House of Thai Football : นับถอยหลัง 9 เดือนสู่ "เอเชียน คัพ 2019"
House of Thai Football จะขอพาผู้อ่านนับถอยหลังสู่ทัวร์นาเม้นต์สำคัญระดับทวีป
ประเด็นสำคัญ
- ในช่วงปลายปี 2018 ต่อต้นปี 2019 ทีมชาติไทยชุดใหญ่มี 2 รายการระดับนานาชาติรออยู่
- รายการแรกคือฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน ที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน - 15 ธันวาคม
- และหลังปีใหม่ไม่กี่วันก็จะเป็น เอเชียน คัพ ครั้งที่ 17 ที่จะจัดขึ้น ณ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ 5 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2019
ก่อนจะถึงวันนั้น จะมีฟีฟ่าเดย์สำหรับเตรียมตัวเกิดขึ้นอีก 2 ครั้ง คือในวันที่ 3-11 กันยายน และ 8-16 ตุลาคม ซึ่งถือว่าห่างจากคิงส์คัพราว 5 เดือนด้วยกัน
หลังจากที่ผ่านพ้นรอบคัดเลือกไปเมื่อวันอังคารที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา เอเชียน คัพ ก็ได้ 24 ทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย
สำหรับทีมชาติไทย เอเชียน คัพ ที่กำลังจะมีขึ้น ณ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในวันที่ 5 มกราคมศกหน้า ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2007 หลังจากห่างหายไปนานกว่าทศวรรษ
โดยตอนนี้ได้มีการจัดอันดับทีมวางออกเป็น 4 โถด้วยกันในเบื้องต้น ก่อนจะมีการสรุปสุดท้าย หลังจากที่มีการประกาศฟีฟ่าแรงกิ้งออกมาในวันที่ 12 เมษายน ซึ่งลูกทีมของ มิโลวาน ราเยวัช อยู่ในโถ 4 ร่วมกับ ฟิลิปปินส์, บาห์เรน, จอร์แดน, เยเมน และเติร์กเมนิสถาน
ส่วนอีกทีมร่วมอาเซียนอย่างเวียดนาม อยู่ในโถ 3 ร่วมกับ อุซเบกิสถาน, อิรัก, อินเดีย, กาตาร์ และเกาหลีเหนือ
สำหรับทีมในโถ 2 ได้แก่ จีน, คีร์กีซสถาน, ซีเรีย, เลบานอน, ปาเลสไตน์ และ โอมาน
ขณะที่ทีมวางในโถ 1 ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (เจ้าภาพ), อิหร่าน, ออสเตรเลีย แชมป์เก่า, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และ ซาอุดีอาระเบีย โดยจะมีการจับสลากแบ่งสายในวันที่ 4 พฤษภาคม
โดยในรอบน็อคเอ้าท์ ทีมแชมป์และรองแชมป์กลุ่มจะผ่านเข้าไปเล่นโดยอัตโนมัติ บวกกับ 4 ทีมอันดับ 3 ที่มีผลงานดีที่สุด
สำหรับทัพช้างศึก สามารถผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอ้าท์ได้เพียงครั้งเดียวเมื่อปี 1972 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ และคว้าอันดับ 3 ได้ในปีดังกล่าว
9 เดือนก่อนเอเชียน คัพ กับอีก 2 ฟีฟ่าเดย์
หลังจากที่ผ่านคิงส์คัพไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็จะมีการทิ้งช่วงห่างไปอีก 5 เดือน กับโปรแกรมฟีฟ่าเดย์อีก 2 ครั้ง คือในวันที่ 3-11 กันยายน และ 8-16 ตุลาคม ขณะที่รายการชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนหรือเอเอฟเอฟ คัพ จัดตรงกับฟีฟ่าเดย์ในช่วงเดือนพฤศจิกายนพอดี
แน่นอนว่าคงไม่ใช่ระยะเวลาที่เพียงพอสำหรับการเตรียมทีมก่อนทัวร์นาเม้นต์ระดับนานาชาติทั้งในระดับอาเซียนและเอเชีย
เพราะหากเทียบกับเวลส์ทีมม้ามืดประจำทัวร์นาเม้นต์ยูโร 2016 เมื่อ 2 ปีก่อน พวกเขาเริ่มเก็บตัวตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม ก่อนจะเริ่มต้นเกมแรกในวันที่ 11 มิถุนายน เท่ากับว่ามีเวลาเตรียมตัวยาวๆ ถึง 18 วันเลยทีเดียว
หรืออย่างเยอรมนีที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 โยอาคิม เลิฟ พาลูกทีมเก็บตัวที่อิตาลีตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม ก่อนจะบินไปยังบราซิลและลงเล่นในเกมแรกกับโปรตุเกสวันที่ 16 มิถุนายน เป็นระยะเวลา 23 วันด้วยกัน
ดังนั้นการให้นักเตะได้มีเวลารวมตัวฝึกซ้อมกับทีมชาติในช่วงพักเลกแรก พร้อมกับคืนฟีฟ่าเดย์ในเดือนกันยายน อันเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของ โตโยต้า ไทยลีก ถือเป็นหนึ่งทางเลือกสำหรับการเตรียมความพร้อมก่อนศึกใหญ่
เนื่องจากเป็นช่วงระยะเวลาก่อนที่ฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้ายที่รัสเซียจะระเบิดขึ้น และเป็นเรื่องปกติในช่วงนั้นที่บรรดาชาติต่างๆ จะหาทีมมาเตะอุ่นเครื่อง
โดยเฉพาะประเทศยุโรป นี่ถือว่าเป็นการอุ่นเครื่องครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะเริ่มเตะ ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 6 กันยายน นั่นหมายความว่าหลังจากนี้ไปอีก 2 ปี พวกเขาจะลงเตะกับทีมในทวีปเดียวกันเองในช่วงฟีฟ่าเดย์
ซึ่ง มาโน่ โพลกิ้ง อดีตผู้ช่วยผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ที่ตอนนี้เป็นเฮดโค้ช ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด มองว่าเป็นเรื่องดีที่จะใช้เวลาในช่วงปิดเลกซักซ้อมแทคติก พร้อมกับนำผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาฝึกซ้อมร่วมกับทีม เนื่องจากมีเวลาเพียงพอในการทำความเข้าใจกับแทคติกของโค้ช โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปตั้งแคมป์ยังต่างแดน
โดยอดีตนักเตะอาร์เมเนีย บีเลเฟลด์ ทีมในเยอรมนีกล่าวว่า "การที่ทีมชาติไทยมีแผนไปเก็บตัว ณ ทวีปยุโรป ถือเป็นเรื่องดีเนื่องจากเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้ง่ายๆ เนื่องจากมาตรฐานของยุโรปถือเป็นอีกระดับที่ไม่เหมือนกับสิ่งที่พวกเขาเคยเจอ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมต่างๆ ทั้งในและนอกสนาม ถือเป็นประโยชน์ต่อนักเตะ”
"เพราะการเก็บตัวในยุโรป จะทำให้ทีมมีสมาธิจดจ่อกับเรื่องในสนามมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการละลายพฤติกรรมภายในทีม และเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากเดิม"
เวทีทดสอบแข้งหน้าใหม่
จากการที่ 4 นักเตะที่ค้าแข้งในต่างแดนอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธีรศิลป์ แดงดา, ธีราทร บุญมาทัน และ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ จะไม่สามารถลงเล่นในเอเอฟเอฟ คัพ เนื่องจากคาบเกี่ยวกับฟุตบอลลีกของต้นสังกัดในญี่ปุ่นและเบลเยียม
โดยฟุตบอลเจลีกจะปิดฤดูกาลในวันที่ 1 ธันวาคม และถ้าหากได้เข้ารอบชิงชนะเลิศเอ็มเพอเรอร์ส คัพ ก็จะเตะกันจนถึงวันขึ้นปีใหม่ ส่วนพร็อกซิมุส ลีก ของเบลเยี่ยม ตามธรรมเนียมแล้วจะยังมีการโรมรันกันอยู่จนกว่าจะใกล้ถึงช่วงคริสต์มาส ขณะที่ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 8 พฤศจิกายน จนถึง 15 ธันวาคม
ทำให้ มิโลวาน ราเยวัช อาจต้องใช้ผู้เล่นหน้าใหม่ในการป้องกันแชมป์อาเซียนหนนี้ และมีความจำเป็น ที่จะต้องมีเวลาเพิ่มขึ้นจากเดิมในการซักซ้อม ทำความเข้าใจกับแทคติกที่โค้ชพยายามใส่ลงไป
"ส่วนปัญหาที่ผ่านมาเรามีเวลาเตรียมทีมน้อย เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับการฟื้นฟูสภาพร่างกายนักเตะ ทำให้เราแทบไม่ได้ฝึกซ้อมเกี่ยวกับแทคติคการเล่นเลย ทำให้ผมอยากจะหาเวลาเตรียมทีมเพื่อพัฒนานักกีฬาสำหรับรายการใหญ่ในปลายปีนี้" กุนซือชาวเซิร์บให้เหตุผล
"ทีมชาติไทยจะไม่มีโปรแกรมการแข่งขันฟีฟ่าเดย์จนถึงเดือนกันยายน ซึ่งเวลา 5-6 เดือนนี้มันนานเกินไป และอาจจะส่งผลต่อการเตรียมทีมสำหรับการแข่งขันรายการสำคัญในปลายปีนี้คือ เอเอฟเอฟ คัพ และเอเชียน คัพ ทำให้ผมอยากจะตั้งแคมป์ฝึกซ้อมในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม"
"แม้จะไม่ใช่ช่วงฟีฟ่าเดย์ แต่เป็นช่วงที่หลายทีมเตรียมทีมสำหรับฟุตบอลโลก และเป็นช่วงที่ลีกยุโรปปิดพอดี ซึ่งตอนนี้ก็มีหลายทีมติดต่อมายังสมาคมฯ เข้ามาขออุ่นเครื่องกับทีมชาติไทย"
"ผมทราบดีว่าปีนี้มีการตกชั้น 5 ทีม ซึ่งในช่วงท้ายซีซั่นทุกทีมต่างต้องการเร่งทำผลงานและขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น ซึ่งหากมีช่วงฟีฟ่าเดย์เข้ามาอาจทำให้โมเมนตัมของการแข่งขันสะดุด”
"เพื่อให้การแข่งขันไทยลีกดำเนินต่อไปและไม่เป็นการรบกวนสโมสร ผมจึงอยากสละโปรแกรมฟีฟ่าเดย์ในช่วงเดือนกันยายน ดังนั้นผมจึงขอความร่วมมือให้สโมสรปล่อยตัวนักเตะมาร่วมเข้าแคมป์เก็บตัวในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้"
เช่นเดียวกับทีมชุดเอเชียน เกมส์ ที่สามารถใช้ช่วงเวลาเดียวกันในการเตรียมทีมสำหรับมหกรรมกีฬาแห่งทวีป ที่จะมีขึ้น ณ ประเทศอินโดนีเซีย ในวันที่ 15 สิงหาคม
"หลังจากกลับจากจีน เราไม่มีช่วงซ้อมเลย ถ้าชุดนี้สโมสรให้ความร่วมมือ หากเราได้เก็บตัวช่วงนี้สักครั้ง ผมคิดว่าจะเป็นผลดีมาก" วรวุธ ศรีมะฆะ หัวหน้าผู้ฝึกสอนกล่าว
"เพราะหากผ่านช่วงนี้ไปเราก็ไม่มีเวลาเลย ถ้าเราได้รับความร่วมมือจากสโมสรในการปล่อยนักเตะเข้าแคมป์เก็บตัวในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้น่าจะส่งผลดีต่อเรา"
"ทีมที่เล่นเอเชียน เกมส์ ครั้งนี้ล้วนมีศักยภาพสูงที่จะคว้าเหรียญรางวัล ถ้าเรามีการเตรียมทีมที่ดี ผมคิดว่าเรามีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ผมจึงขอความร่วมมือกับทุกสโมสรด้วยครับ"
เขียน/เรียบเรียง : ศุภโชค อ่วมกลัด
ที่ปรึกษา : พาทิศ ศุภะพงษ์