4 ปีแห่งความอดทน : อาร์เซนอล ทำอย่างไร จึงกลับมายืดหยัดแข็งแกร่ง

4 ปีแห่งความอดทน : อาร์เซนอล ทำอย่างไร จึงกลับมายืดหยัดแข็งแกร่ง

4 ปีแห่งความอดทน : อาร์เซนอล ทำอย่างไร จึงกลับมายืดหยัดแข็งแกร่ง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ย้อนกลับไป 1 ปีก่อน เว็บไซต์ฟุตบอลทุกเว็บแม้กระทั่งทาง Main Stand เอง ก็ยังอดที่จะเขียนถึงทีม อาร์เซนอล ด้วยแง่มุมด้านลบไม่ได้

เนื่องจาก ณ เวลานั้น ทีมของ มิเกล อาร์เตต้า แพ้รวด 3 นัดแรกของพรีเมียร์ลีก จมท้ายตารางด้วยทรงบอลที่ไม่มีทีท่าจะสู้ใครได้ รวมถึงยังมีดีลอีกหลายดีลที่น่าพิศวงสงสัยว่าซื้อมาน่าจะแย่กว่าเดิม 

อย่างไรก็ตาม ... สิ่งที่เคยคาดเดาเอาไว้ผิดทั้งหมด เพราะเริ่มซีซั่น 2022-23 อาร์เซนอล เป็นทีมเดียวในลีกที่ชนะคู่แข่ง 3 เกมรวด ด้วยฟอร์มที่ทุกคนต้องยกนิ้วให้ว่าพวกเขาเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ

จริงอยู่ว่านี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะจบด้วยการเป็นแชมป์ แต่นี่คือการเปลี่ยนแปลงทีมและการลบคำสบประมาทได้อย่างสิ้นซากของ นักเตะ โค้ช และผู้อำนวยการกีฬาอย่าง เอดู 

จากแพ้ 3 นัดรวด สู่ทีมที่มองตรงไหนก็ดูน่าลุ้นได้อย่างไร ? นี่คือเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงกลับมาสู่ความแข็งแกร่งของ อาร์เซนอล ติดตามที่ Main Stand

แผนกปฏิบัติการ และแผนกบริหาร "เป็นหนึ่งเดียว"

สิ่งที่น่าชื่นชมมากที่สุด คือการทำงานร่วมกันระหว่าง มิเกล อาร์เตต้า และผู้อำนวยการกีฬาอย่าง เอดู ทั้งสองคนทำงานร่วมกันในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน และเรียกได้ว่าเป็นผู้เริ่มต้นของ อาร์เซนอล ชุดนี้อย่างแท้จริง

เอดู เข้ามารับตำแหน่งก่อนในเดือนกรกฎาคม 2019 การเข้ามายังตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬา หมายถึงการที่เขามีหน้าที่ "รับวิสัยทัศน์" จากบอร์ดบริหารเบื้องบน และนำวิสัยทัศน์นั้นไปยังทิศทางที่ถูกต้องด้วยการหานักเตะและกุนซือที่เหมาะกับงบประมาณและแนวทางที่สโมสรได้วางไว้

 

แน่นอนเราต่างรู้กันดีว่า อาร์เซนอล ไม่ใช่ทีมจอมทุ่มมากมายเหมือนกับทีมท็อป 6 ทีมอื่น ๆ ดังนั้นการที่ เอดู จะเลือกผู้จัดการทีมคนใหม่เข้ามาแทน อูไน เอเมรี่ ที่โดนปลดออกจากตำแหน่งเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2019 จะต้องเป็นคนที่มีค่าจ้างไม่แพงนัก เป็นโค้ชที่สามารถติดตั้งระบบการเล่นให้กับทีมได้ และท้ายที่สุดคือคนที่สามารถทำงานภายใต้โจทย์ที่สโมสรตั้งไว้ได้ 

ที่สุดแล้ว เอดู ก็เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจจ้าง อาร์เตต้า ซึ่งตอนแรกเป็นมือขวาของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ แมนฯ ซิตี้ เข้ามาเป็นนายใหญ่ของ อาร์เซนอล เพราะเนื่องจาก อาร์เตต้า จะให้สัมภาษณ์ได้ตรงสเป็กที่สโมสรตั้งไว้แล้ว ตัวของเขายังเป็นอดีตนักเตะของ อาร์เซนอล มาก่อน นอกจากนี้ทั้งคู่ยังมีความสนิทสนมกันเป็นอย่างดีอีกด้วย 

"ด้วยความที่เราสนิทกันมาก จึงเข้าใจการทำงานของแต่ละคนเป็นอย่างดี นี่แหละคือวิธีการสร้างทีมขึ้นใหม่เพื่อไล่ล่าความสำเร็จตามแบบฉบับผมกับอาร์เตต้า" เอดู ว่าไว้ 

กุนซือและผู้อำนวยงานสโมสร คือ 2 คนที่ต้องทำงานร่วมกันแทบจะตลอดเวลา ไม่มีเวลาได้พักแม้กระทั่งช่วงปิดซีซั่น ซึ่งมาถึงตอนนี้ก็ต้องบอกว่าความไว้ใจที่ทั้งสองคนมอบให้กันและกันนั้นคือกุญแจสำคัญอย่างมากของการเปลี่ยนแปลงในทีมชุดนี้

 

"ผมยืนยันว่า อาร์เตตา มีส่วนร่วมในการเลือกซื้อผู้เล่นใหม่เสริมทัพตามปรัชญาของเขาอย่างเต็มที่แน่นอน และมันคือสิ่งจำเป็นสำหรับพวกเราด้วยเช่นกัน" เอดู กล่าวในปลายปี 2019 ที่เขาเป็นผู้มีส่วนในการเลือก อาร์เตต้า เข้ามาเป็นโค้ชของ อาร์เซนอล

วิธีการทำงานของทั้งคู่คือพวกเขาจะนำข้อมูลและสถิติของนักเตะแต่ละคนมาคุยกัน อาร์เตต้า จะเป็นคนเลือกจิ้มนักเตะที่อยากได้ ขณะที่ เอดู มีหน้าที่นำเสนอข้อมูลเชิงสถิติเพิ่มเติม จากนั้นถ้าทั้งสองคนมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน การเจรจาก็จะเริ่มขึ้นทันที 

"ในการประชุม ทุกคนจะแสดงความเห็นออกมาว่าต้องการอะไรบ้าง คาแรคเตอร์ที่เหมาะสม, ความเข้ากันดีกับระบบการเล่น รวมถึงรายละเอียดอื่น ๆ จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการติดต่อขอซื้อจากต้นสังกัด" 

"ถ้าอาร์เตต้าบอกว่าอยากได้ใครมาร่วมทีม ฝ่ายบริหารจะต้องให้ความสำคัญทันที และถ้าเขาอยากฝากงานให้แมวมองคนไหนเป็นพิเศษก็มีสิทธิ์เต็มที่เช่นกัน แม้บางครั้งอาจจะอยู่ภายใต้หน้าที่ของผมก็ตาม" เอดู เพิ่มเติมรายละเอียดการทำงานของทั้งคู่

 

สิ่งที่ตามมาคือแม้ อาร์เซนอล จะซื้อตัวแบบดูงง ๆ ในตอนแรก ทั้ง เบน ไวท์ นักเตะที่แทบไม่มีประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีกกับราคา 50 ล้านปอนด์, อารอน แรมส์เดล ประตูของทีมตกชั้น 2 ฤดูกาลติดต่อกันอย่าง บอร์นมัธ และ เชฟฯ ยูไนเต็ด, รวมไปถึงการปล่อยฟูลแบ็กดีกรีทีมชาติสเปนอย่าง เอ็คตอร์ เบเญริน ออก และซื้อแบ็กขวาทีมชาติญี่ปุ่นอย่าง ทาเกฮิโระ โทมิยาสุ ตลอดจนตัวสำรองของ เซาธ์แฮมป์ตัน อย่าง เซดริก โซอาเรส 

ดีลเหล่านี้สร้างความสงสัยให้กับทุกคนอย่างไม่ต้องแปลกใจ แต่ที่สุดแล้วพอถึงตอนนี้ก็กลายเป็นว่าพวกเขาได้ผู้รักษาประตูที่ชัวร์ที่สุดคนหนึ่งในลีกทั้งในแง่ของการเซฟและการเล่นด้วยเท้า, เบน ไวท์ เล่นได้หลากหลายและแทบไม่มีจังหวะผิดพลาดแบบน่าผิดหวังเลยหลังจากปรับตัวได้ 

นอกจากดีลเหล่านี้ อาร์เซนอล ยังได้ของดีจากการทำงานร่วมกันของทั้งคู่อีกหลายคนทั้ง กาเบรียล มากัลเญส ที่ เอดู บินไปดูฟอร์มถึงฝรั่งเศสด้วยตัวเอง, การซื้อ วิลเลี่ยม ซาลิบา ถึง 30 ล้านปอนด์ แต่กลับปล่อยให้ทีมอื่นยืมตัวถึง 2 ฤดูกาล, ดาวรุ่งที่กำลังจะกลายเป็นดาวร่วงของ เรอัล มาดริด อย่าง มาร์ติน โอเดการ์ด และแน่นอนที่สุดไม่พูดถึงไม่ได้ ก็คือดีลของ กาเบรียล เชซุส ที่ทั้งคู่เดินเกมล็อกเป้าจะเอากองหน้าชาวบราซิลมาร่วมทีมตั้งแต่ฤดูกาล 2021-22 ยังไม่จบ ก่อนที่พวกเขาไปขายโปรเจกต์ของทีมจนโน้มใจดาวยิงรายนี้ได้สำเร็จ 

การตัดสินใจร่วมกันของทั้งคู่มาผลิดอกออกผลเอาในซีซั่นนี้อย่างแท้จริง และไม่ใช่แค่ขาเข้าเท่านั้น การปล่อยนักเตะออกก็ทำได้ดีมาก ๆ นักเตะค่าตัวแพง ค่าเหนื่อยแพง ที่ไม่สามารถทำผลงานได้ตามมาตรฐาน รวมไปถึงการวางตัวทำให้บรรยากาศในทีมเสีย พวกเขาก็ตัดสินใจตัดชื่อพ้นทีมอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกสัญญากับ วิลเลี่ยน แข้งทีมชาติบราซิลชุดใหญ่หลังจากซื้อมาไม่ถึง 1 ปี, การยกเลิกสัญญานักเตะที่แพงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของสโมสรและกัปตันทีมอย่าง ปิแอร์ เอเมอริก โอบาเมยอง และล่าสุดสด ๆ ร้อน ๆ กับ นิโคลัส เปเป้ นักเตะค่าตัว 70 ล้านยูโร ที่ฟอร์มไม่ดีก็โดนปล่อยออกจากทีมเช่นกัน

 

จากการจับ ๆ คลำ ๆ เคาะซ้ายทีขวาที ตลอดระยะเวลา 3 ปี อาร์เซนอล ก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอย ด้วยคุณภาพนักเตะ 11 ตัวจริงตอนนี้ที่ดีที่สุดในรอบหลายปี พวกเขาได้ทีมคนหนุ่มที่มีความห้าว ดุดัน และปราดเปรียว  

เมื่อได้โค้ชที่ใช่ นักเตะที่โค้ชชอบและเป็นคนเลือกเอง ... รวมถึงการให้เวลาทั้งโค้ชและนักเตะได้พิสูจน์ตัวเองด้วย ทั้งหมดจึงขับเคลื่อนทีมไปข้างหน้าได้ และกลายเป็นอาร์เซนอลชุดที่ดูสนุกที่สุดในรอบหลายปีเลยทีเดียว

ไม่เจ็บปวด ไม่เติบโต 

อาร์เซนอล เป็นทีมที่เลือกใช้แข้งคนหนุ่มมาหลายยุคหลายสมัย และในยุคนี้ก็เช่นกัน พวกเขาดันเด็ก ๆ จากทีมเยาวชนของสโมสรขึ้นมาและปล่อยให้พวกเขาได้ลงเล่นในฐานะตัวหลักของทีมมา 1-2 ปีอย่างน้อย ๆ ทั้ง บูกาโย ซาก้า และ เอมิล สมิธ โรว์ รวมถึงคนที่ซื้อมาตั้งแต่อายุ 18 ปี อย่าง กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ 

ทั้ง 3 คนที่กล่าวมาคือตัวอย่างที่จะอธิบายพัฒนาการของทีม มิเกล อาร์เตต้า ได้อย่างดี ประสบการณ์ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาทำให้ทั้ง 3 คนไม่ใช่แค่ตัวหลัก แต่กลายเป็นหนึ่งในตัวความหวังของทีมได้เลย

 

โดยปกติแล้วธรรมชาติของดาวรุ่งมักจะเป็นพวกที่ตัดสินใจจังหวะสุดท้ายได้ไม่ค่อยดีนัก จังหวะไหนควรยิง จังหวะไหนควรจ่าย พวกเขายังมีความผิดพลาดให้เห็น อาร์เตต้า ปล่อยเด็ก ๆ ลงเล่นและให้พวกเขาได้เรียนรู้ตัวเอง ในช่วงแรก ๆ เราเห็นความผิดพลาดพวกเขาเหล่านี้อยู่บ่อย ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป 1, 2 หรือ 3 ปี ที่สุดแล้วเด็ก ๆ นี้พวกนี้ก็เล่นฟุตบอลได้ละเอียด ตัดสินใจดี และมีคาแร็คเตอร์ของผู้ชนะ 

ไม่ใช่แค่เด็ก ๆ จากอคาเดมี่ของสโมสรเท่านั้น นักเตะแทบทุกคนในชุดนี้คือชุดเดียวกับชุดเปิดฤดูกาลสุดหายนะในซีซั่นที่แล้ว พวกเขาเริ่มเรียนรู้จากการผิดหวัง การถูกวิจารณ์ในแง่ลบ และการทำผลงานได้อย่างย่ำแย่มาแล้วทั้งนั้น ประสบการณ์เหล่านี้ทั้งบาดลึกและฝังจำในแบบที่ใครไม่เจอกับตัวไม่มีทางรู้ และมันเป็นธรรมชาติของคนเรา เมื่อเราเคยทำผิดพลาดร้ายแรง เราจะระมัดระวังอย่างมากที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำสอง 

ที่สำคัญที่สุดคือ อาร์เตต้า อยู่เคียงข้างและสนับสนุนลูกทีมของเขามาโดยตลอด แม้กระทั่งนักเตะที่เคยเกือบมีเรื่องกับแฟนบอลอย่าง กรานิต ชาก้า เรื่องนั้นหนักข้อถึงขั้นที่แฟน ๆ กดดันให้สโมสรขายกองกลางชาวสวิสออกจากทีม แต่สุดท้าย อาร์เตต้า มองว่า ชาก้า คือคนที่ตอบโจทย์การสร้างทีมของเขา และท้ายที่สุด อาร์เตต้า ก็ให้โอกาส ชาก้า ปรับตัว จนกระทั่งทุกวันนี้ ชาก้า กลับมาเป็นตัวหลักของทีมอย่างยอดเยี่ยม

"หากไม่มีเขา ผมคงไม่ได้อยู่กับสโมสรฟุตบอลแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว เขาช่วยผมไว้เยอะมากในช่วงเวลาที่ผมหมดหวังอย่างสิ้นเชิง เขารับผมไว้ ช่วยเหลือในเรื่องสัพเพเหระทีละเล็กทีละน้อย ทั้งในด้านแท็คติกและด้านจิตใจในฐานะคนคนหนึ่ง" ชาก้า พูดถึง อาร์เตต้า ที่เป็นเจ้านายของเขา 

ตลอดระยะเวลา 3 ปี สิ่งที่ อาร์เตต้า ทำสำเร็จในปีนี้คือเขาทำให้อาร์เซนอลเป็นทีมทนทานต่อคำวิจารณ์ ทำงานหนักในสนาม และเชื่อมั่นในตัวเองได้สำเร็จ และนักเตะเหล่านั้นก็ตอบแทนเขาด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยม จากเสียงก่นด่ากลายเป็นคำชม จากที่ถูกมองว่าหมดอนาคต กลับกลายเป็นทีมที่กลับมาเกิดใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม

ประกอบร่างจนลงล็อก 

อาร์เตต้า เปรียบเทียบ 4 ฤดูกาลที่ อาร์เซนอล ของเขาออกเป็นช่วง ๆ 2019-20 ซีซั่นแรก เป็นการทำความรู้จักนักเตะในทีมเพราะเขาเข้ามาคุมทีมกลางทาง, 2020-21 เริ่มมองหานักเตะที่ใช้เป็นแกนหลักในแต่ละตำแหน่ง, 2021-22 ถ่ายเลือดเก่าที่ใช้ไม่ได้ออกเพื่อเปิดที่ให้เลือดใหม่ที่สดกว่า และ 2022-23 พวกเขาเติมสิ่งที่ขาดหายไปจากปีที่แล้ว

และนั่นนำมาซึ่ง 3 ดีลที่เปลี่ยนทีม อาร์เซนอล ได้จริง ๆ นั่นคือ กาเบรียล เชซุส กองหน้าที่ทำได้ทุกอย่างในแนวรุกทั้งเลี้ยง, เปิดทาง, ส่งบอล ไปจนถึงการจบสกอร์ด้วยตัวเอง, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ แบ็กซ้ายที่มีประสบการณ์แชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัย ที่ถูกยกให้เป็นหนักที่รับผิดชอบหน้าที่ตามคำสั่งได้ดีที่สุด และ วิลเลี่ยม ซาลิบา กองหลังที่ถูกปล่อยยืมจนเกือบลืมไป 2 ปี แต่กลับมาแข็งแกร่ง รวดเร็ว และมีประสบการณ์ลงสนามมากกว่า 70 เกม

การที่ มิเกล อาร์เตต้า ได้ดาบอาญาสิทธิ์ถือเป็นสิ่งสำคัญมากในแต่ละปี นักเตะทุกคนที่จะเข้าหรือออก นักเตะคนไหนที่จะไม่ใช่ นักเตะคนไหนที่ต้องล่าตัวมาให้ได้ ... สุดท้ายเขาได้ทีมของตัวเองแบบ 100% มันจึงง่ายที่จะปรับทีม ๆ นี้ให้เข้ากับปรัชญาฟุตบอลของเขา 

เหนือสิ่งอื่นใดที่ อาร์เตต้า แสดงให้เห็นอีกอย่างคือการซื้อใจนักเตะทีมนี้ให้สู้เพื่อเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากใครได้ดูสารคดี All Or Nothing ทาง Amazon Prime Video ก็จะได้เห็นว่าในช่วงเวลาที่ทีมแพ้ และโดนวิจารณ์เยอะ ๆ เขาแทบไม่เคยโทษลูกทีมเลย ยกตัวอย่างเช่นก่อนเกมที่พวกเขาเจอ นอริช ในฤดูกาล 2021-22 

ในเกมนั้นถือเป็นเกมหลังจากที่ อาร์เซนอล แพ้ให้กับ เบรนท์ฟอร์ด, เชลซี และ แมนฯ ซิตี้ ใน 3 เกมแรก แบบยิงไม่ได้สักลูกและเสียไปถึง 9 ประตู ก่อนเกมกับ นอริช อาร์เตต้า คุยกับนักเตะของพวกเขาว่า

"ผมเชื่อมั่นในพวกคุณจริง ๆ พวกคุณเก่งมาก ในฐานะโค้ช ผมจะไม่มีวันโทษพวกคุณในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ มันเป็นความรับผิดชอบของผม ไปกันเถอะ !" อาร์เตต้า ว่าเช่นนั้นก่อนที่พวกเขาจะชนะ 1-0 ... และฤดูกาลของพวกเขาก็เริ่มขึ้นหลังเกมนั้น 

ไม่มีอะไรมากไปกว่าการมีแผนงานที่ชัดเจน การเชื่อมั่นในปรัชญาและลูกทีมของตัวเอง และที่สุดคือการได้รับการสนับสนุนจากบอร์ดบริหาร ทั้งหมดนี้ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นภายในทีมอาร์เซนอล ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาจนกระทั่งตกผลึกมาเป็นช่วงเวลาที่สวยงามในเวลานี้

แม้ว่านี่จะเป็นแค่ช่วงเริ่มต้นของฤดูกาล 2022-23 แต่คุณสามารถเข้าใจได้ทันทีหลังจากได้เห็น อาร์เซนอล ชุดนี้เล่นว่าพวกเขายกระดับทีมขึ้นมาได้สำเร็จแล้ว แม้ว่าจะจบลงด้วยตำแหน่งแชมป์ หรือท็อป 4 หรือไม่ก็ตาม  

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook