
มองจากภายนอก คำว่า "รักบี้" กับ "ญี่ปุ่น" ดูจะเป็นสองสิ่งที่อยู่ห่างไกล เมื่อกีฬาจากตะวันตกชนิดนี้ ดูจะไม่เข้ากับชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นชาติที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยมชาติหนึ่งของโลก
อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริง มันกลับสามารถปักธงลงในแผนที่ญี่ปุ่น จนทำให้พวกเขามีนักรักบี้มากที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก แถม "เบรฟ บลอสซัม" ทีมชาติของพวกเขา ก็รั้งอยู่ในอันดับ 10 ในการจัดอันดับรักบี้โลก
พวกเขาทำได้อย่างไร? ติดตามได้ที่นี่
สิ่งที่มาหลัง "เรือดำ"
อันที่จริงจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างรักบี้และญี่ปุ่น ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงปลายสมัยเอโดะ (1603-1868) เมื่อการมาถึงของ "เรือดำ" ที่นำโดยพลเรือจัตวา แม็ตธิว เพอร์รี ของสหรัฐอเมริกา ได้บีบให้นโยบายปิดประเทศของญี่ปุ่นที่ยาวนานเกือบ 200 ปีต้องยุติลง
การเปิดประเทศ ทำให้มีชาวตะวันตกจำนวนมาก โดยเฉพาะทหารเรือที่เข้ามาคุ้มครองคนของพวกเขา หลั่งไหลเข้ามาประจำการในญี่ปุ่น และพวกเขาไม่ได้มามือเปล่า แต่ยังได้นำวัฒนธรรมของตัวเองเข้ามาด้วย ซึ่ง รักบี้ ก็เป็นหนึ่งในนั้น

จากรายงานของ Japan Times ระบุว่าการเล่นรักบี้บนผืนแผ่นดินญี่ปุ่นครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1863 โดยเป็นการแข่งขันระหว่างเหล่าทหารเรือชาวอังกฤษ และเล่นครั้งแรกในฝั่งคันไซ (ตะวันตกของญี่ปุ่น) ที่โอซากาในปี 1868 โดยเป็นการแข่งขันระหว่างชาวอังกฤษและสก็อตแลนด์
แต่นั่นเป็นแค่การเล่นในหมู่ชาวตะวันตกเท่านั้น เพราะกว่าที่รักบี้จะเปิดโอกาสให้คนท้องถิ่นได้เข้าร่วมต้องข้ามเวลามาถึงปี 1899 เมื่อ ศาสตราจารย์ เอ็ดเวิร์ด เบรมเวล คาร์ก และ จินโนะซุเกะ ทานากะ คือคนที่แนะนำกีฬาชนิดนี้ให้คนญี่ปุ่นได้รู้จักอย่างจริงจัง
พวกเขาที่ตอนนั้นเป็นบัณฑิตจบใหม่จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ได้ก่อตั้งชมรมรักบี้ในมหาวิทยาลัยเคโอ ด้วยเป้าหมายที่จะทำให้กีฬานี้เป็นที่รู้จักไปพร้อมกับให้นักศึกษาได้มีกิจกรรมทำในช่วงเวลาว่าง
"เพื่อไม่ให้พวกเขาอยู่เฉยๆอย่างเกียจคร้าน และใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ในช่วงใบไม้ร่วงที่เย็นสบาย" คาร์ก ระบุเหตุผล
ก่อนที่มันจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้รักบี้เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย และมีการเล่นกีฬาชนิดนี้ในสถาบันชั้นนำของประเทศ ทั้งระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย จนสามารถมีการแข่งขันรักบี้มัธยมปลายชิงแชมป์ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกใน 1917
จากนั้น รักบี้ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในแดนอาทิตย์อุทัย โดยภายในทศวรรษที่ 1920s พวกเขามีทีมรักบี้มากถึง 1,500 ทีม และมีนักกีฬาที่ลงทะเบียนมากถึง 60,000 คน ก่อนที่ในปี 1926 พวกเขาจะก่อตั้งสมาคมรักบี้ญี่ปุ่นขึ้นมาได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นชาติแรกในเอเชีย

แต่กีฬาชนิดนี้ ก็เกือบจะสูญพันธ์ไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังรัฐบาลทหารฟาสซิสต์ มองว่ารักบี้คือกีฬาของชาวตะวันตก จนทำให้รักบี้ ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น "โทะคิว" (闘球) ที่แปลว่าการต่อสู้เพื่อแย่งบอลและเอาตัวรอดมาได้
อย่างไรก็ดี กีฬาที่เกือบจะตายไปแล้ว กลับฟื้นคืนชีพอย่างไม่น่าเชื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ระบบบริษัทเกื้อหนุน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลกระทบต่อญี่ปุ่นอย่างหนัก เมื่อมันทำให้ผู้คนในประเทศบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงระบบสาธารณูปโภคที่ถูกทำลายไปจากระเบิดในสงคราม
ทว่า หลังสงครามยุติ รักบี้กลายเป็นกีฬาที่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แถมยิ่งได้รับความนิยมกว่าเก่า ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1950 โดยเฉพาะในหมู่พนักงานบริษัท โดยมีบริษัท โกเบ สตีล เป็นเหตุผลสำคัญ
พวกเขาคือบริษัทแรกที่สนับสนุนให้พนักงานเล่นกีฬาชนิดนี้มาตั้งแต่ช่วงปลายปี 1945 ด้วยความหวังว่ามันจะช่วยฟื้นฟูจิตใจที่บอบช้ำของพนักงานที่ได้รับผลกระทบมาจากการเป็นผู้แพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2

ก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นต้นแบบ เมื่อมันทำให้เหล่าบริษัทอุตสาหกรรมหันสนใจในกีฬาชนิดนี้มากขึ้น และก่อตั้งสโมสรรักบี้ขององค์กรตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น พานาโซนิค ไวลด์ ไนท์, ริโก แบล็คแรม, โตชิบา เบรฟ ลูปัส หรือ ฮอนด้า ฮาร์ท
นอกจากนี้ เศรษฐกิจที่เฟื่องฟูของญี่ปุ่นหลังสงครามโลก ยังมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้วงการรักบี้ญี่ปุ่นเติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อมันทำให้บริษัทมีเม็ดเงินเหลือเฟือมาลงทุนกับทีมของพวกเขา
"การพัฒนาทีมรักบี้ที่เป็นขององค์กร มีบริษัทอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเป็นหัวหอกสำคัญ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า โทรศัพท์มือถือ และเครื่องใช้ไฟฟ้า" ดร. เฮเลน แม็คนอตัน ประธานศูนย์วิจัยญี่ปุ่น แห่งวิทยาลัยบูรพคดีศึกษาและการศึกษาแอฟริกา มหาวิทยาลัยลอนดอน กล่าวกับ The New European
"มันเป็นภาพสะท้อนของพลังภาคการผลิตในเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการจ้างงานที่ถูกยึดครองโดยผู้ชาย"
ในขณะเดียวกัน ความนิยมของรักบี้ที่เฟื่องฟูอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ 1960 ยังทำให้บริษัทต่างๆให้ความสำคัญกับทีมรักบี้ของพวกเขามากขึ้น ด้วยการดึงตัวนักรักบี้ฝีมือดีจากมหาวิทยาลัยเข้าสู่ทีม โดยจ้างเป็นพนักงานบริษัท แต่จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการซ้อมและแข่งมากกว่าในออฟฟิศ

"แต่แรกแล้ว ทีมกีฬาขององค์กรก่อตั้งขึ้นสำหรับพนักงานของโรงงาน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการออกกำลังกาย มีความเป็นอยู่ที่ดี มีจิตวิญญาณของความเป็นทีม และการทำงานร่วมกัน" ดร. เฮเลน กล่าวต่อ
"แต่ด้วยการเติบโตของการแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์แห่งชาติในยุค 60s ทำให้ทีมรักบี้บริษัทญี่ปุ่นเริ่มที่จะดึงตัวผู้เล่นเก่งๆที่เพิ่งเรียนจบจากทีมรักบี้ของมหาวิทยาลัย และลงทุนไปกับกีฬาชนิดนี้ และใช้ทีมของพวกเขาในการทำกิจกรรมเพื่อสังคม และสร้างแบรนดิ้งบริษัท"
นอกจากนี้ การปฏิวัติรูปแบบการเล่นของรักบี้ทีมชาติญี่ปุ่นที่ใช้จุดแข็งของตัวเอง ซึ่งก็คือความว่องไว รวมถึงเข้าปะทะให้ต่ำ เพื่อมาชดเชยกับรูปร่างและส่วนสูงที่เสียเปรียบ เพื่อไล่ตามชาติตะวันตก ยังเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้พวกเขามีเริ่มที่ยืนในวงการรักบี้โลก
ก่อนที่มันจะเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้กีฬาชนิดนี้ สามารถยืนหยัดอยู่ในแดนอาทิตย์อุทัยมาอย่างยาวนาน รวมไปถึงตอนที่เปลี่ยนผ่านจากทีมกึ่งอาชีพมาเป็นทีมระดับอาชีพเต็มตัว หลังการก่อตั้งของ ท็อปลีก ลีกอาชีพของพวกเขา ในปี 2003
อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้รักบี้ปักธงได้ในแผนที่ญี่ปุ่น
จิตวิญญาณซามูไร
มีวินัย อดทน เสียสละ จงรักภักดี จริงใจ กล้าหาญ และแข็งแกร่ง คือค่านิยมของคนญี่ปุ่น มันคือสิ่งที่พวกเขายึดถือมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัยยังสวมชุดเกราะฟาดฟันกับศัตรูในฐานะ "วิถีซามูไร"
การยึดถือในหลักการดังกล่าว คือส่วนสำคัญที่ทำให้คนญี่ปุ่นเปิดรับกีฬาของชาวตะวันตกอย่าง รักบี้ เมื่อมันสามารถปลุกความเป็นซามูไรของพวกเขาให้ตื่นขึ้นมาจากจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่แฝงอยู่ในกีฬาชนิดนี้
เนื่องจาก รักบี้ เป็นกีฬาที่ต้องใช้พละกำลังและการปะทะบ่อยครั้ง ทำให้ผู้เล่นต้องมีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับคู่แข่ง ในขณะเดียวกัน ก็ต้องอดทนกับความเจ็บปวด และไม่ถอยหนีไม่ว่าคู่แข่งจะโหดหินมากแค่ไหน

"ศิลปะการต่อสู้มีแก่นของจิตวิญญาณการต่อสู้ที่ควบคุมได้ ดังนั้น หากพูดในเชิงวัฒนธรรม สามารถพูดได้ว่ารักบี้ปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติของซามูไรหรือประเพณีของนักรบ" ดร. แม็คนอตันอธิบาย
"รักบี้เป็นกีฬาที่ใช้ร่างกายมาก และมีการปะทะสูง ซึ่งมันไม่ได้ต้องการแค่ทีมเวิร์ค แต่ต้องการ 'จิตวิญญาณในการต่อสู้' มันจึงทำให้ทีมรักบี้ของบริษัท เป็นแบรนด์ที่มีอิทธิพลในภาคอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม ที่ถูกมองว่าต้องการพละกำลัง และความแข็งแกร่งแบบผู้ชาย"
ในขณะเดียวกัน แม้จะเป็นกีฬามีการปะทะอยู่บ่อยครั้งและดูรุนแรง แต่ทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้กฎ-กติกา ซึ่งคล้ายกับวิถีนักรบของพวกเขา ที่แม้จะรบราฆ่าฟันเอาชีวิต แต่ต้องสู้กันด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี ภายในกรอบที่วางเอาไว้
"ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความปลอดภัยมากที่สุดในโลก มีอาชญากรรมเกิดขึ้นน้อยมาก และผู้คนสามารถเดินทางไปทั่วประเทศโดยอย่างอิสระ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกปล้นหรือถูกทำร้าย การเคารพกฎระเบียบ, กฎหมาย และผู้อื่นเหล่านี้ เห็นได้อย่างชัดเจนมากในรักบี้ของพวกเขา" ไซมอน แชดวิค ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านบริษัทกีฬาแห่ง Salford Business School มหาวิทยาลัยซัลฟอร์ดกล่าวกับ The New European
"มันอาจจะแตกต่างไปจากปกติเล็กน้อยในรักบี้ ที่ผู้เล่นจะแสดงความเคารพต่อกฎและการตัดสินใจของผู้ตัดสิน พูดให้ชัดเจนคือ นักรักบี้ญี่ปุ่นมีพันธสัญญาทางร่างกายกับกีฬานี้เช่นเดียวกับที่ผู้เล่นจากประเทศอื่นมี"
"ดังนั้น ในมุมหนึ่ง รักบี้มีกลิ่นอายของประเพณีซามูไร ที่การเคารพและให้เกียรติคือความสำคัญสูงสุด"

นอกจากนี้ การที่มันเป็นกีฬาที่เล่นเป็นทีม ทำให้วัฒนธรรมของรักบี้เข้ากับสังคมแบบกลุ่มของญี่ปุ่น ซึ่งให้คุณค่ากับคนที่มีขยันขันแข็ง ทำงานหนัก เสียสละตัวเองเพื่อส่วนรวม และมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
"รักบี้เป็นกีฬาแบบทีม และสิ่งนี้ก็ถูกใช้ได้ดีในญี่ปุ่นที่การทำงานเป็นทีมและการให้คุณค่ากับความเป็นกลุ่มเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกๆ ไม่เฉพาะในกีฬาเท่านั้น แต่รวมถึงการจัดการสถานที่ทำงานสไตล์ญี่ปุ่นและในสังคม" ดร.แม็คนอตันให้เหตุผล
อย่างไรก็ดี ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยผลักดันไม่แพ้กัน
อิทธิพลจากสื่อ
ญี่ปุ่น ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มองกีฬาในฐานะความบันเทิง ด้วยความที่พวกเขาเป็นนักเล่าเรื่องชั้นดี ที่ทำให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีเรื่องราวที่น่าสนใจ ไม่เว้นแม้แต่ รักบี้
เนื่องจากมันเป็นกีฬาที่ตรงกับจริตความเป็นญี่ปุ่น ทำให้รักบี้กลายเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการนำเสนอผ่านหน้าจอโทรทัศน์ โดยเฉพาะในการแข่งขันรักบี้มัธยมปลายชิงแชมป์แห่งชาติ ที่มักจะมีเรื่องราวชวนซึ้งหรือดรามา ไม่ต่างจากกีฬานักเรียนอย่างโคชิเอ็งหรืออินเตอร์ไฮ

ในขณะที่การนำเสนอผ่านวัฒนธรรมร่วมสมัย อย่าง มังงะ และ อนิเมะ ก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กีฬาชนิดกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นเรื่อง All Out!!, Try Knights หรือ Number24
นอกจากนี้ การพยายามช่วยให้ผู้คนเข้าใจในกติการักบี้ ยังเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทำให้มันเข้าถึงคนหมู่มาก ยกตัวอย่างเช่นในระหว่างการแข่งขันรักบี้ชิงแชมป์โลก 2019 ได้มีสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง พยายามอธิบายตำแหน่งของนักกีฬารักบี้ทั้ง 15 คน ด้วยการใช้ภาพแทนเป็นสัตว์
แต่แน่นอน สิ่งที่ทำให้ รักบี้ กลายเป็นกระแสได้มากที่สุด คือการที่พวกเขาได้เป็นเจ้าภาพชิงแชมป์โลกเมื่อปี 2019 ที่ "เบรฟ บลอสซัม" ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น ด้วยการเข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แถมยังสามารถเอาชนะทีมแกร่งของโลกอย่างไอร์แลนด์และสก็อตแลนด์ได้อีกด้วย

โดยจากการสำรวจของ EY Today ระบุว่าผลงานที่ยอดเยี่ยมของทีมชาติญี่ปุ่น ได้ทำให้เกิดแฟนชั่วข้ามคืน หรือ "Niwaka Fans" หรือแฟนที่เพิ่งมาเชียร์ในทัวร์นาเมนต์มากถึง 33 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ 50 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ติดตามรักบี้ชิงแชมป์โลก เพิ่งจะมาสนใจกีฬาชนิดนี้ได้ไม่ถึงปี
และในผลสำรวจเดียวกันยังรายงานว่า แฟนรักบี้ 54 เปอร์เซ็นต์ในญี่ปุ่นที่ติดตามรักบี้ชิงแชมป์โลก ยอมรับว่าพวกเขาเพิ่งจะมาดูรายการนี้เป็นครั้งแรก ในขณะที่ 74 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่ารายการนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กๆหันมาเล่นกีฬาชนิดนี้มากขึ้น
นี่คือสิ่งที่คนในวงการรักบี้ญี่ปุ่นพยายามอย่างหนัก เพื่อยกระดับกีฬานี้ด้วยความหวังจะขึ้นมาเทียบเท่ากีฬาขวัญใจมวลชนอย่างเบสบอลและฟุตบอล จนทำให้มันก้าวข้ามคำว่า "กีฬาสถาบัน" มาได้สำเร็จ
โดยปัจจุบัน ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในชาติที่มีนักรักบี้เป็นอันดับต้นๆของโลก ด้วยจำนวนนักกีฬาที่ลงทะเบียนมากถึง 105,693 คน รั้งอยู่ในอันดับ 8 เป็นรองเพียงแค่ ฝรั่งเศส, แอฟริกาใต้, อังกฤษ, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ฟิจิ และสหรัฐฯ ซึ่งต่างเป็นมหาอำนาจของโลกรักบี้

ในขณะที่ผลงานในทีมชาติ จากการจัดอันดับล่าสุด (วันที่ 15 มีนาคม 2021) พวกเขายังคงรั้งอยู่ในอันดับ 10 ของโลก และอันดับ 1 ของเอเชีย ส่วนผลงานที่ดีที่สุดคืออันดับ 7 ของโลกที่เคยทำได้เมื่อปี 2019
ทำให้แม้ว่า รักบี้ อาจจะดูห่างไกล จากเบสบอลและฟุตบอล ในแง่ความเป็นที่นิยม เนื่องมาจากจุดสตาร์ทที่ต่างกัน จากการเพิ่งเปลี่ยนมาเป็นกีฬาอาชีพได้เพียงแค่ 18 ปี (รักบี้โลกเพิ่งเปลี่ยนเป็นอาชีพเมื่อปี 1995) ต่างจาก เจลีก หรือ นิปปอน โปรเฟสชันแนล เบสบอล ที่อยู่ในสถานะนี้มา 29 ปีและ 71 ปีตามลำดับ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ยอมแพ้และกำลังพยายามอย่างเต็มที่
และบางทีวันหนึ่ง มันอาจจะกลายเป็นกีฬาที่คนญี่ปุ่นเล่นทั่วบ้านทั่วเมือง เหมือนที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นกับฟุตบอล ก็เป็นได้
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ