นิทานเรื่อง 'แจ็คผู้ฆ่ายักษ์'

นิทานเรื่อง 'แจ็คผู้ฆ่ายักษ์'

นิทานเรื่อง 'แจ็คผู้ฆ่ายักษ์'
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอล: ผมว่าคุณผู้อ่านหลายคนเมื่อครั้งวัยเยาว์น่าจะเคยผ่านนิทานเรื่อง "แจ็คผู้ฆ่ายักษ์" ซึ่งเป็นหนึ่งในนิทานอมตะที่แม้ปัจจุบันอ่านให้เด็กคนไหนฟังก่อนนอนก็ต้องคล้อยหูฟังจนผล็อยหลับไปทุกที

เรื่องราวของเด็กน้อยผู้ยากไร้ที่มีจิตใจดีงามผู้ชื่อว่า แจ็ค ที่ดันเอาวัวตัวสุดท้ายของครอบครัวซึ่งตอนแรกกะจะเอาไปขาย ไปแลกกับถั่วถุงหนึ่งจากชายพเนจร โดนแม่ด่ายกใหญ่ว่าไม่มีสมองที่ทำอะไรแบบนั้นลงไป

พร้อมกับขว้างถั่วทิ้งออกไปนอกบ้าน พอเช้าขึ้นมาถั่วกลับแทงต้นใหญ่และสูงเสียดฟ้า แจ็ค จึงปีนขึ้นไปบนยอดเมฆ กลับพบกับปราสาทของยักษ์ผู้โหดร้าย ที่เลี้ยงไก่ซึ่งออกไข่เป็นทองคำ รวมทั้งทรัพย์สมบัติมหาศาล

แจ็ค ขโมยทุกอย่างออกมา แต่เจ้ายักษ์ร้ายรู้ทัน พยายามไล่ตาม แต่ แจ็ค ปีนต้นถั่วได้เร็วกว่า เมื่อลงถึงพื้นจึงตัดสินใจโค่นต้นถั่วนั้นทิ้ง ทำให้ยักษ์หล่นลงมาตาย และทรัพย์สมบัติก็ทำให้ แจ็ค และแม่ของเขามีชีวิตอย่างมั่งคั่งตลอดมา

พอเป็นนิทานมันใช้เวลาเขียนแค่ไม่กี่บรรทัด แต่ในเกมลูกหนังที่เป็นเกม "ล้มยักษ์" มันใช้เวลากว่าชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว

2 ทีมล้มยักษ์ประจำเอฟเอ คัพ ปีนี้ จะรวม เบนท์ฟอร์ด ก็ยังได้ แค่เสมอแชมป์เก่าได้ก็หล่อแล้ว

นิทานเรื่องนี้ถูกเอาไปเปรียบกับเกมการแข่งขันฟุตบอลรายการที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในยุโรปอย่าง "เอฟเอ คัพ" ของ อังกฤษ ซึ่งที่ผ่านมาก็ชัดเจนว่ากติกาการแข่งขันที่ตัดสินกันที่นัดเดียวจบ มันมีอะไรมากกว่าที่เราจะสามารถคาดคะเนได้

เข้าตำรา "ฟุตบอลลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้" ผมว่าคอลูกหนังทั้งหลายน่าจะเคยเห็นบอลพลิกมาแล้วจากหลายๆ รายการ แต่ผมยังแอบมั่นใจว่ารายการอย่าง "เอฟเอ คัพ" น่าจะเป็นรายการที่มีการพลิกล็อกมากที่สุดในฟุตบอลถ้วยทุกรายการของยุโรปในเวลานี้

เพราะอย่างในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีหลายทีมใหญ่ของลีกสูงสุดหล่นร่วงกันเป็นเส้นผมไม่ว่าจะเป็น ลิเวอร์พูล หรือ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ หากจะย้อนรอยการ "ล้มยักษ์" ของฟุตบอลถ้วยรายการนี้ เฉพาะแค่ในฤดูกาลนี้คงต้องเริ่มนับตั้งแต่รอบ 3 ซึ่งเป็นรอบแรกที่ทีมจากพรีเมียร์ลีกหลายทีมจะต้องลงทำการแข่งขัน

หลังรอบแรกและรอบ 2 เป็นการพบกันของทีมจากลีกรองล้วนๆ ใครรองกว่าใครแค่นั้นเอง และแค่เฉพาะรอบ 3 ก็มีทีมอย่าง นิวคาสเซิ่ล, เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน, ซันเดอร์แลนด์, เวสต์แฮม และ สวอนซี ที่เป็นผู้โชคร้ายต้องตกรอบไปตั้งแต่ไก่โห่

คิดง่ายๆครับรอบแรกที่ทีมจากลีกสูงสุดของพรีเมียร์ลีกลงเล่นหล่นไปแล้ว 5 จากทั้งหมด 20 ทีม นับเป็นอัตราส่วน 1 ใน 4 เลยทีเดียว

และถ้าไม่นับทีมที่ตกรอบเพราะเจอทีมจากพรีเมียร์ลีกด้วยกันก็จะมี 2 ทีมอย่าง นิวคาสเซิ่ล (แพ้ ไบรท์ตั้น) และซันเดอร์แลนด์ (แพ้ โบลตัน) ที่แพ้ทีมจากลีกที่เป็นรองกว่า นับเป็นอัตราส่วน 2 ใน 5 นั่นหมายถึงเกือบครึ่งคือการตกรอบจากทีมที่มีจากลีกรองกว่านั่นเอง รอบ 3 ร่วงไป 5 มาดูรอบ 4 กันมั่งนะครับที่ร่วงไปแล้วประกอบไปด้วย แอสตัน วิลล่า, สโต๊ค ซิตี้, นอริช ซิตี้, ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส, ฟูแล่ม และลิเวอร์พูล รวมเป็น 6 ทีมพอดิบพอดี

ซึ่งชัดเจนว่าสถิติการตกรอบของทีมใหญ่ยังคงเส้นคงวาอย่างต่อเนื่อง นี่ยังไม่รวม เชลซี อดีตแชมป์ของปีที่ผ่านมาที่กระเสือกกระสนตีเสมอ เบรนท์ฟอร์ด ทีมจากลีกวัน

และต้องไปเตะรีเพลย์กันอีกรอบในอนาคตข้างหน้า ซึ่งถ้าหาก "สิงห์บลูส์" ไม่สามารถผ่านไปได้ก็สิริรวมเป็น 7 ทีม รวมจากรอบ 3 ที่ผ่านมาก็ปาไป 12 ทีม นั่นหมายความว่าทีมจากพรีเมียร์ลีก ลงเล่นไป 2 รอบ ตกรอบไปแล้วเกินกว่าครึ่งนั่นเอง ณ บัดนาว เหลืออีกเพียง 8 ทีมครึ่ง (อีกครึ่งคือ เชลซี) ที่ยังอยู่รอดในรอบที่ 5 หรือรอบ 16 ทีมสุดท้ายต่อไป ซึ่งหากจะให้พูดกันตามตรงก็คาดเดาไม่ได้จริงๆ ว่าใครเป็นเต็ง 1 ที่จะคว้าถ้วยแชมป์ในรายการนี้ไปครอง

ดูอย่างในรายการ "แคปิตอลวัน คัพ" ยังเป็นการลุ้นแชมป์กันระหว่างทีมจากลีกทู (แบร็ดฟอร์ด) กับทีมหนีตกชั้นในพรีเมียร์ลีก (แอสตัน วิลล่า) กันซะงั้น เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นรายการได้เรียกได้ว่าลุ้นกันมันหยด ซดกันจนตายไปข้างหนึ่งรายการนึงทีเดียว

ที่น่าสนใจและน่าติดตามก็คือ

ใครจะเป็น "แจ็ค" และใครจะเป็น "ยักษ์" รายต่อไป


เรียบเรียง โดย: อธิคม ภูเก้าล้วน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook