"ปาร์ค ซี ฮุน vs รอย โจนส์ จูเนียร์" : การโกงสะท้านโอลิมปิก ที่แม้แต่ผู้ชนะยังยิ้มไม่ออก

เมื่อย้อนกลับไปในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ปี 1988 ในการชิงเหรียญทองมวยสากลสมัครเล่นรุ่นมิดเดิ้ลเวท มันคือศึกแห่งความภูมิใจของเจ้าภาพเมื่อ ปาร์ค ซี ฮุน เดินทางมาถึงรอบนี้และกำลังจะได้ชกกับนักมวยที่ดีที่สุดในรุ่นนั้นอย่าง รอย โจนส์ จูเนียร์ จากสหรัฐอเมริกา… แม้ขึ้นชื่อว่าการแข่งขันแล้วไม่มีมีศึกไหนที่ชนะได้แน่นอน 100% แต่ถ้าลองคะเนด้วยสายตาแล้วทั่วโลกต่างมั่นใจอย่างที่สุดว่า ฝ่ายนักชกที่ดีที่สุดในรุ่น ณ ตอนนั้นคงไม่พลาด
ส่วนผลที่เกิดขึ้นก็อย่างที่โลกรู้กัน สิ้นระฆังหมดยก กรรมการชูแขน ปาร์ค ซี ฮุน ให้เป็นผู้ชนะและคว้าเหรียญทองไปครอง ส่วนเรื่องของการค้านสายตานั้นไม่ต้องสงสัย แม้แต่เจ้าตัวยังหลุดยิ้มออกมาเขินๆ ขณะที่ผู้แพ้อย่าง รอย โจนส์ ก็ทำหน้าตาราวกับเบื่อโลกสุดขีด ... เห็นใดจึงค้านสายตาได้ชัดขนาดนั้น Main Stand จะขอพาคุณย้อนกลับไปในวันนั้น และดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ก่อนชกห่างกันแค่ไหน?
อย่างแรกคุณต้องเข้าใจก่อนว่า ปาร์ค ซี ฮุน นั้นไม่ใช่นักมวยที่ไม่มีน้ำยาอะไรอย่างที่ใครเข้าใจ เขาอาจจะเป็นแค่นักมวยเกาหลีใต้ที่คนไทยส่วนน้อยจะรู้จัก ดังนั้นใครต่อใครก็คิดว่าเขาไม่น่าจะมีทางสู้ รอย โจนส์ จูเนียร์ ได้แน่นอน เพราะชื่อเสียงห่างกันลิบลับ … แต่ว่าก็ว่าเถอะความเชื่อก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้ ซี ฮุน คือนักมวยที่ดีและมีฝีไม้ลายมือแบบไม่อายใครแน่นอนหากคุณได้รู้และเห็นผลงานของเขาก่อนขึ้นไฟต์ประวัติศาสตร์นี้
ยอดมวยจากจังหวัด ยองซังนัม ถือว่าเป็นนักชกฝีมือดีที่สุดของเกาหลีใต้ในเวลานั้น และเป็นความหวังเหรียญทองของเจ้าภาพอย่างแท้จริง ซี ฮุน คว้าแชมเหรียญทองรุ่นไลท์เวท ในศึก Boxing World Cup ในปี 1985 นอกจากนี้ยังคว่ำ เควิน ไบรอันท์ แชมป์จากสหรัฐอเมริกา รวมถึงการเป็นแชมป์ทวีปเอเชียอีก 2 สมัย
ดังนั้นแล้วจึงไม่แปลกอะไรที่ชาวเกาหลีใต้จะคาดหวังกับ ซี ฮุน ไว้มากสำหรับศึกโอลิมปิก ที่จัดแข่งขันในบ้านของพวกเขาเอง ด้วยคุณสมบัติขนาดนี้ ทำให้เส้นทางในโอลิมปิกของเขาถือว่าไม่ได้น่าเซอร์ไพรส์อะไรนักสำหรับการมาถึงรอบชิงเหรียญทองเหรียญนี้
รอบแรกเขาชนะบาย, รอบที่ 2 ชนะ RSC อับดุลลาห์ รามาดาน จาก ซูดาน ตามด้วยการคว่ำ ธอร์สเท่น ชมิดท์ จากเยอรมันตะวันตก, วินเซนโซ่ นาร์ดิเอลโล่ จากอิตาลี จนกระทั่งมาถึงรอบรองชนะเลิศก็เอาชนะมือดีจากแคนาดาอย่าง เรย์ ดาวนี่ย์ ด้วยคะแนนถล่มทลายถึง 5-0 เข้ารอบชิงเหรียญทองได้สำเร็จ
จากที่สิ่งที่กล่าวมาจะเห็นได้ชัยชนะแต่ละครั้งของ ซี ฮุน นั้นถือว่าแทบจะไร้รอยขีดข่วน มีถึง 3 จาก 4 ไฟต์ที่เขาชนะได้สบายๆ แบบไม่ต้องลุ้น แล้วแบบนี้ทำไมเขาจึงถูกมองว่าต้องแพ้ รอย โจนส์ จูเนียร์ แน่นอนในรอบชิงเหรียญทองล่ะ? ทั้งๆ ที่ฝีมือของเจ้าตัวก็ถือว่าไม่ธรรมดา แถมอายุในเวลานั้นก็ 23 ปี จัดว่ากำลังพีคสำหรับนักชก ... แม้จะเก่งกาจไม่เทียบเท่าแต่ก็น่าจะทำให้คู่ชกชาวอเมริกันต้องเหงื่อออกมากกว่าไฟต์ในรอบที่ผ่านๆมาแน่นอน
เหตุผลของการเทคะแนนเสียงเชียร์ทั้งโลกมันก็ไม่ยาก เพราะ โจนส์ ในเวลานั้นคือมวยที่ห้าวสุดขีดจากการขึ้นรุ่นมาใหม่ๆ สดๆ เขาเป็นนักมวยที่เก่งมาตั้งแต่เด็ก และได้เหรียญทองยูธโอลิมปิคของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1984 และถือเป็นนักมวยดาวรุ่งที่ดีที่สุดเท่าที่อเมริกามี การันตีด้วยรางวัล นวมทองคำ (นักมวยยอดเยี่ยม) ประจำปีถึง 2 ปีซ้อนตั้งแต่ปี 1986 และปี 1987 หากยังไม่เห็นภาพให้นึกถึง ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ในยุคนี้ ด้วยสไตล์ที่มีทั้งความเร็วและน้ำหนักของหมัดที่เป็นเลิศ เป็นมวยสายตาดี และป้องกันตัวเก่ง เพียงแต่คอมวยยกเก่ายังยกให้ รอย โจนส์ เหนือกว่าด้วยซ้ำเพราะเขาชอบที่จะชกเอ็นเตอร์เทนคนดู เดินหน้าบุกและมีลีลาที่แพรวพราว
และถ้าจะเห็นภาพให้ชัดกว่านั้นคือในช่วงเวลาหลังจากที่เขาเปลี่ยนเส้นทางมาเป็นนักชกอาชีพ รอย โจนส์ จูเนียร์ เป็นนักมวยที่อาจจะเริ่มจากรุ่นมิดเดิ้ลเวท แต่กล้าทำน้ำหนักไต่ไปถึงระดับเฮฟวี่เวทและไปคว้าแชมป์มาแล้ว ด้วยสถิติดังกล่าวนั้นเขาจึงกลายเป็นนักชกคนแรกที่เคยอยู่ในระดับมิดเดิลไลท์เวทที่สามารถขยับมาคว้าแชมป์ข้ามรุ่นได้ไกลที่สุดในรอบ 106 ปี
นี่คือสิ่งทีเกิดขึ้นก่อนชก คนทั่วไปอาจจะเข้าใจผิดว่า ปาร์ค ซี ฮุน เป็นมวยไม่ได้เรื่อง ความจริงคือเขามีดีเพียงแต่ไม่ดัง ทว่านั่นก็ไม่สำคัญอะไรเมื่อเจอกับเจ้าของฉายา "พริตตี้บอย" คนแรก (ก่อนที่ ฟลอยด์ จะได้รับฉายานี้ตามมาในภายหลัง) และถ้าหากคุณไม่เข้าใจที่มาของฉายานี้ มันได้มาจากการเป็นนักชกที่ไร้รอยขีดข่วน จบไฟต์ด้วยชัยชนะด้วยใบหน้าที่ปราศจากแผลบวมช้ำอะไรประมาณนั้น
นั่นล่ะคือเหตุผลที่ว่าทำไมด้วยความรู้สึกทำไม ซี ฮุน จึงดูห่างจาก โจนส์ นัก คนหนึ่งโนเนม ส่วนอีกคนคือดาวรุ่งของประเทศมหาอำนาจ เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้เอง
นัดชิงเหรียญทอง
เหรียญทองเป็นที่ต้องการของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอยากจะทำให้คนทั้งประเทศมีความสุข ส่วนอีกฝ่ายมันคือบันไดก้าวแรกสู่การเป็นตำนานหมัดมวยของอเมริกันชน
สุดท้ายแล้วเมื่อมาประจันหน้ากันบนเวที มันก็เหมือนเก่งเล็กเจอเก่งใหญ่ โจนส์ ในเวอร์ชั่นเด็กอัจฉริยะที่พร้อมก้าวไปเป็นเบอร์ 1 ของโลกแสดงให้เห็นว่าทำไมผู้คนจึงยกย่องเขาหนักหนา 2 ยกแรกคือการโชว์ศักยภาพของดาวรุ่งจากแดนไกล ความเร็วของหมัด และลีลาฟุตบอลเวิร์กที่คล่องเกินกว่านักชกเจ้าถิ่นจะใช้สายตาอ่านทัน ปาร์ค ซี ฮุน ได้แต่มองตามและปล่อยหมัดแบบพลาดเป้า นอกจากเสียงเชียร์ที่เร่งเร้าให้เขาออกหมัดแบบส่งเดชและไร้น้ำหนักแล้ว ดูเหมือนว่าศึกนี้จะเป็น มิสชันอิมพอสสิเบิลของเขา ขณะที่ โจนส์ ใส่เอาๆ ราวกับว่าตั้งใจที่จะเอาชัยชนะแบบที่ใครก็ปฎิเสธไม่ได้แม้แต่ชาวเกาหลีใต้เอง
ความมันมาบังเกิดในยกที่ 3 ที่ โจนส์ เหมือนเดินหน้าตบเข้าเกียร์ห้า เครื่องยนต์เขาพร้อมลุยเต็มสูบเมื่อจังหวะที่วอร์มเครื่องจนได้ที่ การชกไม่ต่างจากเดิม ซี ฮุน เหมือนไล่จับกับผีในสังเวียนที่จับเท่าไหร่ก็ไม่ถูกตัว แต่เป็น โจนส์ เองที่ปล่อยหมัดตามอำเภอใจในสไตล์ของยอดมวยบ็อกเซอร์
ดร.เฟร็ดดี้ ปาเชโก้ และ มาร์ฟ อัลเบิรฺ์ต ผู้บรรยายของสถานี ABC พูดกันแบบทีเล่นทีจริงระหว่างถ่ายทอดสดว่างานนี้เหรียญทองคงได้เดินทางกลับดินแดนลุงแซมอย่างแน่เสียยิ่งกว่าแน่
"เอาล่ะครับ มันง่ายดายเหมือนกับว่า โจนส์ แค่เดินเข้าไปหยิบเหรียญทองแล้วเดินกลับบ้านแบบนั้นเลยทีเดียว" อัลเบิร์ต กล่าวก่อนที่ด็อกเตอร์ ปาเชโก้ จะขำกับมุกคู่พากย์ของเขาก่อนจะเสริมในสิ่งที่เขาเห็นจากตัวของ โจนส์ เล็กน้อย
"ปาร์ค ซี ฮุน โดนจนอ่วมแล้ว เรื่องนี้ทำให้ผมนึกย้อนไปในโอลิมปิก ลอส แองเจลิส ปี 1984 ที่ แฟร้งค์ แทท คว้าเหรียญทองแบบนิ่มๆ ตอนนี้ รอย โจนส์ กำลังจะตามรอยเขาเข้าไปในหน้าประวัติศาสตร์นั้นแล้วล่ะ"
ว่าจบแค่นั้น โจนส์ ก็เหมือนกับได้ยินเสียงบรรยาย เขาโยกหลบหมักของ ปาร์ค ก่อนจะยิงหมัดสวนเข้าหน้าไปเต็มๆ แน่นอนโดนแบบนี้ไม่ร่วงให้รู้ไป ผู้ตัดสิน อัลโด้ เลโอนี ต้องเข้ามาเช็คอาการนักชกเจ้าภาพในยกที่ 4 แต่ก็ยังดีที่ได้ระฆังช่วยชีวิตไว้ก่อน
เมื่อเป็นเช่นนี้ในช่วงเบรกโฆษณาระหว่างรอคำตัดสินฝั่งผู้บรรยายจากอเมริกา ค่อนข้างมั่นใจเข้าไปอีก พวกเขาพูดเหมือนกับว่าอวยคนชาติตัวเองอยู่บ้าง แต่นั่นคือสิ่งที่ไม่ต่างจากคนทั้งโลกเห็น
"รอย โจนส์ ชนะ ปาร์ค ซี ฮุน คู่ชกชาวเกาหลีใต้แบบไม่ต้องนับคะแนนเลยก็ยังได้ เขาปล่อยหมัดทำแต้มแล้วทำแต้มอีก ไม่ว่าจะวงในวงนอกครอบรสจริงๆ ตอนนี้เรากกำลังรอการตัดสินจากรรมการอยู่ครับ " ดร.ปาเชโก้ กล่าวอย่างมั่นใจถึงขีดสุด
ผู้บรรยายยังว่าไม่ทันขาดคำ ตัวเลขกราฟฟิกในการถ่ายทอดสดก็ตอกย้ำอีกครั้งถึงความห่างชั้นในไฟต์นี้ ตลอดการชก โจนส์ ทำหน้าที่ได้ดีกว่า ปล่อยหมัดไปเกินกว่า 300 ครั้ง เข้าเป้า 86 หมัด คิดเป็นความแม่นยำ 28 % ขณะที่ ปาร์ค ซี ฮุน ออกหมัดราว 200 ครั้ง แต่ส่วนใหญ่เป็นหมัดส่งเดชและเข้าเป้าก็ไม่เท่าไร 32 หมัด (ความแม่นยำ 17 %)
"ไม่ต้องถามกันแล้วมั้งครับแบบนี้ แต่อย่างว่าล่ะใครจะไปรู้อะไรก็เกิดขึ้นได้" ผู้บรรยายยังไม่วายติดตลกในชัยชนะที่แสนแบเบอร์นี้ ทว่ากรรมการเดินมาที่กลางสังเวียนและทำในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อมากที่สุด เขายกมือให้ ปาร์ค ซี ฮุน เป็นผู้ชนะ … เสียงเชียร์ฝั่งเกาหลีใต้ดังกระหึ่มขึ้น ผิดกับฝั่งอเมริกาที่เงียบสนิทเพราะช็อกไม่หายกับสิ่งที่ได้เห็น
"บ้าไปแล้วเห็นมั้ยครับ ปาร์ค ซี ฮุน ยกเค้าชัยชนะแมตช์นี้ไปจนเกลี้ยงเลย" ผู้บรรยายอัลเบิร์ตถึงกับเสียงหลงเมื่อผลการแข่งขันออกมาเป็นเช่นนี้
ชัยชนะที่ดีใจไม่ลง
"ปาร์ค ซี ฮุน เป็นผู้ชนะด้วยคะแนน 3-2" สิ้นสุดคำพูดของผู้บรรยายข้างสนาม ปาร์ค ซี ฮุน แสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนว่าเขาเองก็งงกับคำตัดสินไม่ต่างจากคนทั่วโลก อย่างไรก็ตาม "เดอะ โชว์ มัส โก ออน" โชว์ยังคงต้องดำเนินต่อไป เขาปรับความรู้สึกสักพักจึงเริ่มแสดงสีหน้าดีใจขึ้นบ้าง ก่อนจะเดินมาหา โจนส์ และยกตัวของคู่แข่งขึ้นราวกับจะสรรเสริญ แต่สำหรับ โจนส์ แล้วเขาหมดอารมณ์ ... ไม่มีการตอบสนองใดๆ ทั้งนั้น มันเหมือนกับเขารู้อยู่แล้วว่าอะไรแบบนี้จะต้องเกิดขึ้น ขณะที่ที่พี่เลี้ยงของเขาก็ไม่ได้มีท่าทีประท้วงอื่นใด
"ผมเองก็รู้แต่แรกแล้วว่ามันยากแน่นอนกับการมาชกที่นี่ แต่ไม่สำคัญหรอกผมพร้อมจะทุ่มทุกสิงที่ผมมี" นี่คือสิ่งที่ โจนส์ ว่าไว้ก่อนที่ขึ้นชกไฟต์นี้ 3 วัน
พิธีการดำเนินมาถึงการรับเหรียญ สีหน้าของ ปาร์ค ซี ฮุน แสดงออกมาชัดเจนยิ่งกว่าเดิม เขาไม่ได้ยิ้มแย้มหรือลิงโลดอะไรนักแม้จะเป็นเหรียญประวัติศาสตร์และความสำเร็จของชาติบ้านเกิด อาการของเขามันบอกได้อย่างชัดเจนว่าจริงๆ แล้วเขาก็รู้ว่าใครสมควรเป็นผู้ชนะ และตัวของเขาก็ละอายใจกับเหรียญทองที่แขวนกับคอของเขาในเวลานั้น
"หลังจบไฟต์ผมไปถามเขาว่า ตอบมาตรงๆ นะเพื่อน นายชนะไฟต์นี้หรือเปล่า?" นี่คือสิ่งที่ โจนส์ เข้าไปคุยกับ ซี ฮุน ก่อนที่นักชกเหรียญทองโอลิมปิกคนล่าสุดจะตอบกลับว่า "ไม่ … ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าพวกเขาจะทำแบบนี้กับคุณ"
นี่คือการแข่งขันที่ค้านสายตามากที่สุดในประวัติศาสตร์ของกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ ทุกอย่างมันชัดเจนจนแม้แต่ผู้ชนะยังละอายใจ ดังนั้นการขุดคุ้ยหาต้นตอการโกงจึงเริ่มขึ้น และแน่นอนว่าสื่ออเมริกันเก่งอยู่แล้วสำหรับเรื่องเช่นนี้
จับโจร... และเปลี่ยนแปลง
Sports Illustrated เริ่มขุดคุ้ยออกมาหลังจบไฟต์ดังกล่าวได้ไม่กี่เดือน พวกเขาเชื่อว่างานนี้มีเรื่องสกปรกซ่อนอยู่แน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะถึงแม้กรรมการในแมตช์ชิงเหรียญทองจะเป็นกรรมการที่มาจากการจับฉลากแบบสุ่ม แต่ก็ได้มีการวางหมากรอไว้ก่อนแล้ว ไม่ว่าจะจับฉลากอย่างไรกรรมการผู้ให้คะแนนคือคนที่ "ใครบางคน" ได้เลือกเอาไว้แล้วเพื่อทำภารกิจนี้
กรรมการคนหนึ่งยอมรับในภายว่าการตัดสินครั้งนี้ไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นจริงๆ "ผมค่อนข้างแน่ใจว่ากรรมการอีก 4 คนร่วมกับผมได้ให้คะแนนของ โจนส์ เป็นผู้ชนะเสียส่วนใหญ่นะ ตัวผมน่ะโหวตให้คะแนนของ โจนส์ ชนะแบบ 4-1 ที่ให้ 1 คะแนนกับเจ้าภาพเพราะไม่อยากทำให้พวกเขารู้สึกอับอาย" ไฮอูด ลาร์บิ กรรมการผู้ให้คะแนนชาวโมร็อคโคกล่าวในภายหลัง
ขณะที่ เคน อดัมส์ หัวหน้าโค้ชทีมมวยสมัครเล่นของสหรัฐอเมริกา ยังอ้างว่าเขาเห็นการให้สินบนกับกรรมการในวันนั้นโดยฝังเจ้าภาพได้ส่งสิ่งที่เขาเรียกว่า "นักเก็ตทองคำ" ให้กับกรรมการชาวเยอรมันคนหนึ่งภายในพริบตา ทว่า ณ ตอนนั้นฝั่งผู้จัดปฎิเสธตกทุกข้อหา และเชื่อว่า เคน อดัมส์ กล่าวอ้างแบบใส่ร้าย เพราะเป็นพวกเหยียดชาวเอเชีย
เรื่องมันน่าขันเล็กน้อยตรงที่สมาคมมวยนานาชาติหรือ (AIBA) ได้พยายามปลอบใจฝั่ง โจนส์ ด้วยการให้รางวัล Val Barker Cup หรือรางวัลนักชกยอดเยี่ยมกับเขา แต่ฝั่งโจนส์ยืนกรานอย่างชัดเจนว่า "ไม่เอา" เพราะมัน "ไม่เป็นเหตุเป็นผล" มีอย่างที่ไหนที่คนได้เหรียญเงินกลับได้รางวัลนักชกยอดเยี่ยม ขณะที่นักชกเหรียญทองกลับไม่ติดอันดับเลย
อย่างที่บอกว่าเรื่องการขุดคุ้ยนั่นต้องยกให้สื่อมะกัน พวกเขาเดินเกมอีท่าไหนไม่มีทางทราบได้ เพียงแต่ว่าอยู่ดีๆ หลักฐานชิ้นสำคัญก็หลุดออกมาสู่สายตาชาวโลก มันคือเอกสารฉบับหนึ่งจาก คาร์ล ไฮนซ์ เวห์เรอร์ เลขาธิการของ AIBA เขียนให้กับฝ่ายสืบสวนว่า
"เกาหลีใต้ ไม่พลาดโอกาสที่จะติดสินบนและคอรัปชั่นให้กับผม พวกเขาพยายามวางตัวให้มีอิทธิพลเหนือคำตัดสิน ในความจริงมีกรรมการหลายคนที่ถูกซื้อโดยเจ้าหน้าที่โอลิมปิกของเกาหลีใต้ในปี 1988 เรื่องนี้ไม่ใช่ว่า AIBA ไม่รู้ เรารู้แต่มันเป็นเรื่องของสมาชิกระดับสูงที่มันยากและซับซ้อนมากในการจะจับใครสักคน"
ด้วยหลักฐานและพยานที่มากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ก็กลับมาสอบสวนอีกครั้ง และแน่นอนว่าหนนี้พวกเขาสามารถสืบจนพบความจริงว่าผู้ตัดสินทั้ง 3 คนในไฟต์นั้นได้รับสินบนจากเจ้าหน้าที่โอลิมปิกของเกาหลีใต้จริง พวกเขามีนัดกินข้าวเย็นก่อนไฟต์จะเริ่มขึ้น จากนั้นผลการแข่งขันก็ออกมาอย่างที่ได้กล่าวไปทั้งหมด
"เหมือนละครสัตว์ที่มีการเตี๊ยมกันเอาไว้แล้ว ดังนั้นคนดูจึงต้องถามหาความยุติธรรมที่แท้จริง" ส่วนหนึ่งในการแถลงของ AIBA ว่าไว้เช่นนี้ แต่ก็ถึงจะจับได้ว่าใครโกง พวกเขาก็ยังไม่มีการริบเหรียญรางวัลของ ปาร์ค ซี ฮุน เพื่อคืนให้กับคนที่สมควรได้รับมันอย่าง รอย โจนส์ จูเนียร์
หลังจากคำตัดสินในปี 1997 โจนส์ เปิดใจอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาคงพอแล้วกับการจะคาดหวังเหรียญทองโอลิมปิก ความแพ้แบบค้านสายตาในครั้งนั้นทำให้เขาหันหลังให้วงการมวยสากลสมัครเล่นและเดินหน้าเป็นนักมวยอาชีพอย่างเต็มตัว "ความหวังในหัวใจของผมมันตายไปแล้วตั้งแต่วันนั้น" โจนส์ ว่าถึงความรู้สึก ณ วันที่ผิดหวัง ก่อนที่จะเลือกเส้นทางใหม่ที่ไม่ต้องกลัวว่าจะเจ็บช้ำเหมือนเก่า
อย่างไรก็ตามแม้จะเจอสิ่งที่ยอดแย่ แต่เขาก็ยังเป็นคนที่ยอดเยี่ยม … โจนส์ เป็นคนที่มีทัศนคติดี หลังจากเข้าสู่วงการชกอาชีพก็ได้รับความสำเร็จมากมาย เขากลายเป็น 1 ใน 10 นักชกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์วงการหมัดมวยอีกด้วย
"คนอย่าง รอย โจนส์ จูเนียร์ เนี่ยเรียกได้เลยว่าเป็นประวัติศาสตร์ เขาคือส่วนผสมระหว่างพรสวรรค์กับพรแสวง เขาทัศนคติดี ที่สำคัญคือเป็นคนอดทนกับหลายเรื่องได้ดีมาก คุณคิดดูการโดนโกงในโอลิมปิกตั้งแต่เด็กมันโหดร้ายขนาดไหน? เป็นคนอื่นๆ คงจิตใจเตลิดไปไกลแล้วละ" ชาร์ลส์ ฟาร์เรลล์ อดีตผู้จัดการนักมวยชื่อดังกล่าวถึงความยอดเยี่ยมของ โจนส์ ผู้นี้
ดังนั้นจึงพอกล่าวได้ว่าความพ่ายแพ้ต่อ ปาร์ค ซี ฮุน ในวันนั้นไม่ใช่จุดจบแต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขากลับมาสู้ใหม่อีกครั้งและกลายเป็นโคตรมวยแห่งยุค ขณะที่ ปาร์ค ซี ฮุน นั้นเคยถูกท้าชกไฟต์แก้มือแต่ข้อเสนอดังกล่าวก็ไม่ได้รับการตอบรับ ขณะที่เขาเองหลังจากคว้าเหรียญทองได้ก็เบนเข็มไปเป็นอาจารย์ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง และทำหน้าที่เป็นโค้ชทีมมวยสากลสมัครเล่นของทีมชาติเกาหลีใต้ในภายหลัง
"รู้อะไรไหม ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผมเลย ทุกวันนี้ผ่านมาแล้ว 20 ปี ผู้คนก็ยังจำเรื่องนี้กันฝังใจไม่มีวันลืม" เขามักจะพูดคำนี้บ่อยๆ ความพ่ายแพ้แค่ครั้งเดียวหยุดเขาได้ไม่นานนักหรอก
จริงอย่างที่เขาว่า โลกจำไฟต์ดังกล่าวได้แม่นยำ แต่ที่จำได้แม่นกว่าคือช่วงเวลาหลังจากนั้น การถูกเรียกว่านักชกที่ดีที่สุดคือเกียรติประวัติของเขาโดยไม่ต้องมีเหรียญทองการันตี และแน่นอนที่สุดในโลกนี้ไม่มีใครไม่เคยแพ้ แต่ชายผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาเปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นบันไดสู่ก้าวที่ใหญ่กว่า
การแพ้ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จต่างหาก ... ดังนั้นจงแน่วแน่บนเส้นทางที่ถูกต้องเข้าไว้ แม้สิ่งที่เกิดขึ้นอดีตจะแก้ไขไม่ได้ ทว่าอนาคตยังอยู่ในมือเราเสมอ ...