงไปทำอะไรในที่แบบนั้นทั้งๆที่อายุ 12 ปี แล้ว...  สรุปอเมริกามันโหดอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า? 

พี่น้องคลิทช์โก้ ลงซ้อมกับพวกอเมริกันอยู่พักใหญ่ ยิ่งเวลาผ่านไปพวกเขายิ่งรู้ว่าสิ่งที่โดนพูดฝังสมองมาตั้งแต่เด็กมันไม่เห็นจะมีจริงเลยแม้แต่น้อย "เรากำลังเตรียมจะจัดกับพวกเขาแท้ๆ แต่ทำไปทำมาเราก็เพิ่งรู้ว่าเป็นพวกเราเองนี่แหละที่ถูกล้างสมอง" วลาดิเมียร์ คนน้องยอมรับว่าพวกเขาถึงบางอ้อก็วันนี้เอง

7

ภาพในจินตนาการของพี่น้องคลิทช์โก้ไม่ตรงกับความจริงเลย กลับกันมันกลับทำให้พวกเขารู้สึกมีชีวิตชีวามากกว่าที่เคย ที่อเมริกามีของดีหลายอย่างที่เขาเคยได้ยินแต่ชื่อ จนได้มาลองเองพวกเขาจึงรู้ว่าสุดยอด โดยเฉพาะของกิน! 

"ผมเหมือนกลับเป็นเด็กเลยว่ะเอาจริงๆ ตลอดชีวิตผมเข้าใจว่าชีสก็คือชีสนี่แหละ แต่พอมาอเมริกาผมเห็นพวกเขาขายชีสกันเป็น 100 แบบ โคตรน่าตื่นเต้นเลย" วิตาลี่ คนพี่รู้สึกว่า อเมริกากลายเป็นดิสนี่ย์แลนด์สำหรับเขาไปแล้ว ก่อนที่คนน้องจะเสริมว่า

"วิตาลี่ ซื้อโค้กมาให้ผมขวดนึง... มันอาจจะเป็นแค่ โคคา โคล่า 1 ขวด แต่คนที่โซเวียตนั้นเคยได้ยินแต่ชื่อ แต่ไม่มีใครเคยลองชิมหรอก ดังนั้นผมจึงบอกได้เลยว่าผมมีความสุขสุดๆแหละ" วลาดิเมียร์ พูดไปยิ้มไป 

คนที่อเมริกา ใจดีกับพี่น้อง คลิทช์โก้ มากจนพวกเขารู้สึกว่าตัวเองโดนล้างสมองมากเกินไป การมาฝึกมวยที่อเมริกาครั้งนี้ทำให้โลกทัศน์ของพวกเขาเปิดกว้าง พี่น้องคลิทช์โก้ ไม่ได้เกลียดและกลัวอเมริกา แต่พวกเขาคิดตามหลักความเป็นจริงมากขึ้น ทุกประเทศย่อมมีคนดีและคนเลวปะปนกันไป ไม่เว้นแม้แต่อเมริกาและรัสเซีย ไม่มีประเทศไหนที่ดี 100% หรือชั่ว 100% อย่างที่พวกเขาเข้าใจ 

"คนอเมริกันเป็นมิตรมาก ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพวกเขาเป็นมิตรมากกว่าคนรัสเซียอีก (หัวเราะ) อาหารก็อร่อย หาดทรายก็สวย ผมกลับไปเป็นเด็กอีกรอบที่นั่นจริงๆ" จากชายถือปืน AK-47s วิตาลี่ เองก็เพิ่งรู้วัยเด็กที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร  

8

การฝึกครั้งนั้นทำให้ 2 พี่น้องคลิทช์โก้ กลายเป็นคู่ที่สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากต่อวงการมวยโลก เนื่องจากทำสถิติชนะรวดโดยไม่มีแพ้ ไม่มีเสมอมาตลอด พร้อมกับภาพลักษณ์ที่เป็นมวยผิวขาวที่หมัดหนัก รูปร่างสูงใหญ่ทั้งคู่ โดยเฉพาะผู้พี่ วิตาลี ที่มีส่วนสูงถึง 6 ฟุต 7 นิ้ว (201 เซนติเมตร) และทำสถิติชนะน็อกรวดมาตลอดถึง 24 ครั้งด้วยกัน ก่อนที่จะขึ้นแชม์โลกเป็นครั้งแรกในสถาบัน องค์กรมวยโลก (WBO) ด้วยการเอาชนะน็อก เฮอร์บี ไฮด์ นักมวยชาวอังกฤษ ได้ถึงถิ่นของแชมป์โลก ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในยกที่ 2 เท่านั้นเอง ในปี ค.ศ. 1999

นอกจากเรื่องการเปิดโลกใหม่แล้ว พี่น้องคลิทช์โก้ ยังได้วิชาและมุมมองใหม่ในชีวิตอีกมากโข วิตาลี่ กลายเป็นนักมวยอันดับ 1 ของประเทศยูเครน (หลังแยกตัวจาก โซเวียต ในปี 1991) ขณะที่ วลาดิเมียร์ นั้นแม้จะไม่ประสบความสำเร็จเท่า แต่ก็เป็นนักชกแถวหน้าของรุ่นเฮฟวี่เวทในวงการมวยโลกเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใดพวกเขาทั้งคู่อยากจะให้ประสบการณ์ที่ได้มาจากการไปเห็น อเมริกา ถึงพี่น้องชาวยูเครนและหลายประเทศที่เคยอยู่ภายใต้ชื่อ โซเวียต ว่าอย่าเพิ่งเชื่ออะไรเต็ม 100% หากยังไม่เคยได้สัมผัสสิ่งนั้นๆด้วยตนเอง 

"ตอนเรากลับไปยังโซเวียต มีแต่คนถามว่าอเมริกาเป็นยังไงบ้าง เพราะอะไรรู้ไหม? สำหรับพวกเขา การขึ้นไปบนดวงจันทร์พร้อมกับยานอวกาศยังง่ายกว่าอเมริกาเสียอีก ผมอธิบายให้พวกเขารู้ทั้งหมดจากสิ่งที่ผมเห็นและสัมผัสมาเอง และดูเหมือนว่าพวกเขาจะชอบใจไม่น้อยเลยทีเดียว" วลาดิเมียร์ คลิทช์โก้ เล่าถึงความหลัง

9

ทั้ง วิตาลี่ และ วลาดิเมียร์ ทำให้พ่อของเขาภาคภูมิใจ ทว่าน่าเสียดายที่ผู้พันคลิทช์โก้ นั้นร่างกายทรุดโทรมลงไวมาก และด้วยวัยเพียง 64 ปี ร่างกายเขาก็อ่อนแอลงจนน่าตกใจและตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งได้มาจากการเข้าไปเป็นทีมเก็บกวาดใน เชอร์โนบิล เป็นทีมแรกในช่วงปี 1986 ... เรื่องนี้ทำให้ วิตาลี่ และ วลาดิเมียร์ อยากจะเป็นยิ่งกว่านักมวย พวกเขาอยากจะมีอำนาจมากพอที่เป็นกระบอกเสียงของชาวยูเครนให้มากกว่าที่เป็น เขาสัมผัสชีวิตมาทั้ง 2 แบบ ไม่ว่าเชอร์โนบิลจะเกิดขึ้นจากใคร แต่ที่รู้ๆคือชาวยูเครน และ อเมริกา ต่างไม่ได้แย่อย่างที่แต่ละฝั่งมองกันมาตลอด 

วิตาลี จึงตั้งใจศึกษาต่อจนจบปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยเคียฟ จนได้รับฉายาว่า "Dr.Ironfist" (คุณหมอหมัดเหล็ก) ก่อนที่จะทำงานเพื่อการกุศลหลายที่ทั้ง อเมริกา, แอฟริกา, และอเมริกาใต้ ให้กับ องค์กรยูเนสโก จนกระทั่งเข้ามาเล่นการเมืองและกลายเป็นรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของ ยูเครน ในช่วงปี 2013 ส่วน วลาดิเมียร์ นั้นก็เรียนจนจบปริญญาเอกในสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา และได้รับฉายาว่า  “Dr. Steelhammer” (ด็อคเตอร์ค้อนเหล็ก) นอกจากนี้ยังเคยประมูลเหรียญทองโอลิมปิกของเขาที่ได้ในปี 1996 ที่แอตแลนต้า เป็นราคาถึง 1 ล้านเหรียญ และมอบเงินทั้งหมดให้กับองค์กรช่วยเหลือเด็กๆในยูเครนอีกด้วย 

10

"ยูเครน เป็นประเทศที่มีศักยภาพมาก เราเป็นประเทศที่ยอดเยี่ยมใหญ่เป็นอันดับ 2 ในยุโรป มีประชากรกว่า 50 ล้านคน มันน่าเจ็บปวดที่ทุกครั้งที่มีคนพูดถึง ยูเครน พวกเขาจะรู้จักเราในฐานะประเทศที่เสียหายมากที่สุดและทุจริตคอรัปชั่นมากที่สุดในโลก... ผมเชื่อว่าเราทั้ง 2 คนสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างได้นะ ผมอยากให้คนยูเครนมีคุณภาพชีวิตเหมือนกับคนอเมริกาและประเทศอื่นๆในยุโรปตะวันตก แต่อย่างแรกเลยเราต้องจัดการภายในให้ได้เสียก่อน" รัฐมนตรี วิตาลี่ ให้สัมภาษณ์เอาไว้เมื่อปี 2011 

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ

อัลบั้มภาพ 10 ภาพ ของ "คลิทช์โก้ บราเธอร์ส" : พี่น้องแชมป์เฮฟวี่เวทชาวยูเครนที่คิดว่าอเมริกาเป็น "ดิสนี่ย์เเลนด์"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook