เป็นข่าวที่สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแฟนหมัดมวยชาวไทย เมื่อ ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น ได้เปิดตัวพันธมิตรใหม่ที่จะเป็นแม่ข่ายในการถ่ายทอดสดไฟต์การชกในต่างประเทศของเขาจากนี้ นั่นคือ DAZN
แน่นอนว่า เรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนี่ถือเป็นหลักฐานที่ช่วยยืนยันว่า นักมวยไทยสามารถสร้างชื่อเสียงจนเป็นที่ต้องตาต้องใจของชาวต่างชาติแล้วนั่นเอง
แต่เหตุใด DAZN ถึงต้องเลือก “เจ้าแหลม”? และทำอย่างไรเราถึงจะได้เห็นนักชกจากแดนสยามไปสร้างผลงานให้ทั้งโลกเห็นได้เหมือนอย่างเขาบ้าง?
หลักฐานการเติบโต
สำหรับวงการมวยของไทย ไม่ว่าจะเป็นมวยไทยหรือมวยสากล นักชกทุกคนล้วนมีค่ายสังกัดเป็นของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งในกรณีของศรีสะเกษนั้นก็คือค่าย นครหลวงโปรโมชั่น ที่ปลุกปั้นจากการเป็นนักมวยโนเนม สู่ซูเปอร์สตาร์แห่งวงการในปัจจุบัน
แต่ถึงแม้จะสร้างชื่อจนเป็นนักมวยที่ทั้งโลกจับตามองได้ การไปชกในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐอเมริกา เมกกะแห่งวงการกำปั้น การมีพันธมิตรที่สามารถช่วยสินค้าที่มีอยู่ให้ได้รับความสนใจจากแฟนมวย ตลอดจนสื่อมากกว่าเดิมก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะนั่นหมายถึงส่วนแบ่งที่จะได้รับมากกว่าเดิมอีกด้วย
โดยในการออกไปชกที่สหรัฐอเมริกาและสร้างชื่อให้เจ้าแหลม ไม่ว่าจะเป็นการกระชากเข็มขัดแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวต 115 ปอนด์ของสภามวยโลก WBC จาก โรมัน กอนซาเลซ ยอดมวยชาวนิคารากัวที่เคยได้รับการยกให้เป็นนักชกที่ดีที่สุดในโลกเมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์เมื่อเดือนมีนาคม 2017 ก่อนย้ำแค้นอีกครั้งในไฟต์ล้างตาอีก 6 เดือนต่อมา รวมถึงไฟต์ป้องกันแชมป์กับ ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า กำปั้นจากเม็กซิโกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ทั้งหมดเกิดขึ้นในการดูแลร่วมกันระหว่างค่ายนครหลวงโปรโมชั่น กับ 360 โปรโมชั่น บริษัทโปรโมเตอร์มวยที่มี ทอม ลอฟเฟอร์ เป็นเจ้าของ ซึ่งจับมือเป็นพันธมิตรกับ HBO สถานีโทรทัศน์ชั้นนำในการถ่ายทอดสด
ทว่าสถานการณ์ต่างๆ ก็มาเปลี่ยนผันเอาเมื่อช่วงปลายปี 2018 เมื่อ HBO ตัดสินใจว่าจะถอนตัวจากการถ่ายทอดสดมวยสากลอาชีพ ยุติช่วงเวลาแห่งความสัมพันธ์กับวงการกำปั้นไว้ที่ 45 ปี ทำให้เกิดคำถามขึ้นทันทีว่า นักมวยคนดังมากมายที่เคยมีสัญญาผูกพันกับทาง HBO ซึ่งรวมถึงศรีสะเกษด้วยนั้น จะมีเส้นทางในภายภาคหน้าอย่างไร?
และเรื่องทุกอย่างก็มาได้ข้อสรุปเอาเมื่อช่วงปลายเดือนมกราคม 2019 ที่ผ่านมา เมื่อ Matchroom Boxing USA บริษัทของ เอ็ดดี้ เฮิร์น โปรโมเตอร์วัยหนุ่มผู้มาแรงที่สุดในขณะนี้ประกาศว่า ศรีสะเกษได้เซ็นสัญญาที่จะขึ้นชกในสหรัฐอเมริกาภายใต้การดูแลของพวกเขาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งการที่ Matchroom Boxing USA จับมือเป็นพันธมิตรกับ DAZN (ดะโซน) เครือข่ายสตรีมมิ่งถ่ายทอดสดกีฬาชื่อดัง ทำให้ไฟต์ของศรีสะเกษในการขึ้นชกที่ต่างประเทศจากนี้จะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกทาง DAZN ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ทางค่ายนครหลวงโปรโมชั่นยังถือสิทธิ์ในการหาพันธมิตรถ่ายทอดสดในประเทศไทย รวมถึงยังมีสิทธิ์อย่างเต็มที่ในการจัดโปรแกรมชกที่บ้านเกิดเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา
มวยดีที่ขายได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การที่ศรีสะเกษตกลงเข้าสังกัด Matchroom Boxing USA และ DAZN ถือเป็นเรื่องที่สร้างชื่อ และเครดิตให้กับวงการมวยไทยเป็นอย่างมาก แต่คำถามก็คือ เหตุใดทั้งสองค่ายดังกล่าวถึงเลือกนักชกรุ่นเล็กจากจังหวัดศรีสะเกษล่ะ?
แบงก์ - เธียรชัย พิสิฐวุฒินันท์ ผู้บริหารค่ายนครหลวงโปรโมชั่น เปิดใจเรื่องนี้กับทีมงาน Main Stand ว่า “ตอนนี้วงการมวยทั่วโลกให้การยอมรับพี่แหลมว่าเป็นหนึ่งในนักมวยที่ดีที่สุดในโลกเมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ยุคปัจจุบันครับ ซึ่งหากดูจากการจัดอันดับของสื่อต่างๆ ก็จะเห็นว่า มีชื่อติดอยู่ในท็อป 10 ทุกสำนัก”
“ไม่เพียงเท่านั้น นอกจากผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ จากผลการแข่งขัน, ตำแหน่งแชมป์ รวมถึงอันดับปอนด์ต่อปอนด์แล้ว อีกเหตุผลที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ พี่แหลมมีสไตล์การชกที่ทำให้แฟนๆ สนุกกับการตามชมตามเชียร์ด้วย ซึ่งตรงนี้ ทาง DAZN เล็งเห็นว่าจะช่วยเพิ่มเรตติ้งการถ่ายทอดสดในมวยรุ่นเล็กได้”
แบงค์ ยอมรับว่า อันที่จริงหลังจากที่ HBO ประกาศถอนสมอจากวงการมวยไป ก็มีโปรโมเตอร์และสถานีโทรทัศน์จากต่างประเทศให้ความสนใจอยากที่จะเป็นหุ้นส่วนอยู่ไม่น้อย แต่ DAZN มีดีอะไรถึงสามารถซื้อใจค่ายนครหลวงโปรโมชั่นได้?
“จริงอยู่ครับ ที่ DAZN อาจจะเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดมวยโลกซึ่งแฟนๆ อาจจะไม่คุ้นชื่อเท่าไหร่นัก แต่พวกเขาก็ถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่มาแรงที่สุดในขณะนี้ เห็นชัดๆ เลยก็คือ นักมวย 2 คนที่กำลังเนื้อหอมที่สุดในโลกอย่าง ซาอูล “คาเนโล่” อัลวาเรซ (แชมป์โลกรุ่นมิดเดิ้ลเวต 160 ปอนด์ สองสถาบันหลัก WBA, WBC) กับ แอนโธนี่ โจชัว (แชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวต 3 สถาบันหลัก WBA, IBF, WBO) มาอยู่กับทาง DAZN ซึ่งพวกเขามองว่า ศรีสะเกษนี่แหละ จะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยให้ตลาดมวยรุ่นเล็กบูมได้”
ต่อยอด “แหลมฟีเวอร์”
เรื่องราวต่างๆ ของศรีสะเกษ ทั้งปูมหลังของชีวิตที่เคยผ่านจุดต่ำสุดอย่างการเป็นคนเก็บขยะ รวมถึงฝีไม้ลายมือบนสังเวียน ถือเป็นส่วนผสมสำคัญที่ทำให้ชื่อของ ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น หรือที่ต่างประเทศคุ้นเคยในชื่อ ศรีสะเกษ ศ.รุ่งวิสัย กลายเป็นที่จดจำของแฟนกำปั้นทั่วโลก
เจ - วรปัฐ อรุณภักดี ผู้ประกาศข่าวและผู้บรรยายกีฬา ไทยรัฐทีวี ให้ทรรศนะว่า “ด้วยสตอรี่ เรื่องราวชีวิตของตัวแหลมเอง รวมไปถึงฝีไม้ลายมือ สไตล์การชกที่ดูสนุก มันทำให้มีความเชื่อมั่นอยู่ว่า ศรีสะเกษมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็นดาวดังในวงการมวยสากลได้ เหมือนอย่างที่ แมนนี่ ปาเกียว เคยทำให้ทั้งโลกเห็นมาแล้ว ด้วยเหตุนี้แหละ ทาง Matchroom Boxing USA รวมถึง DAZN ถึงกล้าที่จะเสี่ยง”
ถึงกระนั้น เจ ก็มองว่า ทางค่ายนครหลวงโปรโมชั่น โดยเฉพาะทาง แบงก์ - เธียรชัย ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ดูแลงานด้านต่างประเทศ ก็สมควรได้รับเครดิตที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จากการที่ไปขายสินค้า ซึ่งก็คือตัวของศรีสะเกษจนโปรโมเตอร์ในต่างประเทศอย่าง 360 โปรโมชั่น ยอมที่จะเสี่ยง ซึ่งผลที่ออกมาถือเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนแล้วว่า คุ้มค่าแค่ไหน
และหากไฟต์ต่อไปของเจ้าแหลม ที่มีคิวต้องป้องกันแชมป์ในศึกล้างตากับ ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า เช้าวันที่ 27 เมษายนนี้ตามเวลาประเทศไทยจบลงด้วยชัยชนะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชื่อของศรีสะเกษจะยิ่งหอมหวนกว่าเดิม โอกาสที่จะได้ขึ้นสังเวียนกับนักชกระดับโลก รวมถึงการเปิดศึกล้มแชมป์กับ แคล ยาไฟ แชมป์รุ่นเดียวกันของ WBA หรือ เจอร์วิน อันคาฮาส แชมป์ IBF ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้สูงขึ้นไปอีก
แต่เมื่อเรื่องราวมาถึงตรงนี้ หลายคนก็คงสงสัยไม่น้อยว่า ในเมื่อกระแสของศรีสะเกษดีขนาดนี้ แต่กับนักมวยคนอื่นๆ ของไทยล่ะ จะมีวิธีการใดบ้างที่สามารถช่วยให้พวกเขาเป็นที่รู้จักในต่างประเทศ อันจะนำมาซึ่งโอกาสและเงินทองมหาศาล? เรื่องดังกล่าวให้มุมมองไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง
“ในกรณีของศรีสะเกษ ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า ทางค่ายนครหลวงโปรโมชั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แบงค์ - เธียรชัย มีวิสัยทัศน์ที่ดีมาก กับการกล้าที่จะส่งนักมวยของตัวเองไปขึ้นชกในต่างประเทศ ซึ่งหากทำผลงานได้ดี ยังไงก็มีโปรโมเตอร์ในต่างประเทศที่เห็นถึงศักยภาพ ซึ่งตรงนี้ ถ้าค่ายมวยต่างๆ ของไทย รวมถึงนักชกเอง กล้าที่จะออกมาจากคอมฟอร์ตโซน พื้นที่ที่คุ้นเคยบ้าง มองในภาพของกีฬา ให้นักชกมีโอกาสเจอกับมวยฝีมือดีๆ หรือหาโอกาสชิงแชมป์ที่ตัวเองสู้ได้ มากกว่าภาพของธุรกิจ โอกาสที่จะมีนักชกซึ่งทำได้แบบศรีสะเกษก็จะมีมากขึ้น”
“แต่อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ผมเองก็อยากให้หน่วยงานภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชนก็ดี ให้การสนับสนุนนักมวยหรือแม้แต่ค่ายมวยมากกว่าที่เป็นอยู่ หากมีโอกาสที่นักมวยจะคว้าแชมป์ได้ ก็อยากให้กล้าๆ ที่จะประมูลมาขึ้นชกในบ้านเราหน่อย หรือผลักดันนักชกไปท้าชิงแชมป์ในต่างประเทศก็ยังดี อย่ารอเวลาให้พ้นช่วงพีคไป และถ้าจะให้ดีกว่านี้ ก็อยากให้มีการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง อุ้มชูกันแม้ในวันที่พ่ายแพ้ ให้เขามีโอกาสได้แก้ตัว อย่าปล่อยปละละเลยเพียงแค่นักชกไม่สามารถทำผลงานอย่างที่ต้องการได้ ซึ่งหากมีตรงนี้ โอกาสที่นักชกไทยจะได้รับโอกาสเหมือนอย่างศรีสะเกษ ก็จะมีมากขึ้นครับ”