King of Anfield
ใครจะคิดว่าคนที่ช่วยอุ้มเคนนี่ ดัลกลิชกลับสู่สถานภาพราชันแห่งแอนฟิลด์อีกครั้ง หลังจากเกือบสิ้นบารมีที่รีบอค สเตเดี้ยมหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านั้น จะเป็นสองทีมแห่งแมนเชสเตอร์ไปได้
การพ่ายแพ้ต่อโบลตัน 1-3 ในเกมพรีเมียร์ลีกนัดล่าสุด ทำให้ลิเวอร์พูลถูกวิจารณ์ยับถึงฟอร์มการเล่นที่ห่วยแตก แม้แต่คิงเคนนี่เองก็ยังปรี๊ดแตกออกมร่วมเฉ่งลูกทีมด้วยว่าเล่นแบบไร้สปิริต แต่ตัวเขาเองก็ไม่รอดจากการตกเป็นจำเลยในวิกฤติศรัทธาครั้งนี้เช่นกัน เพราะนำทีมเก็บได้แค่ 6 คะแนนจาก 6 นัดหลังสุดในลีก
กุนซือมหาชนของเหล่าเดอะค็อปเริ่มถูกตั้งคำถามถึงสไตล์การคุมทีมของเขา รวมถึงการเลือกซื้อนักเตะของเขา แต่ผู้จัดการทีมที่ดีก็ไม่ต่างจากนักเตะที่ดี นั่นคือต้องตอบสนองได้ดีในเวลาที่ต้องการ
ดัลกลิชออกโรงวิจารณ์นักเตะของเขาผ่านสื่อทันทีหลังเกมที่รีบอค สเตเดี้ยม เพื่อกระตุ้นต่อมให้ได้นึกถึงเกียรติยศและความภาคภูมิใจของการได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ โดยเฉพาะในฐานะนักเตะของลิเวอร์พูล
“พื้นฐานของสโมสรฟุตบอลถูกสร้างขึ้นบนการให้ความนับถือต่อคนอื่นๆ บนปรัชญาที่ว่าเกมต่อไปคือเกมที่สำคัญที่สุดเสมอ ไม่ใช่เกมที่รออยู่อีกสองหรือสามนัดข้างหน้า” คิงเคนนี่ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมกับโบลตัน ซึ่งมีขึ้นก่อนสองเกมบอลถ้วยนัดสำคัญของหงส์แดง
“ถ้านักเตะคิดว่าพวกเขาแค่มาลงเล่นแล้วก็จะชนะได้ โดยไม่ได้พยายามมากเท่ากับคู่ต่อสู้ พวกเขาก็จะได้รับบทเรียนเหมือนกับที่ได้รับในเกมนี้ ถ้าปัญหาอยู่ตรงนั้น ถ้าพวกเขาคิดว่าเกมนี้ไม่สำคัญเท่ากับเกมหน้าก็ไม่เป็นไร แต่พวกเขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่อีก”
การอุทิศตัวให้กับสโมสรแบบนั้นคือสิ่งที่ดัลกลิชถูกหล่อหลอมขึ้นมา การคาดหวังและการเรียกร้อง ซึ่งเขาได้เรียนรู้มาตั้งแต่ยุคของปรมาจารย์บิล แชงค์ลี่ แม้ว่าจะไม่เคยได้ลงเตะในทีมของเขาก็ตาม
ดัลกลิชย้ายไปร่วมทีมลิเวอร์พูลในปี 1977 ตอนที่บ็อบ เพสลี่ย์ ทายาทจากบูทรูมสตาฟฟ์ของแชงค์ลี่ย์ นั่งเก้าอี้ผู้จัดการทีมอยู่ แต่ก่อนหน้านั้น 11 ปี เจ้าหนูดัลกลิชในวัยกระเตาะเคยไปทดสอบฝีเท้ากับหงส์แดงมาแล้ว แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ
แต่เขาก็มีโอกาสได้เห็นแชงค์ลี่ให้นิยามถึงความสัมพันธ์ระหว่างนักเตะกับสโมสร ในระหว่างการถกเถียงกันเรื่องอาการบาดเจ็บของทอมมี่ สมิธ กองหลังของทีมในตอนนั้น
“ถอดผ้าพันแผลนั่นออกซะ แล้วที่บอกว่าเข่าของนายน่ะหมายถึงอะไร นั่นมันเข่าของลิเวอร์พูลโว้ย” แชงค์ลี่ประกาศิต
ความภาคภูมิใจของการได้เป็นส่วนหนึ่งของสโมสรลิเวอร์พูลถูกตอกย้ำโดยเพสลี่ย์ ซึ่งเคยบอกว่า “สโมสรนี้คือชีวิตของผม ผมจะออกไปกวาดถนนด้วยความรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ทำสิ่งนั้นให้กับสโมสรลิเวอร์พูลถ้าหากถูกขอให้ทำ”
การอุทิศตัวแบบนั้นเป็นสิ่งที่คิงเคนนี่ไม่ได้เห็นจากลูกทีมที่รีบอค สเตเดี้ยม แต่หลังจากอบรมนักเตะทั้งตัวต่อตัวและผ่านสื่อไปเรียบร้อยแล้ว บรรดาสตาร์ของหงส์แดงก็ฮึดกลับมากู้หน้าคืนได้ในเกมสำคัญที่แอนฟิลด์สองนัดล่าสุด
หลังเกมกับโบลตัน ลิเวอร์พูลมีคิวเตะคาร์ลิ่งคัพรอบตัดเชือกนัดที่สองกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในช่วงกลางสัปดาห์ หลังจากฉกฉวยความได้เปรียบไว้แล้ว ด้วยการบุกไปเฉือนชัยเรือใบสีฟ้า 1-0 ในการพบกันนัดแรก
แม้จะโดนนำไปก่อนถึงสองครั้งสองคราในเกมที่สอง แต่หงส์แดงก็ตามตีเสมอได้สำเร็จ และสกอร์ 2-2 ก็เพียงพอที่จะส่งให้ทีมผ่านเข้าสู่เวมบลีย์เพื่อลงเตะนัดชิงชนะเลิศกับคาร์ดิฟฟ์ต่อไป
หลังจากนั้นลิเวอร์พูลก็มีคิวต้องล้างตากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในเกมเอฟเอคัพรอบ 4 หลังเคยปราชัยตกรอบ 3 มาเมื่อปีที่แล้ว
บรรยากาศในเกมยังคงเข้มข้น โดยเฉพาะเมื่อมีประเด็นระหว่างหลุยส์ ซัวเรซกับปาทริซ เอฟร่ามาเป็นตัวกระตุ้น และแท็กติกของดัลกลิชก็ได้ผลเมื่อส่งแอนดี้ คาร์โรลล์ลงไปสร้างปัญหาให้แนวรับและผู้รักษาประตูของแมนฯ ยูไนเต็ด จนทีมได้ประตูขึ้นนำจากลูกโหม่งของแดเนี่ยล แอ็กเกอร์
หลังจากนั้นผีแดงที่มีพอล สโคลส์เป็นจอมทัพกลับเป็นฝ่ายคุมเกมได้ดีกว่า และตีเสมอได้จากปาร์คจีซอง แต่ก็ไม่สามารถฉกฉวยโอกาสที่มีอยู่เอาไว้ได้ จนกระทั่งดัลกลิชแก้เกมด้วยการส่งเดิร์ค เค้าท์, ชาร์ลี อดัม และเคร็ก เบลลามี่ลงไปเป็นตัวสำรองในช่วงท้ายเกม
เค้าท์มาทำประตูชัยให้ทีมก่อนหมดเวลาสองนาทีจากจังหวะสวนกลับ และส่งผลให้ลิเวอร์พูลกำราบทีมยักษ์ใหญ่จากแมนเชสเตอร์ลงได้เป็นทีมที่สองติดต่อกัน เรียกศรัทธาและความมั่นใจกลับคืนมาได้อีกครั้ง แม้จะยังไม่ใช่ฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดก็ตาม
คิงเคนนี่ผ่านมรสุมระลอกใหญ่ไปได้ในครั้งนี้ และงานหนักของเขายังต้องดำเนินต่อไป แต่เขาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าถ้านักเตะเล่นแบบถวายหัว และกองเชียร์ยังคงให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ราชันคนนี้ก็พร้อมจะนำความสำเร็จกลับมาสู่
ถิ่นแอนฟิลด์ให้ได้อีกครั้ง
เรื่องโดย "เบบี่แบร์"