ตาบอด, หูหนวก, พิการ : เรื่องเหลือเชื่อของ "คีแรน เบฮัน" นักยิมนาสติกที่บัญชาสวรรค์คว่ำไม่ลง

ตาบอด, หูหนวก, พิการ : เรื่องเหลือเชื่อของ "คีแรน เบฮัน" นักยิมนาสติกที่บัญชาสวรรค์คว่ำไม่ลง

ตาบอด, หูหนวก, พิการ : เรื่องเหลือเชื่อของ "คีแรน เบฮัน" นักยิมนาสติกที่บัญชาสวรรค์คว่ำไม่ลง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ลองสมมุติดูเล่นๆหากวันหนึ่งคุณนั่งอยู่บนรถเข็นต่อหน้าหมอ ก่อนจะมีคำพูดสั้นๆจากผู้ชำนาญการว่า "หมอเสียใจด้วยแต่คุณหมดสิทธิ์จะกลับมาเดินได้อีกครั้ง" ….คุณจะคาดหวังอะไรในช่วงชีวิตต่อจากนั้น?

ของแบบนี้...ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจ บางคนถอดใจยอมแพ้ บางคนสู้แค่ตายเพื่อกลับมาเดินได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง...และมันมีคนที่ก้าวข้ามสิ่งนั้นไปอีกหนึ่งขั้น นั่นคือการเอาโรคภัยไข้เจ็บมาเป็นความท้าทายเพื่อสร้างในสิ่งที่เกินกว่าใครจะคิดอย่าง เช่น "เป็นนักยิมนาสติก" กีฬาสายใช้พลังร่างกายเต็มพิกัดชนิดที่ว่าเอาคนแข็งแรงไปฝึกเผลอๆ ยังเล่นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ



นี่คือเรื่องราวของ คีแรน เบฮัน หนุ่มวัย 27 ปี ที่เจอกับสิ่งหนักกว่าที่เราเกริ่นไว้เยอะ ยามโชคร้ายเขาก็โชคร้ายถึงขีดสุด และเมื่อถึงวันที่ผงาดเขาก็ทำได้เหลือเชื่อ .... จากผู้พิการสู่นักกีฬายิมนาสติกโอลิมปิกส์ สิ่งนี้ห่างไกลกันสุดๆ  และเขาทำให้มันบรรจบกันได้อย่างไร ติดตามชีวิตนักสู้ที่คนทั้งสหราชอาณาจักรพร้อมลุกปรบมือให้ในตอนจบกับ Main Stand

เส้นทางที่คนธรรมดายอมยกธงขาว
หากคุณจ้องมอง คีเเรน บีฮัน ด้วยตาเปล่าคุณจะรับรู้ได้ทันทีว่าคนนี้ผ่านการเคี่ยวเข็ญตัวเองมาอย่างหนักจนมีมัดกล้ามที่สวยงามและเเข็งแรงเกินคนทั่วไปแน่นอน  แต่หากคุณจ้องให้นานอีกหน่อยและรอจังหวะที่เขากระโดดลงจากบาร์คู่ด้วยท่าจบที่เอาเท้าแตะพื้นคุณจะเห็นว่าเข่าซ้ายของเขามีความผิดปกติที่เห็นได้อย่างชัดเจน และร่างกายของเขาคือศูนย์รวมความโชคร้าย 3 เรื่องในที่เดียวกัน

เหตุผลแรกสำหรับความผิดปกตินี้เกิดขึ้นจากเรื่องเมื่อ 17 ปีก่อน หลายคนมองเป็นเรื่องโชคร้าย นี่คือเรื่องที่ใครบนโลกก็ไม่อยากจะเจอนั่นคือการเป็นเนื้องอกที่ขาซ้าย ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ... คุณฟังไม่ผิดหรอกสำหรับเด็กวัยแค่นั้นที่อยู่ในช่วงวัยที่ชีวิตนี้มีแต่ความสนุกและออกมาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆในโลกกว้างทุกๆวัน คีแรน กลับต้องนั่งรถเข็นและทำได้แค่ดูเพื่อนของเขาทำในสิ่งที่อยากจะทำ

เขาเกิดและโตในลอนดอน จากครอบครัวชาวไอริชแบบ 100% พ่อของเขามาจากถิ่น โอคอนเนล สตรีท ขณะที่แม่มาจาก เคาน์ตี้ โมนาฮาน พวกเขาพอมีฐานะอยู่บ้าง แต่ก็ต้องพยายามหนัก ในการหาเงินมาผ่าตัดเนื้องอกที่ขาของลูกชายออกเพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตปกติแบบคนอื่นได้

kieran-behan-17-752x501
แต่ความจริงคือร่างกายของ คีแรน ในวัย 10 ขวบยังเปราะมาก เส้นประสาทต่างๆที่ต้นขาซ้ายของเขาอยู่ติดกับเนื้องอกที่ต้องการเอาออก ทางเลือกมีไม่มากนัก 1. คือหากปล่อยไว้เขาอาจจะต้องตัดขาทิ้งทั้งขา แถมเนื้องอกอาจจะลุกลามไปกันใหญ่ และ 2. คือรับความเสี่ยงผ่าตัดออกทันที ถ้าโชคดี คือ กลับมาเป็นปกติ แต่ถ้าโชคร้ายคือหมดสิทธิ์เดินได้ตลอดชีวิต

คุณ และคุณนาย เบฮัน ทอยเหรียญเสี่ยงทายกับการผ่าตัดครั้งนี้ เพราะปล่อยไว้ยังไงก็ไม่หายแน่นอน แต่ความเสี่ยงจากการผ่าตัดยังมีโอกาสอยู่บ้าง แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม ที่สุดเเล้วมันก็ยังดีกว่าการ "ยอมแพ้ให้กับโชคชะตาตั้งแต่ยังไม่ได้ลองทำ"

แพทย์ ลงมีดไปที่ขาซ้ายของ คีแรน ตามใบเซ็นยินยอมของผู้ปกครอง ... และเหรียญแห่งโชคชะตาตกลงกระทบพื้นก่อนจะบอกว่าครอบครัวเบฮันต้องเจอกับความโชคร้าย "คีแรน เบฮัน จะเดินไม่ได้" คำตอบสุดท้ายของนายแพทย์ผู้ผ่าตัดว่าไว้เช่นนั้น

"หมอบอกให้ผมหยุดคิดเรื่องความฝันบ้าๆ เช่น การเป็นนักยิมนาสติกของผมไปได้เลย และบอกให้ผมยอมรับด้วยว่าทุกอย่างจบไปแล้ว" เขาเล่าถึงความหลัง

kieranbehansp97942-03
ขออนุญาตย้อนกลับไปในท่อนที่เราโปรยถึงเรื่องของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคนที่รู้ว่าตัวเองจะไม่สามารถเดินได้ ... ก.ยอมแพ้ ข.พยายามสู้ ค.สู้แค่ตายแม้ไร้ความหวัง  ซึ่ง คีแรน กาข้อสอบอย่างหลัง "เอาวะ เจอกันสักตั้ง" ความคิดของเด็กอายุ 10 ขวบ แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ อะไรล่ะที่ทำให้เขามองเรื่องการเดินไม่ได้เป็นเรื่องเล็กและเชื่อว่าตัวเองจะผ่านไปได้สวนทางกับการวินิจฉัยของแพทย์ผู้มีประสบการณ์

"ไม่ ไม่ ไม่ นี่ชีวิตของผม ผมจะไม่ใช้ชีวิตที่เหลือบนรถเข็น นี่ไม่ใช่เกมที่ผมอยากจะเล่น" เด็ก 10 ขอตอบกลับคุณหมอด้วยสายตามุ่งมั่น และเชื่อว่าใครกันจะรู้จักร่างกายของเขาดีกว่าตัวของเขาเอง ...ชีวิตคนเรามันก็แบบนี้ อยากจะก้าวข้ามอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ก็ต้องหวังในสิ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่า

นอกจากความฝันในการเป็นนักยิมนาสติกแล้วสิ่งที่ คีแรน รู้ว่าเขาควรสู้ต่อ คือ เพื่อพ่อและแม่ ในวันที่เขาเพิ่งผ่าตัดสินเเละได้รับคำยืนยันที่ไม่ค่อยดีนัก พ่อและแม่มายืนข้างๆเตียงของเขาด้วยสายตาที่เห็นแล้วรู้สึกแย่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา สิ่งเดียวที่พอจะบอกกับลูกชายในตอนนั้นได้คือ "ทุกอย่างจะโอเค"

"ถ้าคุณเห็นพ่อกับแม่ผมในวันที่ลูกชายอย่างผมนอนอยู่บนเตียงในโรงพยายาลคุณจะรู้ว่าทำไมผมจึงควรสู้ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกหลังผ่าตัดสภาพจิตใจของพ่อและแม่แย่มากเมื่อผมกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง"

kieran-behan-9-752x501
"ผมไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อตัวเอง เมื่อหลายสิ่งเกิดขึ้นคุณจะรู้ว่าเรายังมีคนอื่นที่รอความพยายามของคุณอยู่ คนรอบข้างสำคัญมาก" คีแรน เปิดใจในภายหลัง

ซีนอารมณ์เกิดขึ้นทุกวันในช่วงสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด เขาลุกไปไหนไม่ได้ และสีหน้าของพ่อกับแม่ ก็ไม่เคยดีขึ้นเลยแม้สักวันเดียว

"ท่านคอยบอกผมเสมอว่าลูกรักลูกจะไม่เป็นอะไร เขาทำให้ผมเชื่อมั่น แต่ผมรู้ว่าในขณะเดียวกัน พ่อและเเม่เป็นกังวลมาก หลังม่านคำพูดที่ให้กำลังใจ คือ ความรู้สึกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง"

เอาล่ะ กลับมาสู้กันสักหน่อยดีกว่า เส้นประสาท กับ หัวใจออะไรจะสำคัญกว่ากัน?... ว่าเช่นนั้นการต่อสู้ไฟต์แรกแบบแบกน้ำหนักของคีแรน จึงเริ่มขึ้น

แค่เดินได้มันง่ายไป
อยากจะก้าวข้ามอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ก็ต้องหวังในสิ่งที่ใหญ่กว่า คีแรน ออกจากโรงพยาบาลและต้องนั่งบนวีลแชร์ นี่คือช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่ใครจะคิดได้ เพราะเขายังต้องไปโรงเรียนด้วยรถเข็น และเป็นที่รู้กันดีกว่าในหมู่เด็กนักเรียน พวกเขายังไม่รู้ว่าสิ่งใดควรพูด สิ่งใดควรเก็บไว้ในใจ ดังนั้น คีแรน เบฮัน ถูกเปลี่ยนชื่อจากเพื่อนๆในห้อง ที่เรียกเขาว่า "ไอ้พิการ"

kieranbehansp97942-06
"พวกเขาบอกว่า โอ้! ดูนั่น ไอ้ขาเป๋มันมาเเล้วว่ะ" จะสู้แค่ไหนแต่โดนแบบนี้เป็นใครก็ต้องเจ็บปวด

"ตอนนั้นมันยากสำหรับผมมาก หลายครั้งผมนั่งมองเด็กคนอื่นวิ่งเล่นจากหน้าต่างในห้องครัว สิ่งที่ผมอยากจะเป็นมากที่สุดในตอนนั้นคืออะไรคุณรู้ไหม…"

"ผมอยากจะเป็นเด็กธรรมดากับเขาบ้าง"  ซีนอารมณ์มาเต็มเมื่อเขาเล่าย้อนให้กับสื่อในประเทศอย่าง ไอริช ไทม์ส ฟัง

สิ่งที่แตกต่างคือ คีแรน ไม่ได้แค่คิดแค่ว่าจะกลับมาเดินได้เท่านั้น เขาจะกลับมาเป็นนักยิมนาสติกให้ได้เหมือนที่ฝันเอาไว้ตั้งแต่ 6 ขวบ ความพยายามครั้งนี้นำมาซึ่งความประหลาดใจครั้งใหญ่  หมอบอกว่า เขาจะไม่สามารถเดินได้ แต่เพียง 15 เดือนให้หลังจากการโหมกายภาพบำบัดและดูแลร่างกายตามคำสั่งของเเพทย์ คีแรน ลุกกลับมายืนได้อีกครั้ง และทันทีที่ก้าวได้อย่างมั่นคงที่แรกที่เขามุ่งหน้าไปคือ "โรงยิม" เพื่อเล่นยิมนาสติก  ไม่ใช่เล่นเพื่อเอาสนุกเท่านั้น แต่เขากล้าฝันถึงการไปโอลิมปิกเลยทีเดียว

ยังก่อน...ก่อนที่เขาจะพิสูจน์ตัวเองบนเส้นทางนักสู้ พระเจ้ายังมีบททดสอบอีก 1 อย่างให้กับเขา .... ซึ่ง ณ ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่ามันคือบททดสอบหรือการกลั่นแกล้งกันแน่

kieranbehansp97942-01.galle
หลังจากโหมซ้อมยิมนาสติกได้ 8 เดือน คีแรน ประสบอุบัติเหตุชวนสยอง ระหว่างฝึกเขาพลาดหลุดจากบาร์และศีรษะด้านหลังกระแทกเข้ากับพื้นแบบจังๆไม่มีอะไรรองรับ หนนี้สมองของเขากระทบกระเทือน และเกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อประสาทการมองเห็นและการได้ยิน...เขาอยู่ในสภาวะตาบอดครึ่งหนึ่ง และหูหนวกอีกครึ่งหนึ่ง

เท่านั้นยังไม่พอระบบประสาทก็ทำงานผิดเพี้ยนส่งผลอย่างยิ่งต่อการเคลื่อนไหว แม่ของ คีแรน ยังจำได้ดีถึงเหตุการณ์ในวันนั้น มันเหมือนการเล่นเทปซ้ำในวันที่ผ่าตัดเนื้องอกที่ต้นขาเป๊ะ ต่างกันแค่รอบนี้เธอไม่ได้ตั้งตัว

"คีแรน ยังบอกหมอว่า “หมอฮะเชื่อสิผมจะเดินได้ แม่ช่วยบอกหมอหน่อยว่าผมทำได้”...เท่านั้นแหละใจฉันวูบไปเหมือนกับตกหลุมอากาศ" เบอร์นี่ เบเฮน กล่าว และการไม่ได้เตรียมใจกับเรื่องนี้ทำให้เธอสะเทือนใจหนักมากจนต้องรีบออกจากห้องพยาบาลและหนีไปร้องไห้, กรีดร้องที่ลานจอดรถ

ผ่านไปหลายนาทีน้ำตาเริ่มแห้งไป เธอรวมสติกลับมาที่ห้องเเละบอกสิ่งที่ คีแรน อยากได้ยิน "ใช่! คีแรน ลูกทำได้ เราจะทำมันด้วยกัน แม่เชื่อในตัวลูกอยู่เเล้ว"

เธอลาออกจากงานเพื่อคอยดูแลลูกชายอยู่ที่บ้าน เพราะ คีแรน กลับมาเดินไม่ได้แถมยังมองไม่เห็นเป็นพักๆด้วยเหตุผลจากระบบประสาท ดังนั้นลูกเธอจะไปทางไหนเธอต้องเป็นคนอุ้มไป เบอร์นี่ ทนอยู่อย่างนั้น 2 ปี และปาฎิหาริย์ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง คีแรน ประสานมือ, กรอกตา หูเริ่มได้ยิน และที่สำคัญ คือ ยืนได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง  คุณหมอถึงกับต้องให้ฉายาของเขาว่า “เด็กมหัศจรรย์” เลยทีเดียว

000c19d5-600
คำว่าเข็ดเป็นอย่างไรเขาไม่รู้จัก คีแรน พร้อมกลับมาล่าฝันเป็นนักยิมนาสติกอีกครั้ง พ่อและแม่ของเขาไม่คิดจะขวาง เพราะรู้ว่าไฟลุกโชนของความฝันคือสิ่งที่ทำให้ลูกชายกลับมาเดินได้ถึง 2 ครั้งสองครา ทั้งสองคนสนับสนุนอย่างเต็มที่นอกจากงานปกติแล้ว พวกเขาทำขนมขายและรับจ็อบในร้านล้างอัดฉีด เพื่อให้ลูกชายมีเงินไปจ่ายค่าโรงยิมเข้าฝึกซ้อม

ขณะที่ตัวคีแรนเองก็พยายามในส่วนของเขา เขากลายเป็นพนักงานพิเศษของโรงยิมด้วยการรับตำแหน่งคนกวาดพื้นเพื่อเป็นส่วนลดในการเข้าใช้งาน ครอบครัว เบฮัน ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลากว่า 10 ปี

ในช่วงที่ คีแรน โตขึ้นเขาขยับความเข้มข้นของการฝึกมากขึ้นเรื่อยๆ ใน 1 สัปดาห์เขาจะอยู่ในโรงยิม 35 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ และช่วงเวลาหลังจากซ้อมเสร็จ เขาจะรับจ็อบเป็นพนักงานก่อสร้าง งานถมดิน, ขนทราย ขุดถนน พวกนั้นคืองานเสริมแรงแขนของเขาอีกทาง

จริงๆยังมีช่วงเวลาที่ย่ำแย่เกิดขึ้นกับเขาอยู่บ้าง โดยเฉพาะเรื่องเอ็นไขว้หน้าขาดขณะการแข่งขันระดับนานาชาติจนทำให้ชวดไปแข่งรายการชิงแชมป์โลกในปี 2010 เป็นคนอื่นคงผิดหวังจนแทบเลิกเล่น แต่สำหรับ คีแรน เขาผ่านอะไรที่หนักกว่านี้มาเเล้ว ดังนั้นแค่นี้ "จิ๊บจ๊อย" เส้นทางนักยิมนาสติกในโอลิมปิกส์ของเขาไม่มีใครหยุดอยู่แล้วแม้แต่บททดสอบ(หรือกลั่นแกล้ง) ของเบื้องบนก็ตาม

13129198_809736762464539_1227
ไอค่อนของชาวสหราชอาณาจักร  
ปี 2011 ความพยามยามทั้งชีวิตส่งให้ คีแรน มีปีที่ดีที่สุดในอาชีพ เขาเข้าแข่งขัน European Championships ที่กรุงเบอร์ลินและ World Challenge Cup Series  และได้เหรียบเงิน กับเหรียญทองแดงมาครอง ตอนนี้เขาเก่งขึ้นเเล้วจริงๆ ไม่ว่าจะแพ้กี่ครั้งในอดีตดูเหมือนว่า มันไม่ได้บั่นทอนอะไรเขาเลย

รายการสุดท้ายช่วงปลายปีอย่าง  World Championships ที่โตเกียว  เดินทางมาถึง นี่คือสังเวียนที่จะชี้วัดว่า คีแรน จะไปโอลิมปิกส์ได้หรือไม่  ทว่าเรื่องฝีมือเขาไม่ห่วงอะไรอยู่แล้ว แต่ปัจจัยภายนอกอย่างเงินทุนต่างหากที่อาจจะดับฝันของเขาได้ง่ายๆ

ยิมนาสติกไม่ใช่กีฬาที่ชาวไอร์แลนด์นิยมดังนั้น การจะของบประมาณเดินทางไปแข่งขันถึงญี่ปุ่นจึงเป็นเรื่องยากมาก สภากีฬาไอริช และสมาคมยิมนาสติกแห่งประเทศไอร์แลนด์ ปัดข้อเรียกร้องของเขาทิ้งไป นั่นเท่ากับว่า คีแรน ต้องหาเงินอีก 12,000 ปอนด์ ภายในระยะเวลา 1 เดือนเพื่อเดินทางไปแข่งและจัดแจงที่พักเองเสร็จสรรพ ซึ่งเป็นไปได้ยากมากสำหรับคนที่รับจ็อบเป็นพนักงานซ่อมถนนอย่างเขา

คำคมที่ว่าการพยายามทำงานหนักอย่างไม่เว้นวรรค สักวันหนึ่งจะมีคนเห็นความตั้งใจของคุณนั้นเป็นเรื่องจริงๆ อย่างน้อยๆก็ คีแรน ล่ะที่เชื่ออย่างนั้น พ่อแม่ของเขาจัดงานระดัมทุนเพื่อส่งลูกชายไปแข่งที่ญี่ปุ่น หลายคนที่รู้จัก และได้รับรู้เรื่องราวของเขาก็พากันตั้งกองทุน “ส่งคีแรนสู่โตเกียว” ก่อนที่สุดท้ายก่อนเส้นตายไม่กี่วันเงิน 12,000 ปอนด์ ก็ถูกส่งมอบถึงมือของเขา หน้าที่ของคนอื่นจบลงแต่เพียงเท่านี้ ต่อจากนี้ไปเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะชี้ขาดว่าเงินที่ทุกคนพยายามหามาให้เขาจะคุ้มค่าหรือไม่

y-body-jumbo-v2
เขาเดินทางไปญี่ปุ่นและกลับมาถึงเเดนไอริชด้วยเหรียญทอง 3 เหรียญ ดังนั้นปี 2011 ที่ว่ากันว่าดีที่สุด ก็ยังดีไม่เท่าปี 2012 แน่ เพราะคะแนนสะสมของเขาผ่านฉลุย โอลิมปิกส์ 2012 ที่ ลอนดอน รอเขาอยู่ในฐานะนักกีฬายิมนาสติกคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ชาติไอร์แลนด์ที่ผ่านเข้ามาเล่นในระดับโอลิมปิกส์ต่อจาก แบร์รี่ แม็คโดนัลด์ ที่เคยทำไว้ในปี 1996

"เขากลับมาจากความพ่ายแพ้ทั้งหมดได้ตลอด มันคือเรื่องที่ยากที่สุดที่คนๆหนึ่งจะเจอ" ไซมอน เกล หนึ่งในโค้ชของ คีแรน ยังไม่อยากเชื่อว่าลูกศิษย์ของเขาทำได้  

คีแรน เดินลงสู่สนามการแข่งขัน ยิมนาสติก ในโอลิมปิกส์ปี 2012 อย่างเต็มภาคภูมิ มันเหมือนกับฉากในหนัง แต่ละก้าวของเขา นำมาซึ่งการนึกภาพย้อนไปในช่วงเวลาที่แสนจะลำบากและโชคร้าย เขามาไกลเกินกว่าจะต้องกลัว ทุกอย่างหลังจากนี้ คือ กำไรล้วนๆ

image
"ผมรู้สึกเหมือนกับอยู่ในเทพนิยายเมื่อมาถึงที่นี่ สิ่งที่ผมคิดอยู่ในหัวคือ ‘ฝันไปหรือเปล่าวะคีแรน’"

"ย้อนกลับไปมันห่างไกลกันมากกับสิ่งที่ผมเจอในช่วงไม่กี่ปีก่อน ขอบคุณทุกคนมากๆที่มีส่วนในการสนับสนุน และเชื่อมั่นในตัวผม เรี่ยวแรงของพวกเขา มีความหมายมากต่อสิ่งที่ผมเป็น"

เขาเองไม่ได้หวังว่าตัวเองจะได้เหรียญทอง หรือแม้กระทั่งเหรียญรางวัล เพราะต้องยอมรับว่าภาพนักยิมนาสิกชาวไอริชไม่ใช่สิ่งที่โลกคุ้นเคยนัก ชาติอื่นๆอย่าง อเมริกา,จีน,รัสเซีย และ ญี่ปุ่น คือเหล่าตัวเต็งที่ปฎิเสธไม่ได้ แต่การมาแข่งครั้งนี้คือต้องเต็มที่ที่สุด อย่างๆน้อย คีแรน ขอแค่รู้ว่าตัวของเขาเองพยายามมาแค่ไหนจึงมาอยู่จุดนี้เพื่อจะได้เจอกับเหล่านักยิมนาสติกที่เก่งที่สุดในโลกและรับรู้ว่าของจริงเป็นอย่างไร

ทีมสหราชอาณาจักร ได้เหรียญทองเเดงมาเพียงเหรียญเดียวจากทีมรวม (คีแรน ไม่ได้ลงเเข่ง) ขณะที่ประเภท Floor exercise และ Parallel bars เหรียญทองตกเป็นของนักเเข่งขันจากจีนทั้งหมด  คีแรนตกรอบ แต่เป็นการตกรอบด้วยรอยยิ้ม

000ac013-500
หลังจากโอลิมปิกส์ปี 2012 สิ้นสุดลงเรื่องราวของ คีแรน ถูกพูดถึงเยอะมากในแง่ของความเป็นนักสู้ สื่อจากอังกฤษพาเขาไปออกรายการ Late Late Night ซึ่งหลังจากเรื่องราวของออกอากาศไปก็เกิดกระเเสตอบรับดีมาก เขาคือแรงใจของคนที่กำลังหมดหวัง พร้อมกันนี้เขายังได้เป็นพรีเซนเตอร์ของบริษัทผลิตกระแสไฟฟ้าในไอร์แลนด์อีกด้วย  ตอนนี้เขาสามารถซ้อมได้เต็มที่ โดยไม่ต้องแบ่งเวลาไปทำงานขนอิฐขนปูนอีกเเล้ว

"ถามว่าผมมาอยู่ถึงจุดนี้ได้อย่างไร เหตุผลง่ายมากเพราะผมเป็นนักสู้โดยสายเลือด ไม่เชื่อคุณไม่ดูพ่อและแม่ของผมสิ" เขาปิดท้ายและมอบเครดิตทั้งหมดให้กับ 2 ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่เคียงข้างเขาเสมอ แม้ในวันที่เดินไม่ได้และตามองไม่เห็น

"ถ้าเรื่องของผมพอจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครได้ มันจะเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจมาก ผมอยากให้ทุกคนออกไปสู้ และทุ่มทุกอย่างที่พวกเขามี แค่นั้นจริงๆ"

"ในวันสุดท้ายของชีวิต เราอาจจะมองย้อนดูตัวเองและจะทบทวนในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด และพูดว่านี่แหละชีวิตของฉัน ก่อนจะถึงวันนั้นคุณจงมองโลกในแง่บวกเสียและเชื่อมั่นในตัวเองให้มากเข้า แม้ว่าที่สุดแล้วความพยายามของคุณจะสูญเปล่าก็ตาม"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook