แค่ 3 นัด ดูเหมือน โจเซ่ มูรินโญ่ จะสามารถตอบทุกคำถามที่ เดวิด มอยส์ และ หลุยส์ ฟาน ฮาล ตอบไม่ได้ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยเป็นทีมเช่นไร
ภาพมันปรากฏชัดจนแทบจะทับซ้อนกับภาพความทรงจำของทีมที่ยิ่งใหญ่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในอดีตของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
มันอาจจะไม่เหมือนทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียง
บางคนอาจจะจดจำแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฐานะทีมที่เล่นฟุตบอลได้สนุก ดุดัน เร้าใจ และไม่เคยยอมแพ้ ซึ่งก็เป็นหนึ่งใน “เสน่ห์” ที่ทำให้เกิดสาวกอสูรแดงขึ้นมากมายทั่วโลกตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา
แต่สำหรับ มูรินโญ่ สิ่งที่เขาจดจำแมนฯ ยูไนเต็ด ได้ชัดเจนที่สุดไม่ใช่การเล่นฟุตบอลเกมรุก
ในความทรงจำของ The Special One ทีมทีมนี้คือ Winning team หรือทีมที่เล่นอย่างไรก็ชนะ
นั่นคือสิ่งที่ มูรินโญ่ ต้องการให้ยูไนเต็ดเล่นและเป็น และสาส์นนั้นได้ถ่ายทอดสู่เหล่าลูกทีมของเขาอย่างชัดเจน และมันก็ได้รับการพิสูจน์ให้เห็นในเกมที่ KCOM สเตเดี้ยม เมื่อแมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งเล่นได้ไม่ดีนักตลอดทั้ง 90 นาที ยังสามารถเก็บชัยชนะได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
ชัยชนะในช่วงที่เคยเรียกขานกันว่าเป็น "Fergie time" หรือช่วงเวลาของเฟอร์กี้
มันอาจจะเป็นชัยชนะเหนือทีมเล็กๆอย่างฮัลล์ แต่มันจะเป็นการ “จุดประกาย” สู่การกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ของพวกเขาอีกครั้ง
3 แต้มนี้จึงเป็นชัยชนะที่ล้ำค่าอย่างแน่นอนครับ
และชัยชนะครั้งนี้ทำให้คำถามที่เกิดขึ้นตลอด 90 นาทีในเกมเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาแทบจะถูกลืมไป ไม่ว่าจะเป็นฟอร์มการเล่นของ ปอล ป็อกบา ที่ยังห่างไกลจากฐานะนักฟุตบอลเจ้าของค่าตัวแพงที่สุดในโลก
เช่นกันกับอาการหนืดของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่แม้จะแสดงให้เห็นถึง “ทีเด็ด” ในบางลูกที่ยาก แต่ในหลายลูกที่เล่นง่าย ซลาตัน เมื่อเจอแนวรับที่ “ตั้งใจ” และ “เตรียมใจ” มาดวลกับเขาเช่นนี้ทำให้แทบจะเล่นไม่ออกเหมือนกัน
และเรื่องของ เฮนริค มคิตาเรียน กองกลางพลังไดนามิคว่าจะได้โอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงในทีมเมื่อไหร่?
ยังไม่นับอีกคำถามที่ผมทดไว้ในใจก่อนคือเรื่อง “แผน” ของยูไนเต็ด ที่ดูเหมือนว่า มูรินโญ่ จะไม่ได้มีแผน A B หรือ C ที่ชัดเจนมากนัก
ยูไนเต็ด เล่นกันเหมือนรถที่มีเกียร์เดียว แถมยังเป็นเกียร์ CVT ที่ออกตัวอืดๆหนืดๆจะกดคันเร่งเกียร์ก็ไม่ตอบสนองมากสักเท่าไหร่
หากจะบอกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ขึงเกมใส่ฮัลล์ได้ไหม? ภาพมันฟ้องชัดครับว่า “ใช่”
แต่การขึงเกมของยูไนเต็ดที่เห็นจากเกมนี้แตกต่างจากการขึงเกมในยุคของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่จะสร้างแรงกดดันให้กับคู่ต่อสู้อย่างหนักหน่วง ต่อเนื่อง จนแทบไม่ได้หายใจหายคอ
อย่างไรก็ตาม ทุกคำถามเวลานี้ไม่มีความหมายครับ
เพราะสุดท้ายยูไนเต็ดก็ชนะ และนั่นคือสิ่งสำคัญที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามและหาคำตอบอะไรให้มากความอีก
สิ่งที่น่ากลัวคือหาก ยูไนเต็ด ทีมที่เติมผู้เล่นใหม่เข้ามาแค่ 4 รายในช่วงปิดฤดูกาล สามารถเปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือ และสามารถเก็บชัยชนะรวดได้ 3 นัดแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในฟอร์มการเล่นระดับท็อปพีค โดยที่นักเตะใหม่อย่าง ป็อกบา, มคิตาเรียน หรืออิบราฮิโมวิช ยังไม่ได้เล่นใกล้เคียงกับระดับการเล่นสูงสุดที่ทำได้
ทีมใดก็ประมาทพวกเขาไม่ได้ และบอกได้เลยครับว่าทีมแบบนี้ “น่ากลัว” เช่นกันกับน่าจับตาดูด้วยด้วยความใคร่รู้ว่า มูรินโญ่ จะรีดเค้นศักยภาพของทีมได้ดีกว่านี้อีกแค่ไหน
หรือจะเล่นดีบ้างไม่ดีบ้างแต่เก็บชัยชนะเรื่อยๆไปแบบนี้
พูดแล้วก็เหมือนตกอยู่ใน “เวลาปีศาจ”
ไม่จำเป็นต้องประจัญหน้า ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกหวาดผวาไม่ปลอดภัย
แต่อีกครึ่งใจก็อยากรู้ว่าปีศาจนั้นจะมีหน้าตาอย่างไร?
นิทานลูกหนัง
by ลูกแม่กิ่ง (lookmaeking@hotmail.com)