สกู๊ป : 5 เรื่องเด่นเกมบิ๊กแมตช์ "วันที่ปืนยังแพ้ทางสิงห์"
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
    //s.isanook.com/sp/0/ud/40/201041/jh.jpgสกู๊ป : 5 เรื่องเด่นเกมบิ๊กแมตช์ "วันที่ปืนยังแพ้ทางสิงห์"

    สกู๊ป : 5 เรื่องเด่นเกมบิ๊กแมตช์ "วันที่ปืนยังแพ้ทางสิงห์"

    2016-01-26T13:30:00+07:00
    แชร์เรื่องนี้

    ก่อนเสียงนกหวีดแรกในเกมที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม จะดังขึ้น นี่คือเกมที่แฟนบอล "ปืนใหญ่" เต็มไปด้วยแสงแห่งความหวัง

    เรื่องแรกคือต้องการจะกลับไปนั่งบนบัลลังก์จ่าฝูง หลังปล่อยให้ เลสเตอร์ ซิตี้ แซงขึ้นไปชั่วคราว เพราะลงแข่งในวันเสาร์

    การได้มาเจอกับ เชลซี ในนาทีนี้มันคือโอกาสอันดีงานที่จะเก็บ 3 คะแนน เพราะ เชลซี อยู่ในช่วงขาลง และไม่ได้เป็นทีมลุ้นแชมป์เหมือนกับซีซั่นที่ผ่านๆมา

    ยิ่งคนคุมทีมข้างสนามไม่ใช่ชายที่ชื่อ โจเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งเป็นหอกข้างแคร่ที่ อาร์แซน เวนเกอร์ ยังไม่เคยชนะได้เลยในพรีเมียร์ลีก

    มันยิ่งทวีคูณความมั่นอกมั่นใจว่ามันถึงเวลาแล้วที่ อาร์เซนอล จะปลดล็อกเกมลีกด้วยการเอาชนะคู่ปรับอย่าง "สิงโตน้ำเงินคราม" ได้เสียที

    แต่แล้วทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คิด พลพรรค "เดอะ กันเนอร์ส" ต้องเจอกับอีกหนึ่งเกมที่ไม่น่าจดจำ และเกมนี้เป็นอีกครั้งที่ต้องพ่ายแพ้ให้กับ เชลซี แบบที่ตัวผู้เล่นน้อยกว่า

    รายละเอียดของเกมมีอะไรที่น่าสนใจ มีอะไรที่ต้องหยิบมาพูดถึง เราของแบ่งเป็น 5 ประเด็นเด่นๆ ได้ดังนี้

    ดิเอโก้ คอสต้า

    หมดยุค ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา ที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้แฟนบอล อาร์เซนอล เข็ดขยาด นาทีนี้เหมือน เชลซี จะได้ตัวแทนที่สมน้ำสมเนื้อเข้ามาแทน

    ดิเอโก้ คอสต้า แข้งจอมซ่าชาวแซมบ้า กลายเป็นคีย์แมนสำคัญที่ช่วยชี้ชะตาเกม "ลอนดอน ดาร์บี้" อีกครั้ง หลังนัดแรกก็เป็นเขาที่สร้างจุดเปลี่ยนของเกมขึ้นมา

    หนก่อนไปป่วน กาเบรียล เปาลิสต้า ตบะแตกจนถูกไล่ออก เกมนี้ก็เป็นเพราะฝีเท้าของเขาที่ทำให้ แพร์ แมร์เตซัคเกอร์ ต้องโดนอัปเปหิออกไปอีกราย

    นอกจากนี้เจ้าตัวยังมีชื่อเป็นคนทำประตูชัยให้กับทีมอีกตั้งหาก ดังนั้นหากจะบอกว่า ดิเอโก้ คอสต้า คือผู้ชนะตัวจริงเสียงจริงของเกมนี้ก็คงจะไม่ผิดนัก

    จุดยุทธศาสตร์

    สาวก “เดอะ กันเนอร์ส” ส่วนใหญ่อาจจะโทษความเชื่องช้าของ แพร์ แมร์เตซัคเกอร์ ที่ทำให้ตัวเองโดนใบแดงจนเป็นต้นเหตุทำให้ทีมพ่ายแพ้

    บางกลุ่มก็โบ้ย อาร์แซน เวนเกอร์ ว่ารู้อยู่แต่แรกว่า แพร์ คือจุดอ่อน แต่ก็ไม่เลือก กาเบรียล เปาลิสต้า ลงมาเป็นตัวจริง

    เรื่องนี้จริงๆ ถือว่าพูดยาก อดีตกองหลังของ บีญาร์เอรัล อาจจะเล่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ความเข้าขารู้ใจกับ โลร็องต์ กอสเซียลนี่ นั้นยังเป็นรองเซ็นเตอร์ฮาล์ฟจากเยอรมัน

    ยิ่งเจ้าตัวมีคดีกับทาง ดิเอโก้ คอสต้า อยู่ก่อน หากลงตัวจริงแล้วมาตบะแตกอีกรอบ คนที่โดนด่าก็คงจะหนีไม่พ้นตัว เวนเกอร์ อีกอยู่ดี

    ถ้าบอกว่า แพร์ มีส่วนทำให้ทีมแพ้ ก็เป็นเรื่องที่เถียงลำบาก แต่ยุทธศาสตร์ที่ตัดสินเกมจริงๆ มันน่าจะอยู่ที่แผงกองกลางมากกว่า

    นับตั้งแต่ ฟรานซิส โกเกอแล็ง และ ซานติ กาซอร์ล่า เจ็บไป มิดฟิลด์คู่กลางของทีมก็ดูกลวงๆ และไม่แน่นเหมือนช่วงต้นฤดูกาล

    แรมซี่ย์ อาจจะเล่นได้ไม่ขี้เหร่ มีลูกขยัน มีการเติมเข้าไปในเขตโทษที่ทำได้ดี แต่ระเบียบวินัยในการเล่น การยืนตำแหน่ง บวกการคุมจังหวะ ตรงนี้ยังสอบตกเหมือนเคย

    มาติเยอ ฟลามินี่ เป็นอีกคนที่ถูกพูดถึงเยอะ เรื่องเกมรับเจ้าตัวทำได้แค่วิ่งประคอง หรือตัดฟาวล์เท่านั้น หลายครั้งหลายคราบอลรุกของคู่แข่งมักจะมาถึงหน้าเขตโทษอยู่เสมอ

    เหมือนกับจังหวะที่ แพร์ โดนใบแดง มันก็เกิดจากเกมสวนกลับ หากแดนกลางมีตัวมาชะลอเกม หรือเบรกได้ก่อน จังหวะแทงทะลุช่องก็คงจะไม่เกิดขึ้น

    ซึ่งตรงนี้แท็กติกของ กุส ฮิดดิ้งค์ ที่เตรียมมาถือว่าได้ผล การส่งมิดฟิลด์ตัวรับ 2 คนทั้ง เนมานย่า มาติช และ จอห์น โอบี มิเกล ทำให้เกมแดนกลางของ เชลซี ดูแน่น

    ขณะที่เกมรุก เชส ฟาเบรกาส และ วิลเลี่ยน ก็อาศัยพื้นที่ว่างเวลาที่ อาร์เซนอล ขึ้นเกมสูง เข้าจู่โจม สร้างโอกาสให้กับทีมได้ตลอด

    ผิดแผน

    การเปลี่ยน โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ออกเป็นอีกประเด็นที่มีการพูดถึงกันอย่างมาก หลายคนฟังธงว่ามันคือการตัดสินใจที่ผิดพลาดของ อาร์แซน เวนเกอร์

    หากดูเกมตลอด 90 นาทีมันก็ใช่ อาร์เซนอล ขาดตัวพักบอลในเขตโทษ ขาดตัวเข้าชาร์จพังประตู เพราะก็มีอยู่หลายครั้งที่พวกเขาขึ้นเกม แต่ทำได้แค่เคาะไปเคาะมาที่ข้างสนาม

    อย่างไรก็ตาม ตรงนี้ก็ค่อนข้างน่าเห็นใจกุนซือชาวฝรั่งเศสอยู่เช่นกัน เพราะเจ้าตัวก็มีแผนอยู่เช่นกัน คือต้องการโจมตีด้วยเกมสวนกลับ ซึ่ง วัลค็อตต์ กับ แคมป์เบลล์ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ใช้พื้นที่ว่างในแนวรับของ เชลซี ได้ดีกว่า

    ซึ่งตอนที่เปลี่ยนตัวเกมมันยัง 0-0 ด้วยผู้เล่นที่มากกว่า ยังไง เชลซี ก็คงไม่หวังแค่เสมอแน่ ทว่าพอโดนนำไว มันก็เหมือนผิดแผนไปหมด เชลซี ไม่ดันเกม หมากที่วางไว้ก็กลายเป็นอัมพาตทันที

    ธีโอ วัลค็อตต์

    เป็นการฉลองครบรอบ 10 ปีภายใต้สีเสื้อ อาร์เซนอล ที่ไม่น่าจดจำเลยสำหรับหัวหอกเจ้าสปีดวัย 26 ปี

    แม้จะได้รับเกียรติสวมปลอกแขนกัปตันทีม ได้รับความไว้วางใจให้อยู่ในสนาม ทั้งๆที่ควรจะเป็นตัวเลือกที่ถูกเปลี่ยนออกมากกว่า ชิรูด์

    ทว่าผลงานในสนามไม่มีอะไรเป็นใจให้สักอย่าง เกมที่แผงหลัง เชลซี ไม่ดันขึ้นสูง ทำให้เจ้าตัวไม่มีพื้นที่ ไม่มีโอกาสใช้ความเร็วที่ถนัด

    ลูกมหัศจรรย์ที่เคยยิง แมนฯ ซิตี้ ก็ไม่โผล่ในเวลาที่ต้องการ การจับบอลกระฉอก วิ่งทำทางที่ถูกจับล้ำหน้าตลอด ทุกอย่างมันดูแย่ไปหมดจริงๆ สำหรับ วัลค็อตต์ ในเกมนี้

    เชลซี

    แสงสว่างภายในอุโมค์ที่ชื่อ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ดูเหมือนจะค่อยส่องประกายขึ้นมาทีละนิดทีละนิด นับตั้งแต่ได้ กุส ฮิดดิ้งค์ เข้ามาคุมบังเหียน

    จากชัยชนะเกมนี้มันบอกอะไรได้หลายอย่าง โดยเฉพาะศักยภาพนักเตะของทีม ที่ดูเหมือนจะเรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้ทีละคน

    ดิเอโก้ คอสต้า กลับมายิงได้ต่อเนื่อง เชส ฟาเบรกาส กลับมาทำเกมได้อย่างลื่นไหล แนวรับก็ดูเหนียวแน่นขึ้น จนเริ่มที่จะเก็บคลีนชีตได้บ้าง

    ผลงาน 8 เกมหลังสุดที่ไม่แพ้ใครในทุกรายการ มันเป็นสัญญาณเบื้องต้นที่แจ้งออกมาว่า เชลซี ที่น่าเกรงขามกำลังจะกลับมาอีกครั้ง

    Kure