เล่าผ่านแฟนพันธุ์แท้ NBA : สตาร์แม่นห่วงกับชีวิตที่ไม่สิ้นสุดแค่ในสนาม

เล่าผ่านแฟนพันธุ์แท้ NBA : สตาร์แม่นห่วงกับชีวิตที่ไม่สิ้นสุดแค่ในสนาม

เล่าผ่านแฟนพันธุ์แท้ NBA : สตาร์แม่นห่วงกับชีวิตที่ไม่สิ้นสุดแค่ในสนาม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สำหรับวงการบาสเกตบอลนั้น เป็นที่ยอมรับกันโดยดุษฎีว่า NBA ของประเทศสหรัฐอเมริกา คือลีกบาสเกตบอลอาชีพที่ดีที่สุดของโลก จึงไม่แปลกที่ความใฝ่ฝันของนักแม่นห่วงแทบทุกคนจะเป็นการ "ได้เล่น NBA สักครั้งในชีวิต" และทำให้พวกเขาพยายามงัดฟอร์มสุดฝีมือเพื่อไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้

แน่นอน นักบาสเกตบอลที่เล่นในลีกนี้ ต้องเก่งกาจ เปี่ยมด้วยทักษะ มีทั้งพรสวรรค์และพรแสวง ถึงจะอยู่รอดในลีกอันโหดหินนี้ได้ แต่หากจะบอกว่าผู้เล่น NBA นั้นเล่นบาสเก่งอย่างเดียว ก็คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะว่าหลายต่อหลายคนนั้นมีความสามารถนอกสนามอันเหลือเชื่อมากมาย

 

ว่าแต่เรื่องราวนอกสนามของพวกเขานั้นเป็นอย่างไร และสามารถต่อยอดความสามารถนั้นไปได้ไกลสักเพียงไหน? นี่คือตัวอย่างบางส่วนที่จะทำให้คุณเห็นว่า ความเป็นอัจฉริยะของสตาร์ NBA ไม่ได้สิ้นสุดแค่สนามเท่านั้น

เล่นบาสฯ เพื่องานที่รัก

เริ่มกันที่ แดน ดิคเคา ผู้เล่นตําแหน่งการ์ดจอมพเนจรที่เคยเล่นใน NBA มาถึง 7 ทีม แต่ช่วงเวลาที่แฟนบาสคุ้นเคย น่าจะเป็นตอนโชว์ฟอร์มเด่นให้กับ นิว ออร์ลีนส์ ฮอร์เน็ตส์ (เพลิแกนส์ ในปัจจุบัน) กับผลงานเฉลี่ย 13.2 แต้มกับอีก 5.2 แอสซิสต์ ซึ่งหลายคนคงไม่เชื่อว่า เจ้าตัวมีอีกมุมซ่อนอนู่ในตัว กับความเป็นนักศิลปะที่มีมาตั้งแต่สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยกอนซากาแล้ว 

 1

ในเวลาว่างหลังจากที่ไม่ได้มีการซ้อมบาสเกตบอล สิ่งที่เขาทําคือ การจดจ่ออยู่กับแฟชั่น และความฝันของเขาที่เคยบอกไว้คือ “อยากเปิดร้านทําผม” ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านทรงผมของเจ้าตัวที่จงใจทำให้มันดูหยิกๆ หยอยๆ แต่เท่

แม้ความสามารถทางกีฬาที่เขามีจะโดดเด่นไม่แพ้เรื่องศิลปะ จนถูกดราฟท์เข้ามาอยู่ใน NBA เมื่อปี 2002 เขาก็ยังไม่ทิ้งความฝันในการเปิดร้านตัดผมแต่อย่างใด เพราะทุกๆ ครั้งที่ไปแข่งไม่ว่าที่ไหน เจ้าตัวมักจะหาเวลาไปดูทําเล หรือศึกษาทุกอย่างเกี่ยวกับศาสตร์ด้านนี้ และเมื่อเขาเลิกเล่นบาสเกตบอลในปี 2010 เจ้าตัวก็เก็บสะสมเงินได้หลายล้านดอลลาร์ และสานฝันตัวเอง
ด้วยการซื้อแฟรนไชส์ร้านทำผมชื่อ The Barbers ที่สำคัญคือ เจ้าตัวยอมรับแบบติดตลกด้วยว่า หากไม่ได้เล่นใน NBA ดูท่าการหาเงินทุนมาทำฝันนี้คงเป็นไปได้ยากยิ่ง

 2

“ร้านตัดผมของผม ผมใส่งานศิลปะต่างๆ ลงไปด้วย อย่างแกลลอรี่ ภาพบุคคลต่างๆ และมันไปได้ดีมาก จนผมตั้งใจที่จะเปิดร้านเพิ่ม ทําให้ผมไปเรียนทางธุรกิจเพิ่มเติม ในร้านของผมมีโซดากับข้าวโพดคั่วฟรีให้กับคนที่มาใช้บริการด้วยนะ” แดนกล่าวถึงร้านตัดผมในฝันของตนเอง ซึ่งในตอนนี้ เจ้าตัวก็มีร้านตัดผมถึง 2 สาขา ที่เมืองสโปเคน รัฐวอชิงตัน อันเป็นที่ตั้งของ ม.กอนซากา นั่นเอง

พบฝันที่ NBA

ข้ามมาที่ วินนี่ จอห์นสัน อดีตผู้เล่นของ ดีทรอยท์ พิสตันส์ ในยุค “แบดบอยส์” ที่เคยคว้าแชมป์ NBA 2 สมัย ร่วมกับสตาร์ดังอย่าง ไอเซย์ โทมัส และ เดนนิส ร๊อดแมน ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่รักในการทําธุรกิจ แต่เจ้าตัวบอกว่า เพิ่งมาค้นพบความฝันของตนเองก็ตอนที่เล่นใน NBA นี่แหละ

 3

เนื่องจากเมืองดีทรอยท์เป็นเมืองอุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดใหญ่ จนได้รับการขนานนามว่า “Motor City” และมีทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น ชิ้นส่วนรถยนต์ขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ รวมถึงโรงงานประกอบรถยนต์ นั่นทําให้วินนี่เกิดไอเดีย และอยากที่จะสานฝันตัวเอง ในช่วงที่เล่นให้กับพิสตันส์ เขาจึงไปทำความรู้จักผู้ประกอบการ และนักธุรกิจต่างๆ จนเกิดไอเดียที่กระตุ้นความฝันของเขามากมาย ซึ่งเจ้าตัวเผยว่า “ผมต้องการที่จะอยู่ในโลกของธุรกิจ และแน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่เล็กๆ แต่เป็นระดับโลก” 

เมื่อเลิกเล่นบาสเกตบอลในปี 1992 วินนี่ จอห์นสัน ได้สานฝันตัวเอง โดยเริ่มทําโรงงานวัสดุบรรจุภัณฑ์สําหรับอุปกรณ์รถยนต์ส่งให้กับบริษัทรถยนต์ในเมืองดีทรอยท์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ จีเอ็ม หรือ เจเนอรัล มอเตอร์ส ที่โด่งดัง ก่อนที่ลูกค้ารายอื่นๆ จะตามมาไม่ว่าจะเป็น โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน กิจการของเขาขยายใหญ่ไปอย่างมากในนาม “พิสตัน กรุ๊ป” และแน่นอน เขาคือ CEO ของบริษัท ซึ่งเจ้าตัวเผยว่า “ในโลกบาสเกตบอลกับธุรกิจมันเหมือนกันคือ เราต้องมุ่งมั่น เรียนรู้และพยายาม” ทำให้วินนี่ยอมเทคคอร์สความรู้ทางด้านการเงิน เพื่อความมุ่งมั่นที่เขาเคยบอกว่า จะต้องก้าวสู่ระดับโลกให้ได้ 

 4

ปัจจุบัน พิสตัน กรุ๊ป ของเขานั้นมีโรงงานกว่า 15 แห่งในอเมริกาเหนือ และยอดขายรวมทั้งหมดกว่า 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจอห์นสันจะปลื้มแค่ไหน “ผมเปลี่ยนตัวเอง ผมรู้ว่าผมอยากทําอะไร และผมจะต้องทํามันอย่างไร พิสตันส์ กรุ๊ป ของเรามาถึงจุดนี้ได้เพราะโอกาส เราได้รับโอกาสที่ดีและเราก็ยินดีที่จะรับมัน”

พลิกปัญหาเป็นโอกาส

อีกหนึ่งยอดนักบาสในยุค 90 ตอนปลายที่เป็นเซนเตอร์ระดับแนวหน้า ไบรอัน รีฟส์ หรือ บิ๊ก คันทรี่ จากทีม แวนคูเวอร์ กริซลี่ย์ส (ปัจจุบันทีมย้ายไปอยู่เมืองเมมฟิสแล้ว) ซึ่งบอกว่าเขานั้นมี 2 อย่างที่ชอบคือบาสเกตบอล และการอยู่กับไร่นา 

“ผมเชื่อว่าถ้าผมไม่ได้เล่นใน NBA ผมจะเป็นเจ้าของฟาร์มสักที่ใดที่หนึ่งแน่ๆ การได้อยู่กับธรรมชาตินั่นคือสิ่งที่ผมฝัน” 

ชีวิตใน NBA ของรีฟส์กับแวนคูเวอร์นั้นแสนสั้นเพียงแค่ 6 ฤดูกาลเท่านั้น เนื่องจากอาการบาดเจ็บบริเวณหลังที่รบกวนตลอดเวลา ซึ่งถ้าเป็นผู้เล่นคนอื่น อาจจะพยายามรักษาตัวเองเพื่อกลับมาในเวที NBA อีก แต่ไม่ใช่สำหรับเขา ...

 5

รีฟส์มีเงินรายได้จาก NBA รวมกว่า 55 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเขาเจียดเงินส่วนนึงไปซื้อฟาร์มเนื้อที่กว่า 300 เอเคอร์ในรัฐโอคลาโฮมา เพื่อทําฟาร์มปศุสัตว์เต็มรูปแบบ รวมถึงยังสร้างบ้านที่ไร่ของเขาที่มีเนื้อที่กว่า 15,000 ตารางฟุตและมีสนามบาสไว้สําหรับเล่นสนุกๆ กับครอบครัว

“ผมเคยบอกไว้ก่อนเข้าเล่น NBA ว่า ถ้าผมไม่ได้อยู่ที่นี่ ผมจะเริ่มทํางานที่โรงงานสักที่ที่เกี่ยวกับปศุสัตว์ หรือฟาร์มต่างๆ และจะหัดเลี้ยงวัว แต่แน่นอนว่าทางลัดสู่ความต้องการของผม NBA นั้นให้รายได้ที่มากผมจึงเลือกที่จะทํามันก่อน” แน่นอนว่าไบรอันนั้นสามารถทําได้ในช่วงหลังๆ ที่เขาทํากิจการของเขาอยู่ตัวแล้ว สื่อที่มาเยี่ยมจะถูกพาไปชมไร่ของเขาพร้อมกับนั่งรถกระบะไปชมความงามธรรมชาติในไร่เสมอ 

 6

“เมื่อผมเลิกเล่นบาส ผมไม่ได้จับลูกบาสอีกเลย ผมห่างมันไปพักใหญ่ๆ หันมาเติมเติมตัวเองและความฝัน แต่เมื่อเวลามันผ่านไปผมแน่ใจว่าผมกับบาสเกตบอลห่างกันไม่ได้ ผมจึงมีสนามบาสในไร่ของผมด้วย” 

ซึ่งถ้าไม่ได้เล่นใน NBA เราแน่ใจได้เลยว่ารีฟส์ต้องเป็นเกษตรกรชั้นเยี่ยม และมีไอเดียในการทําไร่ทําฟาร์มอย่างมากมายแน่นอน แต่เห็นได้ชัดว่า เขาสามารถทำได้ทั้งคู่เลย

มีเงินต้องทำงาน

ไบรอัน รีฟส์ ไม่ได้เป็นคนเดียวที่ไม่ชอบแสงสี และรักในธรรมชาติความเป็นลูกทุ่งของอเมริกา คาร์ล มาโลน อดีตฟอร์เวิร์ดคนดังของ ยูทาห์ แจ๊ซ คู่หูของ จอห์น สต็อคตัน ก็เป็นอีกหนึ่งคน ซึ่งเจ้าตัวเคยบอกไว้ว่า “ถ้าผมไม่ได้เล่น NBA หรือไม่มีทีมไหนจ้างนะเหรอ ผมจะมาเป็นคนขับรถบรรทุก หรือทําธุรกิจเกี่ยวกับรถบรรทุกแน่” 

 7

เจ้าของฉายา “Mail Man” มีความหลงใหลในรถบรรทุกถึงขั้นเคยที่จะรับจ้างขับรถเมื่อนานมาแล้ว มาโลนเป็นทั้งนักมวยปลํ้า นักเพาะกาย แม้แต่ไกด์สอนการล่าสัตว์ แต่เขาบอกว่า การที่ได้อยู่กับรถบรรทุกนั้นคือความฝันตั้งแต่ตอนเรียน จนเมื่อรีไทร์ออกจาก NBA แทนที่จะไปใช้ชีวิตสบายๆ ตามที่คนอื่นๆ ใช้กัน มาโลนกลับเลือกที่จะมาจับธุรกิจรถบรรทุก จนพี่ชายบอกว่า “ถ้าฉันเป็นนายนะคาร์ล จะนอนใช้เงินสบายๆ ทั้งชาติแล้ว”

ด้วยความใฝ่ฝันนี้เอง ทำให้เวลาที่ว่างจากการซ้อมหรือแข่ง มาโลนมักจะไปหา แลรี่ มิลเลอร์ เจ้าของทีม ยูทาห์ แจ๊ซ ซึ่งควบเป็นเจ้าของบริษัทจําหน่ายรถยนต์ถึงรูปแบบและวิธีการทําธุรกิจ หลังจากนั้นจึงเลือกที่จะซื้อที่ไร่ประมาณ 230 เอเคอร์ และรถบรรทุกจํานวนหนึ่ง ก่อตั้งบริษัท และซื้อรถบรรทุกเพื่อมารับจ้างขนไม้ รวมถึงยังทําผลิตภัณฑ์จากไม้ไปขายในร้านค้าปลีกต่างๆ มากมาย ที่สุดยิ่งกว่าคือ หลายครั้งเขาเลือกที่จะขึ้นนั่งหลังพวงมาลัยเองอีกด้วย

 8

กิจการของมาโลนเติบโตจนเป็นธุรกิจครบวงจรเกี่ยวกับรถบรรทุก ทั้งขนส่ง ขาย อุปกรณ์ ตัวแทนจําหน่ายรถ แถมยังมีร้านขายเนื้อ เพราะเขาชอบล่าสัตว์ รวมถึงธุรกิจอื่นๆ อีกมากมายด้วย ซึ่งเจ้าตัวให้เหตุผลว่า มันคือความฝันของเขา เพราะแม้จะมีเงินมากมายจากการเล่นบาสเกตบอล แต่เขาไม่ชอบชีวิตที่สบายๆ แบบที่พี่ชายเขาเคยแนะ 

“พี่ชายของผมเคยบอกว่า ถ้ามีเงินแบบผมมากๆ เขาจะไม่ทําอะไรเลย แต่คุณจะยากจนถ้าคุณทําแบบนั้น คุณต้องหาทางให้เงินของคุณทํางานให้ คุณเอามันไปส่ในธนาคารไม่ได้”

ได้ฝันไม่ทิ้งอีกฝัน

ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ความฝันของพวกเขาอาจจะมุ่งไปทางธุรกิจเสียมากกว่า แต่ไม่ใช่กับ ดาร์โก มิลิซิซ อดีตแชมป์ NBA กับ ดีทรอยท์ พิสตันส ดราฟอันดับที่ 2 ปี 2003 รุ่นเดียวกับ เลบรอน เจมส์ 

เจ้าของความสูง 7 ฟุต หนักถึง 275 ปอนด์ ชอบการเล่นกีฬาตั้งแต่เด็ก เขาเล่นทั้งฟุตบอล ศิลปะป้องกันตัว และบาสเกตบอล แต่สุดท้ายด้วยรูปร่างจึงได้เป็นนักบาสเกตบอล และก็สามารถเล่นอาชีพทั้งในยุโรป รวมถึงเข้าดราฟท์ใน NBA ได้อีกด้วย

 9

มิลิซิซเคยบอกว่า “ถ้าไม่ได้เป็นนักบาสเกตบอล เขาคงจะไปเป็นนักฟุตบอล หรือเล่นศิลปะป้องกันตัว แต่ถ้าไม่ได้ทั้ง 2 อย่าง ก็อยากที่จะไปใช้ชีวิตในฟาร์ม ทําไรปลูกแอปเปิ้ล” ซึ่งแม้เจ้าตัวทำฝันหนึ่งให้เป็นจริงแล้ว เจ้าตัวก็ไม่คิดที่จะทิ้งอีกฝัน

การได้แชมป์กับพิสตันส์ และได้เล่นใน NBA ถือว่าทําตามความฝันขั้นนึงแล้ว และเมื่อได้รีไทร์จาก NBA ไป มิลิซิซจึงไปเอาดีและฝึกฝนศิลปะการป้องกันตัว “คิกบ็อกซิ่ง” อย่างมุ่งมั่น “ผมต้องลงแข่งและผมจะเอาดีทางด้านนี้ให้ได้ และเมื่อชนะเงินรางวัลผมก็จะบริจาคช่วยการกุศลด้วย” 

 10

แม้ว่าการเริ่มต้นในสังเวียนคิกบ็อกซิ่งครั้งแรกของเขานั้นจะแพ้ แถมยังเลือดตกยางออกก็ตาม แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจ และยังเชื่อว่าตนเองนั้นมีดีรวมถึงยังสามารถเอาดีทางด้านนี้ได้ไม่ยาก ซึ่งหลังจากนั้นมิลิซิซก็ได้มีการฝึกซ้อมเพิ่มเติม ทว่าในเวลาต่อมา เจ้าตัวก็ตัดสินใจเลิกชก ส่วนปัจจุบันน่ะเหรอ? ก็ไปทำฟาร์มอย่างที่ฝันอีกอย่างนั่นแหละ

อัจฉริยะนอกสนาม

ถ้าบอกว่ามิลิซิซนั้นแหวกแนวไป? คริส ดัดลีย์ อดีตเซนเตอร์ของ นิวยอร์ก นิกส์, คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส และ นิวเจอร์ซี่ย์ เน็ตส์ (ปัจจุบันอยู่ที่เมือง บรูคลิน) คงเรียกได้ว่า ฉีกกรอบ เลยทีเดียว

แม้จะมีสถิติยิงลูกโทษห่วยแตกที่สุดคนนึงในประวัติศาสตร์ NBA โดยยิงได้เพียง 45.8% แต่ดัดลีย์นั้นถือว่าเป็นเด็กเรียนที่เรียนได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ เขาจบจากมหาวิทยาลัยเยล ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ผลิตนักศึกษาหัวกะทิให้กับสหรัฐอเมริกา 

 11

หลังจากเล่นใน NBA 17 ฤดูกาล และเลิกเล่นบาสเกตบอลแล้ว เขาได้ใช้ความฉลาดทางด้านการเรียนที่เรียนมา ประกอบอาชีพเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับหลายต่อหลายแห่ง รวมถึงเป็นรองประธานบริษัท ฟิลกรี แอดไวเซอร์ ที่ดูแลความมั่นคงทางด้านการเงินให้กับบุคคลสําคัญหลายต่อหลายคน

“ผมชอบทั้งบาสเกตบอลและการเรียนหนังสือ ผมชอบหาความรู้ทางด้านการเงิน การเมืองการปกครอง สิ่งพวกนี้มันมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันนะ มันขึ้นอยู่กับบทบาทของคุณในขณะนั้น ถ้าผมไม่ได้เล่นบาสเกตบอล ผมก็น่าจะเป็นนักการเมืองที่ดีได้” 

และแน่นอนว่าหลังจากที่เขาเลิกเล่นบาสเกตบอล และถอยจากการเป็นที่ปรึกษา คริส ดัดลีย์ ก็ได้ฐานเสียงในท้องถิ่นมากพอสำหรับการลงสมัครเลือกตั้งชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐโอเรกอนในปี 2010 โดยเป็นตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน ชนกับ จอห์น คิตชเบอร์ จากพรรคเดโมแครต ซึ่งดัดลีย์นั้นแพ้ไปไม่ขาดเพียง 49.3% - 47.8% 

 12

ซึ่งแม้จะผิดหวังกับสนามการเมือง แต่ดัดลีย์นั้นก็ไม่ท้อ เขายังคงช่วยเหลือสังคม และได้เปิดมูลนิธิ คริส ดัดลีย์ เพื่อช่วยเหลือชุมชนกับเด็กในรัฐโอเรกอนด้วย “ผมไม่เสียใจที่แพ้นะ มันเป็นความฝันของผมที่ได้ลงมือทําไปแล้ว ผมยังมีงานของผมต่อนั่นคือ การช่วยเหลือชุมชน”

นักกีฬา-การเมือง

แม้ว่าดัดลีย์จะไม่ได้เป็นผู้ว่าการรัฐโอเรกอน แต่ เควิน จอห์นสัน อดีตโคตรการ์ดคู่หู ชาร์ลส์ บาร์คลีย์ ที่พาทีม ฟีนิกซ์ ซันส์ เข้าชิงชนะเลิศ NBA ในปี 1993 สามารถทําได้บนเส้นทางการเมือง

เมื่อครั้งเป็นนักบาสเกตบอล เควิน จอห์นสัน เป็นคนที่มีวาทศิลป์เป็นเลิศ รวมถึงเป็นคนที่ใฝ่รู้ และกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมในตอนเล่นบาสได้อย่างดี ซึ่งหลังจากเลิกเล่น เขาก็เดินหน้าต่อสู่ความใฝ่ฝันที่อยากที่จะเป็นมาตลอดชีวิต ซึ่งเควินเคยบอกกับบาร์คลีย์ตั้งแต่ตอนเล่นบาสเกตบอลว่า “คุณรู้ไหมถ้าไม่ได้เล่นใน NBA แล้วเมื่อไหร่ ผมจะพยายามเล่นการเมืองให้ได้” 

 13

เควินนั้นฉลาดมากในการปูหนทางไปสู่สิ่งที่ตัวเองคิดมาตลอด โดยหลังจากเลิกเล่น เขาได้ก่อตั้งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขึ้น และได้ใช้วาทศิลป์ที่มีไปพูดกระตุ้นให้แรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ ในชุมชนเมืองและเด็กด้อยโอกาส รวมถึงนํากําไรจากบริษัทและเงินของตัวเองมาซื้ออุปกรณ์ทางการกีฬา และพัฒนาชุมชน สิ่งเหล่านี้ทําให้ได้ใจชาวเมืองซาคราเมนโตมาก และเขาก็ทําทุกอย่างด้วยจิตใจที่อยากจะช่วยเหลือชุมชนอย่างแท้จริง

ปี 2008 เควิน จอห์นสัน ได้ลงสมัครเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองซาคราเมนโตและได้รับชัยชนะ เขาดํารงตําแหน่งนายกเทศมนตรีเมือง 2 สมัย ตั้งแต่ปี 2008-2016 และยังถือเป็นเป็นนายกเทศมนตรีชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกของเมืองซาคราเมนโตอีกด้วย ซึ่งนอกจากจะช่วยเหลือด้านสังคมและการศึกษาแก่ชุมชนแล้ว เควินยังสนับสนุน และเทงบประมาณมาเพื่อการกีฬาอย่างมาก โดยเฉพาะบาสเกตบอลกีฬาที่เขารักและอยู่ในสายเลือด

 14

นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของคําตอบที่ว่า ถ้าผู้เล่นเหล่านี้ไม่ได้เป็นนักบาสเกตบอล NBA ชีวิตของเขาจะไปในทางไหน ซึ่งคําตอบนั้นมีหลากหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นทางธุรกิจ ในภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจยานยนต์ เกษตรกรรม หรือแม้แต่นักสู้ และยังไปถึงสายการเมือง แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ๆ นั่นคือ การที่พวกเขาเหล่านั้นมีความฝัน และประสบความสำเร็จไม่ได้เกิดจากโชคช่วย แต่เกิดจากความพยายามที่จะเป็น ความพยายามที่จะประสบความสําเร็จ 

ก็เหมือนที่ ไมเคิล จอร์แดน นักธุรกิจพันล้าน มหาเศรษฐีอันดับที่ 1 ในวงการกีฬาได้กล่าวไว้ว่า “You have competition every day because you set such high standards for yourself that you have to go out every day and live up to that.” หรือ คุณต้องพบกับการแข่งขันทุกวัน และการแข่งขันนั้นคือการเอาชนะเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ นั่นล่ะครับ

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ ของ เล่าผ่านแฟนพันธุ์แท้ NBA : สตาร์แม่นห่วงกับชีวิตที่ไม่สิ้นสุดแค่ในสนาม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook