เล่าผ่านแฟนพันธุ์แท้ NBA : "ดเวย์น เหวด".. ชายผู้บันดาลทุกสิ่งด้วย "ความฝัน"

เล่าผ่านแฟนพันธุ์แท้ NBA : "ดเวย์น เหวด".. ชายผู้บันดาลทุกสิ่งด้วย "ความฝัน"

เล่าผ่านแฟนพันธุ์แท้ NBA : "ดเวย์น เหวด".. ชายผู้บันดาลทุกสิ่งด้วย "ความฝัน"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตลอดฤดูกาลปกติของ NBA ฤดูกาล 2018-19 ที่เพิ่งจะผ่านพ้นไป มีสิ่งหนึ่งที่ถูกพูดถึงอยู่ไม่น้อยในหมู่แฟนบาสเกตบอล นั่นคือ “ดเวย์น เหวด ทัวร์”

เพราะฤดูกาลดังกล่าว คือฤดูกาลสุดท้ายที่เจ้าของเสื้อเบอร์ 3 แห่ง ไมอามี่ ฮีต จะลงเล่น และด้วยการที่เจ้าตัวประกาศถึงการตัดสินใจที่จะรีไทร์ให้ทราบล่วงหน้า ทุกนัดที่เจ้าตัวลงสนาม จึงเปรียบเสมือนการทัวร์อำลาไปโดยปริยาย รวมถึงเจ้าตัวยังเดินสายแลกเสื้อกับดาวดังของทุกทีมที่เป็นคู่แข่งเก็บไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย

 

16 ปีบนเส้นทางแห่งความฝัน กับ 3 แชมป์ NBA ถือได้ว่าผู้ชายคนนี้ผ่านสิ่งต่างๆ และยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านของลีกบาสเกตบอลที่ดีที่สุดในโลกมามากเหลือเกิน และนี่คือเรื่องราวของ “ดี-เหวด” นักบาสที่แฟนๆ รัก แม้จะเป็นแฟนทีมคู่แข่งก็ตาม

วัยเด็กอันไม่สมบูรณ์

ใครกันจะคิดว่า แค่เพียงการไปแจ้งเกิดของคุณแม่และคุณยาย จะทำให้ชีวิตของเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายมหาศาล ...

 1

ย้อนกลับไปที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์เมื่อปี 1982 โจลินดา เหวด เดินทางไปแจ้งเกิดลูกชายที่เพิ่งคลอดหมาดๆ กับนายทะเบียนที่รัฐ โดยตั้งชื่อแก้วตาดวงใจคนนี้ว่า “ดเวย์น” (Dwayne) ทว่าคุณยายที่มาด้วยกัน กลับสะกดชื่อตัว y และ a สลับกัน เป็น Dwyane ซึ่งก็คือ สะกดผิด ... กว่าจะรู้ว่าพลาดก็หลังจากกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ทั้งคุณยายและคุณแม่เขาต่างก็เห็นพ้องตรงกันว่า ไม่ต้องไปเปลี่ยน ให้ใช้ชื่อเขียนแบบนี้แหละ

จะว่าไปแล้ว ครอบครัวของ ดเวย์น เหวด นั้นก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ทั้งพ่อ ดเวย์น ซีเนียร์ และ โจลินดา ผู้เป็นแม่หย่าขาดกันตั้งแต่เขาอายุได้เพียง 4 เดือนเท่านั้น แถมคุณแม่ของเขาก็ยังพัวพันกับเรื่องยาเสพติด มันทำให้ในวัยเด็กของเหวดนั้นวนเวียนอยู่กับสถานีตำรวจ, ปืน และสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีสักเท่าไร และนั่นทำให้ ทราจิล พี่สาว หอบ ดเวย์น หนีจากแม่เพื่อไปให้พ่อเลี้ยงดู

เมื่อเติบโตขึ้น พ่อของเขาและแม่เลี้ยงไม่อยากให้ลูกชายมีชีวิตที่ไม่ดีในสังคมแบบนั้น จึงพาเหวดออกมาสู่อีกสังคมหนึ่งที่ไม่มียาเสพติด ไม่ต้องโดนตำรวจค้น และเป็นสังคมที่ดีกว่าเดิม “ผมจำได้ในวัยเด็กคุณพ่อผมอยากให้ผมมีชีวิตที่ดี จึงพยายามผลักดันผมให้เล่นกีฬาเพราะเชื่อว่ามันจะเป็นคำตอบให้ผมได้” ซึ่งกิจกรรมที่ดเวย์นเหวดซีเนียร์พาลูกชายไปทำคือ “การเล่นบาสเกตบอล” โดยเขาเริ่มฝึกสอนให้ และยังพาไปเล่นตามที่ต่างๆ ตั้งแต่สนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ และพาไปดูการแข่งขันบาสเกตบอล NBA ด้วย

Like Mike

ด้วยความที่อาศัยอยู่ในชิคาโก ดเวย์น เหวด ซีเนียร์ จึงพาเหวดไปดูการแข่งขันของทีมในเมืองนั่นคือ ชิคาโก บูลส์ อยู่เสมอ และที่นั่นทำให้เหวดได้เห็นการเล่นของ ไมเคิล จอร์แดน “มันทำให้ผมคิดเลยว่า ถ้าผมได้ไปเป็นนักบาส NBA แบบเขาละ แล้วถ้าเก่งเหมือนเขาล่ะ มันทำให้ผมคิดและฝันไปต่างๆ นานา” เหวดกล่าวถึงความรู้สึกในการได้เห็นลีลาการเล่นของจอร์แดน และนั่นทำให้เขาเริ่มหัดบาสเกตบอลแบบจริงจัง เพื่อสานฝันให้ตัวเองนั้นไปถึง NBA เหมือนจอร์แดนให้ได้

 2

ในการเข้าเรียนชั่นมัธยมปลายที่ แฮร์โรว์ แอล ริชาร์ดส ไฮสคูล เหวดพิสูจน์ให้ทุกๆ คนเห็นว่า เขาไม่ได้เก่งแค่เฉพาะบาสเกตบอล แต่เขายังมีทักษะในกีฬาอเมริกันฟุตบอลด้วย จนโค้ชนั้นถึงขั้นชมว่าเหวดมีขาและฟุตเวิร์คที่รวดเร็วมากๆ มากจนตัวประกบตามไม่ทัน อย่างไรก็ตามด้วยความที่ตัวของเหวดนั้นไม่ได้เรียนเก่ง ทำให้มีเพียง 3 มหาวิทยาลัยที่เสนอทุนการศึกษาให้กับเขานั่นคือ มหาวิทยาลัย Marquette, Illinois State และ DePaul ซึ่งเป็นสถาบันที่ไม่ใคร่จะมีชื่อเสียงด้านกีฬานัก

แม้ว่าจะไม่ได้เรียนเก่งมากจนมีเพียงแค่ 3 ที่ที่เสนอทุนให้กับเขา แต่เหวดก็ไม่ได้สนใจใดๆ เขายังคงมีความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงฝันให้ได้ อย่างไรก็ตามด้วยความที่เจ้า ตัวนั้นเรียนไม่เอาอ่าวเลย ทำให้ไม่สามารถลงแข่งขันให้กับทีมได้ในช่วงแรก เนื่องจากที่สหรัฐอเมริกา และ NCAA มีกฏกำหนดไว้ว่า กรณีถ้าผู้เล่นนั้นเกรดไม่ถึงตามเกณฑ์ ไม่สามารถที่จะลงทำการแข่งขันให้กับสถาบันที่ตนเองสังกัดได้ โดยจะพิจารณาเป็นเทอมๆไป

 3

เรื่องดังกล่าวทำให้เหวดต้องเร่งทำเกรดให้ดีขึ้น จนในปีถัดมาเหวดก็สามารถที่จะลงเล่นและโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมให้กับมหาวิทยาลัยได้ ที่สุดแล้วเขาตัดสินใจเข้าดราฟท์ในปี 2003 และฝันของเหวดก็เป็นจริง เหวดถูกเข้ารับคัดเลือกเข้าสู่ลีก NBA ในดราฟท์คลาสปี 2003 ตัวเลือกอันดับที่ 5 โดยเขาถูกคัดเลือกให้ไปเล่นกับ ไมอามี่ ฮีต “ฝันของผมเป็นจริงแล้ว มันเป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝันมาตลอด ผมสามารถทำให้ทุกๆ คนรู้ว่าผมสามารถที่จะเข้าเล่น NBA ได้” เหวดกล่าวหลังจากการถูกประกาศดราฟท์ว่าเข้าสู่ทีมไมอามี่ ฮีต ซึ่งนั่นมันทำให้ฝันของเขาเป็นจริง และสร้างความภาคภูมิใจให้กับครอบครัวของเหวดเป็นอย่างมาก

ความสำเร็จที่เกินฝัน

ในปีแรกของการเล่น NBA ดเวย์น เหวด ไม่ได้ถูกจับตามองเท่าไร เมื่อฮีตไม่ได้เป็นทีมที่เจิดจรัสมากนัก รวมถึงการเพ่งเล็งนั้นถูกจับจ้องไปยัง เลบรอน เจมส์ ดราฟท์อันดับที่ 1 ในปีนั้นของ คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส และ คาร์เมโล่ แอนโธนี่ ดราฟท์อันดับที่ 3 ในปีนั้นจาก เดนเวอร์ นักเก็ตส์ มันจึงทำให้เหวดที่แม้ว่าจะทำสถิติส่วนตัวดีแค่ไหน และผลงานทีมดีจนเข้ารอบเพลย์ออฟ ก็ไม่ได้ถูกจับตามองมากกว่าทั้งเลบรอนและเมโล่มากสักเท่าไร แต่ก็ไม่ทำให้ตัวของเขานั้นน้อยใจ เหวดมักบอกเสมอๆ ในทุกๆ ครั้งที่สื่อมาสัมภาษณ์เรื่องนี้ว่า “ผมก็แค่เล่นไปตามเกมส์ของผม เล่นให้เต็มที่ หน้าที่หลักของผม คือช่วยให้ทีมชนะ และได้แชมป์ NBA” นั้นคือสิ่งที่เหวดมักบอกเสมอ

 4

และแชมป์แรกของ ดเวย์น เหวด ที่เคยบอกว่าเขาจะนำมันมาสู่ฮีตก็สามารถทำได้ในปี 2006 และเหวดได้เป็น MVP ในรอบไฟนอลด้วย ด้วยความที่เป็นคนดี ไม่ว่าร้ายเพื่อน และ มีความมุ่งมั่นทุ่มเทมาก นั่นทำให้เพื่อนร่วมทีมของเขา ชาคีล โอนีล เซนเตอร์แห่งยุคนั้นยอมที่ จะลดบทบาทมาเพื่อให้เหวดนั้นเป็นตัวหลักในทีม “ดเวย์นเป็นคนดี และทุ่มเทมาก เขาเป็นเด็ก หนุ่มที่ซื่อสัตย์ต่อความฝันของตนเอง” นั่นคือสิ่งที่แชคบอกกับทุกๆ คน และทำให้แชคนั้นตั้งฉายาให้เหวดเพื่อสร้างจุดขายให้เขาด้วยนั่นคือ “แฟลช” ซึ่งแชคได้บอกอย่างติดตลกว่า “เวลาเขาเคลื่อนไหว เขาเร็วมาก เร็วจนผมไม่สามารถมองเขาเห็นเลย คุณก็มองไม่เห็นเขาใช่ ไหมล่ะ นั่นแหละเป็นที่มาของแฟลช คุณเรียกเขาว่าแฟลชได้เลย”

ความสำเร็จของเหวดนั้นมันเกินกว่าที่เขาฝันไว้เสียอีก เหวดสามารถพาฮีตคว้าแชมป์ได้ ถึง 3 สมัย โดย 2 สมัยหลังเกิดขึ้นในปี 2012 และ 2013 ในยุค “บิ๊กทรี” ซึ่งมี เลบรอน เจมส์ และ คริส บอช เสริมความแข็งแกร่ง อีกสิ่งหนึ่งที่เหวดนั้นต้องการและเคยฝันไว้ตั้งแต่เด็กคือ เล่นให้กับทีมบ้านเกิดนั่นคือ ชิคาโก บูลส์ ซึ่งในปี 2016 เหวดก็สมความฝันอีกครั้ง “มันเหมือนฝันของผมเลย ความฝัน ของผมคือการได้เล่นให้กับทีมในบ้านเกิดของผม ผมตื่นเต้นมาก บอกคุณไว้เลยว่ามันมีความหมายกับผมมากๆ”

 5

อาชีพของเหวดนั้นได้ เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดในปี 2019 เขาเล่นมาให้กับ ไมอามี่ ฮีต / ชิคาโก บูลส์ / คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส จนถึงวันที่เขาตัดสินใจที่จะเลิกเล่นกับฮีต ทั้งๆ ที่ยังสามารถไปต่อได้อีก โดยเหตุผลสั้นๆ ของเขาคือ “ผมพอแล้ว ผมต้องการใช้เวลาที่เหลือกับครอบครัวของผม”

และนั่นทำให้เกิด ปรากฏการณ์ “One Last Dance” ของดเวย์น เหวด ซึ่งในทุกๆสนามของเขานั้นจะมีการแฟร์เวลส่งท้าย และสดุดีเหวดทุกสนาม “ทุกสนามต้อนรับเขา ไม่มีสนามไหนมีเสียงโห่เมื่อดเวย์นไปเยือน” แชคเพื่อนเก่าของเหวดได้กล่าวถึงเหวด และแน่นอนว่าในทุกเกมส์ที่มีการแข่งขันกันเสร็จ เหวดจะมีการแลกเสื้อของตนเองพร้อมกับลายเซ็นให้กับผู้เล่นทีมฝั่งตรงข้าม ถึงกับที่นักบาสหลายคนต้องมาตบตีกันเพื่อที่จะได้เสื้อของเหวด

 7

อย่างในเกมกับ เดนเวอร์ นักเก็ตส์ ไอเซย์ โธมัส การ์ดร่างจิ๋วที่ไม่ได้ลงสนามนั้นต้องการเสื้อของเหวดมากในเกมสุดท้ายนี้ จึงได้มีการแย่งกันกับ จามาล เมอเรย์ เพื่อนร่วมทีม และก็เป็นไอเซย์ที่ไวกว่าได้เสื้อเหวดไปครอง หรือจะเป็นแมทช์กับ ซาคราเมนโต้ คิงส์ ที่เหวดได้ให้เสื้อกับ แฟรงค์ เมสัน ทำให้ บอคดาน บอคดาโนวิช เพื่อนร่วมทีมของเขานั้นพลาดโอกาส จนต้องไปขอรองเท้าของเหวดพร้อมกับขอลายเซ็นบนนั้น “เขาเป็นฮีโร่ของผม ผมเล่นบาสเกตบอล โดยมี ดเวย์น เหวด เป็นต้นแบบเลย” บอคดาโนวิชกล่าวความรู้สึก

บุคคลต้นแบบ

หลายคนบอกว่าเหวดนั้นเลิกเล่นเร็วเกินไป แต่เหวดนั้นให้เหตุผลที่น่ารักคือการให้เวลากับครอบครัว “ผมไม่ได้มาจากครอบครัวที่สมบูรณ์ การให้เวลากับลูกๆ ผม ภรรยาผม มันคือสิ่งที่เติมเต็มผม มันเหมือนความฝันผมอีกอย่างนึง การได้ดูลูกชายของผมเล่นบาสเกตบอล ได้ให้คำแนะนำกับเขา มันคือสิ่งที่ผมต้องการ” เหวดเล่าถึงอีกฝันของเขาคือ อยากที่จะสอนบาสเกตบอลให้กับ แซร์ เหวด ลูกชายคนโตของเขาในวัย 17 ปีที่กำลังไปได้ดีมากๆ ในกีฬาบาสเกตบอล ซึ่งเหวดได้บอกว่าเขาอยากทำให้ลูกรู้สึกเหมือนตอนที่สมัยเขาเป็นเด็กแล้วพ่อของเขา ดเวย์น เหวด ซีเนียร์ ได้มาสอนบาสเกตบอล และพาเขาไปเล่นบาสเกตบอลตามที่ต่างๆ ซึ่งเหวดก็อยากให้แซร์นั้นได้รับรู้ความรู้สึกแบบนี้เช่นกัน

 8

อย่างไรก็ตามความสำเร็จของเหวดมันไม่ใช่แค่ในสนามบาสเกตบอล เหวดถูกโหวตให้ เป็น 1 ใน 50 หนุ่มสาวที่ทรงเสน่ห์มากที่สุดในโลกจาก พีเพิล แมกกาซีน ในปี 2005 ร่วมกับเดวิด เบคแฮม / มาเรีย ชาราโปวา และ ทิม กรีน อดีตดาวดังจาก NFL นอกจากนั้นด้วยบุคลิกที่ยอดเยี่ยมของเหวด ทำให้เขาถูกยกย่องจาก จีคิว แมกกาซีน ว่าเป็นนักกีฬาที่แต่งตัวดีที่สุดในปี 2007 และเขาได้ตำแหน่งนี้ถึง 4 ปีซ้อน ซึ่งเจ้าตัวเผยว่า “ผมเป็นคนที่จะพยายามแต่งตัวให้ดีนะ เพราะมันบ่งบอกถึงภาพลักษณ์ และผมจะได้เป็นแบบอย่างให้กับลูกได้ มันเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็จริงนะ แต่ก็สำคัญมาก รวมถึงรอยสักด้วย ผมเลือกที่จะไม่สักมันลงบนร่างกาย เพราะว่าผมไม่อยากให้ลูกมาสักตาม ผมเลยต้องเป็นต้นแบบที่ดีให้พวกเขาดูก่อน โดยเลือกที่จะไม่สักลงร่างกายผม”

อย่างที่เราทราบว่าชีวิตของ ดเวย์น เหวด นั้นไม่สมบูรณ์แบบนัก การที่เขามีพ่อแม่ที่หย่าร้างกัน อยู่ท่ามกลางสังคมที่ไม่สมบูรณ์ สภาพแวดล้อมที่ไม่ดี นั่นทำให้เหวดตระหนักถึงสิ่งที่เขามีและจะช่วยสังคม นั่นคือสิ่งที่เหวดตั้งปณิธานเอาไว้ตั้งแต่เด็กๆ เหวดได้ก่อตั้งมูลนิธิ “เดอะ เหวด” ขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือสังคม และสนับสนุนการกุศลต่างๆ เพื่อจรรโลงสังคมให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสนับสนุนให้ค่ารักษาพยาบาล หรือจัดกิจกรรมสำหรับเด็กๆ รวมไปถึงมีการทำกิจกรรมสอนบาสเกตบอลให้กับโรงเรียนต่างๆ และยังมอบทุนการศึกษาให้กับเด็กๆ ในชิคาโกบ้านเกิดอีกด้วย

 9

“มันเป็นเพราะผมเคยอยู่จุดนั้นมาก่อน ผมเลยอยากที่จะให้พวกเขาบ้าง” เหวดบอกไว้กับ NBA Cares กับเรื่องของการช่วยเหลือคืนประโยชน์สู่สังคม นอกจากนั้นเขายังคืนประโยชน์สู่ศาสนาคริสต์ที่เขานับถืออีกด้วย โดยทุกๆ 10% ของรายได้ในแต่ละเดือนของ เหวดจะถูกปันไปสู่โบสถ์ และสู่โครงการบำบัดยาเสพติดอีกด้วย เพราะเขาเคยอยู่ในสภาพวังวนในสังคมนั้น เขาจึงไม่อยากให้มีคนไปสู่จุดเดียวกับตัวเขา

แม้ว่าเหวดจะได้ทำตามฝันของตนเองหลายต่อหลายสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าเล่นใน NBA, การช่วยให้ทีมต้นสังกัดคว้าแชมป์, การได้ไปเล่นให้กับทีมในบ้านเกิดของตนเอง รวมถึงการที่ได้ส่งมอบสิ่งดีๆ คืนสู่สังคมในทุกๆด้าน แต่สิ่งที่เหวดนั้นฝันอีกสิ่งก็คือ การได้ร่วมงานกับฮีโร่ของเขา ไมเคิล จอร์แดน ซึ่งเหวดก็ได้รับโอกาสนั้นจากความสามารถและความเป็นตัวตนของเหวดเอง โดยเหวดนั้นได้รับโอกาสจากแบรนด์จอร์แดน ให้มาเป็นพรีเซนเตอร์และร่วมอยู่ในไลน์รองเท้าของแบรนด์ระหว่างปี 2009-2012 และนั่นทำให้เหวดได้ใกล้ชิดกับฮีโร่ของเขา ไมเคิล จอร์แดน

 10

“สิ่งที่ผมปลาบปลื่มมากอีกสิ่งหนึ่งคือ การที่ผมได้เจอกับไอดอลของผม ไมเคิล จอร์แดน ไมค์นั้นบอกกับผมเสมอว่าผมเป็นคนที่พิเศษ เขายังเชื่อว่าผมยังสามารถที่จะเล่นต่อได้อีกสบายๆ ผมกับไมค์มีสายสัมพันธ์ที่ดีมาตลอด ตั้งแต่ผมอยู่ในแบรนด์ของเขา จนผมออกมา และปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้น” เหวดกล่าวถึงฮีโร่ตลอดกาลของเขาไมเคิล จอร์แดน และที่ทำให้เขา ปลาบปลื้มเพิ่มขึ้นไปอีกคือ จอร์แดนก็ได้กล่าวชมเหวดอย่างมากเช่นเดียวกัน “ผมดีใจกับอาชีพของเขามากๆ นะ ที่ประสบความสำเร็จมาก ดเวย์นเป็นผู้ชายที่พิเศษมากๆ ในเกมบาสเกตบอล มันไม่มีใครที่เป็นเหมือนเขาเลย เขายอดเยี่ยมมากๆ ในทุกๆ ด้าน”

 11

แม้ว่าในวันนี้ ดเวย์น เหวด จะประกาศเลิกเล่นด้วยความผิดหวังที่ไม่สามารถพา ไมอามี่ ฮีต เข้าสู่ ในรอบเพลย์ออฟในฤดูกาลได้ แต่ในทุกๆ สนามที่เหวดไปเยือนในปีนี้ในทุกๆ ท้ายเกม ผู้ชม, แฟนๆ ฝั่งตรงข้าม รวมถึงคู่แข่งต่างยืนขึ้นปรบมือกึกก้อง และยกย่องสดุดีถึง ดเวย์น เหวด ชายผู้ที่ทำตามความฝัน

แม้ว่าตัวของเขานั้นในวัยเด็กจะไม่สมบูรณ์ มีสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีสักเท่าไร ครอบครัวไม่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่สิ่งเหล่านี้นั้นไม่สามารถที่จะทำให้เหวดนั้นย่อท้อได้ เพราะสิ่งที่เป็นแรงผลักดันให้เขามาถึงจุดนี้ได้นั้นก็คือ “ความฝัน” นั่นเอง

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ ของ เล่าผ่านแฟนพันธุ์แท้ NBA : "ดเวย์น เหวด".. ชายผู้บันดาลทุกสิ่งด้วย "ความฝัน"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook