"บ๊อบบี้ ฟิสเชอร์" : นักหมากรุกอัจฉริยะที่ถูก "รุกฆาต" ด้วยความโดดเดี่ยวและเกมการเมือง
เรื่องราวที่เราหยิบยกมาเล่าในครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องราวของการไต่เต้าจากคนธรรมดาสู่การเป็นเซียนหมากรุก หรือเป็นเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจให้ไขว่คว้าความฝัน ทำตามเสียงหัวใจตัวเอง ตรงกันข้าม มันคือเรื่องราวแสนเศร้าราวโศกนาฏกรรมที่นักหมากรุกคนหนึ่งต้องพบเจอ เป็นชะตากรรมแสนโหดร้ายที่ไม่ว่ากับใครก็ไม่ควรเกิดขึ้นทั้งสิ้น
สำหรับบางคน หมากรุกอาจจะเป็นแค่เกมกระดานธรรมดาที่ใช้เล่นสนุกเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น แต่เจ้าของเรื่องราวในบทความนี้เขากลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะสำหรับเขา "หมากรุกคือชีวิต"
นี่คือเรื่องราวของผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งผู้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตให้กับหมากรุก แต่ท้ายที่สุด เขากลับต้องพบเจอกับชะตากรรมแสนเศร้าที่ไม่มีใครในโลกนี้จะเข้าใจ.. ติดตามเรื่องราวของ บ๊อบบี้ ฟิชเชอร์ นักหมากรุกอัจฉริยะผู้หันหลังให้กับโลกทั้งใบได้ที่ Main Stand
เด็กอัจฉริยะ
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในปี 1943 หลังจากที่ บ๊อบบี้ ฟิสเชอร์ ลืมตาดูโลก ณ เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และดูเหมือนว่าปัญหาแรกในชีวิตของเขาก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกันเลย เนื่องจากไม่มีข้อมูลใดสามารถยืนยันได้ว่าพ่อที่แท้จริงของเขาคือใครกันแน่? แต่ 2 คนที่มีโอกาสเป็นไปได้ที่สุดคือ ฮันส์-เกอร์ฮาร์ดท์ ฟิสเชอร์ และ พอล เนเมย์
ฮันส์-เกอร์ฮาร์ดท์ ฟิสเชอร์ เป็นนักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน และคือชายที่ใช้ชีวิตร่วมกับแม่ของบ๊อบบี้ในช่วงที่เขาเกิด ส่วน พอล เนเมย์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวฮังการี ผู้เคยร่วมทำงานวิจัยกับ ฮานส์-อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ลูกชายแท้ๆของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
แต่ไม่ว่าใครจะเป็นพ่อก็ถือว่า บ๊อบบี้ ฟิสเชอร์ เกิดขึ้นมาในครอบครัวของเหล่าหัวกะทิโดยแท้ เนื่องจาก เรจิน่า ฟิสเชอร์ แม่ของเขาที่เป็นชาวยิวอพยพนั้นสามารถใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่วถึง 6 ภาษา นอกจากนั้นยังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาการแพทย์อีกด้วย
อีกหนึ่งประเด็นที่อยากให้ผู้อ่านทุกคนได้ทราบข้อมูล เนื่องจากอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับการหาข้อสรุปให้บทความนี้หลังจากอ่านจบคือ พอล เนเมย์ ชายอีกคนที่มีโอกาสจะเป็นพ่อของบ๊อบบี้นั้น ถึงแม้สมองด้านวิชาการของเขาจะเข้าขั้นอัจฉริยะ แต่ก็มีรายงานว่าเขามีอาการป่วยทางจิตด้วยเช่นกัน
"สารสื่อประสาทด้านความคิดสร้างสรรค์ของเนเมย์ทำงานอย่างมีปัญหา เป็นความเจ็บป่วยทางสมองที่อาจส่งผลกระทบต่อสารอื่นๆ และชีวิตประจำวัน" ดร.โจเซฟ พอนเตร็อตโต (Dr.Joseph Ponterotto) แพทย์ผู้เขียนชีวประวัติของบ๊อบบี้กล่าว
การเกิดมาในครอบครัวของอัจฉริยะ ส่งผลให้บ๊อบบี้กลายเป็นอัจฉริยะตามไปด้วย โดยมีรายงานว่าไอคิวของเขานั้นสูงถึง 181 เลยทีเดียว
หลังจากที่ลืมตาดูโลกได้เพียง 2 ปี ฮันส์-เกอร์ฮาร์ดท์ ฟิสเชอร์ ก็ได้แยกทางกับเรจิน่า ทำให้เธอต้องสวมบทแม่เลี้ยงเดี่ยว ดูแลทั้งบ๊อบบี้และโจแอน ลูกสาวคนโตเพียงลำพัง เธอจึงตัดสินใจย้ายที่อยู่จากชิคาโก มาลงหลักปักฐานในมหานครนิวยอร์ก ย่านบรูกลิน
ด้วยความที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ทำให้เรจิน่าไม่มีเวลาดูแลลูกๆของเธอเท่าไรนัก เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงาน ทำให้บ๊อบบี้และโจแอนเติบโตขึ้นมาอย่างค่อนข้างโดดเดี่ยว ไม่ได้รับความอบอุ่นเท่าที่ควร บ๊อบบี้จำเป็นต้องหากิจกรรมต่างๆมาทำเพื่อเติมเต็มช่องว่างที่เว้าแหว่งในจิตใจของตัวเอง และก็เป็นตอนนั้นเองที่เขาได้รู้จักกับ "หมากรุก" เป็นครั้งแรก
บ๊อบบี้มีกระดานหมากรุกกระดานแรกในชีวิตตั้งแต่อายุ 6 ขวบ โดยโจแอนพี่สาวของเขาซื้อให้เป็นของขวัญ และสอนวิธีการเล่นพื้นฐานให้ หลังจากนั้นก็เหมือนสมองอัจฉริยะและพรสวรรค์ในเกมกระดานชนิดนี้ของบ๊อบบี้จะถูกปลดสลักออก ทุกอย่างพรั่งพรูออกมาเหมือนเขื่อนแตก
เมื่อได้รู้จักกับหมากรุก บ๊อบบี้ก็ไม่เคยถอยห่างออกจากมันอีกเลย ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด แต่เขาหลงรักเกมชนิดนี้มากๆ เขาเล่นมันตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนรับประทานอาหาร ที่โรงเรียน หรือแม้กระทั่งตอนอาบน้ำในอ่าง เขาก็แบกกระดานหมากรุกไปด้วย นอกจากนั้น เวลาที่เหลือเขาก็ยังทุ่มเทไปกับการอ่านตำราศึกษาวิธีการเล่นหมากรุก เรียกได้ว่านับตั้งแต่ 6 ขวบเป็นต้นมา ชีวิตของ บ๊อบบี้ ฟิสเชอร์ ก็มีหมากรุกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ถึงขั้นที่เรจิน่า ผู้เป็นแม่ต้องพยายามพูดเกลี้ยกล่อมให้ลูกชายของเธอไปหาอะไรทำอย่างอื่นบ้าง แต่ก็ไม่เป็นผล
มีนักวิชาการและนักประวัติศาสตร์หลายคนแสดงความคิดเห็นว่า สาเหตุที่ทำให้บ๊อบบี้คลั่งไคล้ในเกมหมากรุกขนาดนี้ เนื่องจากมันเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้เขาหลบหนีจากชีวิตอันเปลี่ยวเหงา โดดเดี่ยว และแปลกแยกในโลกแห่งความเป็นจริงได้
"ชีวิตนี้มีแค่ผมกับหมากรุกเท่านั้น มันยากที่จะแยกพวกเราออกจากกัน" บ๊อบบี้ได้ออกมาเล่าถึงเรื่องนี้ในภายหลัง
หนึ่งเหตุการณ์ที่สามารถบอกเล่าความคลั่งไคล้ต่อเกมหมากรุกของบ๊อบบี้ได้เป็นอย่างดี เกิดขึ้นในตอนที่เขาอายุ 19 ปี มีนักข่าวผู้คร่ำหวอดในวงการหมากรุกมานานนามว่า เฮนรี่ สต็อกโฮลด์ ได้พาบ๊อบบี้ไปซื้อบริการโสเภณี เพื่ออยากให้เขาได้รู้จักรสชาติอื่นของชีวิตบ้าง แต่เมื่อเสร็จกิจ บ๊อบบี้กลับพูดว่า
"หมากรุกดีกว่าตั้งเยอะ"
หลังจากที่รู้จักกับหมากรุกได้ไม่นาน บ๊อบบี้ก็เริ่มโชว์ความอัจฉริยะในเกมชนิดนี้ให้โลกได้ประจักษ์ เพราะเมื่ออายุเพียง 12 ปี บ๊อบบี้ก็กลายเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดใน Manhattan Chess Club สมาคมนักเล่นหมากรุกที่โด่งดังที่สุดในนิวยอร์กเป็นที่เรียบร้อย โดยทุกคนต่างขนานนามบ๊อบบี้ว่า "เด็กชายหุ่นยนต์" (The Robot Boy)
"บ๊อบบี้เป็นฟองน้ำ ทุกครั้งที่เขาเดินเข้าไปในคลับ เขาจะสังเกตทุกคนในห้อง จดจำทุกสิ่ง เรียนรู้ทุกอย่างที่ขวางหน้า ดูดซับเข้าสู่ตัวเอง" อัลเลน คัฟแมน (Allen Kaufman) หนึ่งในเพื่อนสมัยเด็กของบ๊อบบี้เล่าย้อนความหลัง
หลังจากนั้นหนึ่งปี เมื่ออายุ 13 บ๊อบบี้ก็กลายเป็นแชมป์การแข่งขันหมากรุก United States Junior Championship ที่เด็กที่สุดในประวัติศาสตร์ ในปีต่อมา บ๊อบบี้ไม่เพียงป้องกันแชมป์ประเภทเยาวชนสำเร็จ แต่เขายังสามารถคว้าแชมป์ United States Championships ซึ่งเป็นการแข่งขันประเภทบุคคลทั่วไปได้อีกด้วย โดยตลอดการแข่งขัน 13 เกมในเส้นทางของการคว้าแชมป์ เขาชนะไปถึง 8 เกม เสมอ 5 เกม และไม่แพ้แม้แต่เกมเดียว
หนึ่งในเกมที่ดีที่สุดของบ๊อบบี้คือการเอาชนะ โดนัลด์ ไบรน์ หนึ่งในนักหมากรุกฝีมือดีที่สุดของสหรัฐอเมริกาในเวลานั้น ซึ่งอายุมากกว่าตัวเขาถึง 3 เท่า โดยเกมดังกล่าวได้รับการยกย่องว่าเป็น "เกมแห่งศตวรรษ" เลยทีเดียว
"เขาตอบโต้การเล่นของผมได้อย่างยอดเยี่ยม เขายอมเสียสละควีนเพื่อที่จะเอาชนะผม บ๊อบบี้ไม่เคยแอบซ่อนแผนการในใจ เขาโจมตีมาตรงๆเสมอ เขาทำทุกอย่างบนกระดานให้ดูง่าย ทั้งๆที่ไม่ใช่เลย" ไบรน์ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี เขายอมแพ้ตั้งแต่ตัวหมากของเขายังนำอยู่ด้วยซ้ำ คนทั่วไปอาจจะดูไม่ออก แต่เขารู้ดีว่าขืนเล่นต่อไปยังไงก็ต้องตกเป็นเหยื่อให้บ๊อบบี้บดขยี้อย่างแน่นอน
ในฝั่งของบ๊อบบี้ หลังจากที่กลายเป็นยอดฝีมือที่ทุกคนจับตามอง พฤติกรรมของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงทีละน้อย เขากลายเป็นคนโผงผาง หยิ่งยโส ไม่สนใจใครนอกจากตัวเอง
"ผมรู้สึกมีความสุขมากที่เห็นคู่ต่อสู้ต้องดิ้นรน และทิฐิอัตตาทุกอย่างในจิตใจพังทลายลงมา" นี่คือสิ่งที่บ๊อบบี้กล่าวหลังจากได้รับชัยนะ
ในเรื่องพฤติกรรมของบ๊อบบี้ ได้มีนักจิตวิทยาสมัยใหม่หลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นไปในทำนองเดียวกันว่า เดิมทีการที่บ๊อบบี้เป็นคนโดดเดี่ยว นั่นทำให้เขายึดติดกับสิ่งเดียวในชีวิตอย่างหมากรุกเป็นอย่างมาก เขาไม่อยากแพ้.. ไม่สิ จะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นสิ่งยึดเหนี่ยวในจิตใจจะพังทลายลงมา และยิ่งเขาเก่งขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนก็สนใจแต่เรื่องหมากรุกของเขา ยกย่องเขา โดยมองข้ามแง่มุมหรือมิติอื่นของชีวิตเขาไป สิ่งนี้ทำให้บ๊อบบี้ที่โดดเดี่ยวอยู่แล้ว ยิ่งโดดเดี่ยวขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของบ๊อบบี้ที่เริ่มแย่ก็พอที่จะเลี้ยวกลับเข้ามาสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้ ถ้าความอัจฉริยะด้านหมากรุกไม่นำพาเขาเข้าสู่การเป็นเครื่องมือในเกมการเมืองเสียก่อน
หัวใจที่โดนรุกฆาต
หลังจากเริ่มมีชื่อเสียงด้านการเล่นหมากรุก บ๊อบบี้ก็ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนในวัย 16 ปี เพื่อทุ่มเทให้กับการเล่นหมากรุกอย่างเต็มที่ และก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองที่เขาได้รับคำเชิญจากสหภาพโซเวียต ซึ่งถือเป็นประเทศที่เป็นราชาด้านหมากรุก
ในปี 1958 บ๊อบบี้ได้รับคำเชิญโดยตรงจาก นีกีตา ครุชชอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียตในขณะนั้น ให้มาเข้าร่วมการแข่งขัน World Youth and Student Festival โดยสาเหตุที่บ๊อบบี้ได้รับคำเชิญก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องอื่นไปได้ นอกจากการที่ช่วงเวลาดังกล่าว "สงครามเย็น" ระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตกำลังคุกรุ่น ทั้งสองประเทศแข่งขันในทุกๆด้าน ไม่เว้นแม้แต่เรื่องหมากรุก และก็เป็นสหภาพโซเวียตที่ยิ่งใหญ่กว่ามาโดยตลอด ดังนั้น เมื่อมีข่าวว่ามียอดฝีมือรุ่นเยาว์จากสหรัฐอเมริกาปรากฏตัว ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่อยากจะเห็นฝีมือการเล่นด้วยตาตัวเอง
เมื่อมาถึงกรุงมอสโก บ๊อบบี้ถูกพาตัวไปยัง Central Chess Club และถูกจับประลองฝีมือกับยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของสหภาพโซเวียต 2-3 คน ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหา บ๊อบบี้จัดการทุกคนที่ขวางหน้าได้ง่ายดายราวปอกกล้วยเข้าปาก.. แต่นี่ไม่ใช่เป้าหมายของเขา บ๊อบบี้มาถึงที่นี่เพื่อต้องการประมือกับ มิคาอิล บอทวินนิก แชมป์โลกหมากรุกของสหภาพโซเวียต แต่สุดท้าย คำร้องขอของเขาก็ถูกปฏิเสธ บ๊อบบี้จำใจต้องเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาด้วยความผิดหวัง
"ผมเบื่อหน่ายกับพวกหมูรัสเซียพวกนี้ ผมไม่ชอบการที่เขาปฏิบัติกับผมเลยแม้แต่น้อย" บ๊อบบี้แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องราวดังกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดตามสไตล์
เมื่อกลับมาถึงสหรัฐอเมริกา บ๊อบบี้ก็ยังคงใช้ชีวิตหมกมุ่นกับเกมหมากรุกเหมือนเช่นปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือหลังจากนั้นไม่นาน เรจิน่าผู้เป็นแม่ก็ได้ย้ายออกไปโดยไม่ทราบเหตุผล ส่วนโจแอนที่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้วก็ย้ายออกไปเช่นกัน ดังนั้น จากเดิมที่เคยอยู่กัน 3 คนแม่ลูก ตอนนี้บ๊อบบี้ต้องอาศัยอยู่ด้วยตัวคนเดียวแล้ว แต่ก็ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจเท่าไร
"ผมมีความสุขมากกว่าด้วยซ้ำที่ไม่มีเธออยู่ด้วย เราไม่ได้มองหน้ากันมานานแล้ว ผมอยากกำจัดเธอออกไป" บ๊อบบี้กล่าว
ฝีมือหมากรุกของบ๊อบบี้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับสภาพจิตใจที่ดิ่งลงเหว ซึ่งส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากความโดดเดี่ยวที่สมาชิกครอบครัวเพียงไม่กี่คนที่มีได้จากเขาไปแล้ว ทำให้หลังจากนั้นมีหลายครั้งที่บ๊อบบี้ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างๆด้วยคำพูดที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ระบบความคิดตรรกะของเขาผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว
"มีคนยิวมากเกินไปแล้วในเกมหมากรุก พวกนั้นทำให้ศักดิ์ศรีของเกมนี้ต่ำลง ที่สำคัญ พวกนั้นยังแต่งตัวได้ห่วยสิ้นดี ผมไม่ชอบเลย" บ๊อบบี้กล่าวในนิตยสาร Harper
สาเหตุที่บ๊อบบี้เกลียดชาวยิว ทั้งๆที่เขาเองก็เป็นคนเชื้อสายยิวนั้นมีสาเหตุอยู่..
"เขาบอกกับฉันว่าตอนเด็กๆ แม่ของเขามักจะพาเพื่อนชาวยิวมาที่บ้านเสมอ และพวกเขาก็คุยกันอย่างไม่รู้จักจบ มันรบกวนการเล่นหมากรุกของเขาโดยตรง"
"สาเหตุที่เขาแสดงทัศนคติแปลกๆออกมาเพราะอยากให้คนสนใจเขา ถ้าใครสักคนไม่สามารถบอกสิ่งที่อยู่ในจิตใจให้คนอื่นเห็นได้ เขาจะฉายภาพนั้นออกมาให้ทุกคนได้เห็น" หญิงสาวไม่เผยชื่อคนหนึ่งที่เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบ๊อบบี้กล่าวกับ The Guradian
นอกจากเหยียดเชื้อชาติแล้ว บ๊อบบี้ยังแสดงทัศนคติเหยียดเพศออกมาแบบตรงๆอีกด้วยในบทสัมภาษณ์เดียวกัน
"เมื่อผู้หญิงเข้ามาในคลับหมากรุก ก็ได้เปลี่ยนที่แห่งนั้นให้กลายเป็นเหมือนโรงพยาบาลบ้า"
"พวกเธอทุกคนอ่อนแอและโง่เมื่อเทียบกับผู้ชาย พวกเธอไม่ควรเล่นหมากรุก ไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกชนะผมได้ ต่อให้ผมเล่นโดยไม่ใช้อัศวินด้วยซ้ำไป"
กลับกัน ในเส้นทางการเป็นนักหมากรุก บ๊อบบี้ยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง โดยในระหว่างปี 1957-1967 เขาคว้าแชมป์ในประเทศสหรัฐอเมริการวมกันได้มากถึง 8 รายการ และหลังจากนั้นในปี 1970 เขาก็เอาชนะ ทิกราน เปโตรเซียน อีกหนึ่งยอดฝีมือจากสหภาพโซเวียตในการแข่งขัน World Championship of Lightning Chess ณ ประเทศยูโกสลาเวีย ได้สำเร็จ
และนั่นทำให้ปีต่อมา มิคาอิล บอทวินนิก ที่เคยปฏิเสธจะเจอกับ บ๊อบบี้ ฟิสเชอร์ ตกลงที่จะเจอกับเขา พร้อมประกาศกร้าวด้วยความมั่นใจด้วยว่าเขาจะโค่นบ๊อบบี้ได้สำเร็จแน่นอน ทว่าที่สุดแล้ว มิคาอิลกลับเป็นเหยื่ออีกรายให้เขาเชือด โดยบ๊อบบี้เอาชนะไปอย่างขาดลอย 6-0 เกม นับเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดของสหภาพโซเวียตต่อสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่ปี 1876
"บ๊อบบี้ไม่มีข้อผิดพลาดในการเล่นเลย และเขาเพิ่งอายุ 19 นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง" อเล็กซานเดอร์ โคทอฟ ปรมาจารย์หมากรุกให้ความเห็น
ชัยชนะเหนือ มิคาอิล บอทวินนิก ของบ๊อบบี้ ถือเป็นการสั่นคลอนขั้วอำนาจหมากรุกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในยุคสงครามเย็นที่ทั้งสองประเทศจะยอมกันไม่ได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้น เพื่อตัดสินความเป็นหนึ่ง การแข่งขันหมากรุกครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติจึงได้ถือกำเนิดขึ้น
สงครามเย็นบนหมากกระดาน
การแข่งขันหมากรุกครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม ปี 1972 ณ เมืองเรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์ โดยเหตุผลที่เลือกประเทศเล็กๆประเทศนี้เป็นสถานที่แห่งการดวล ก็เพราะไอซ์แลนด์เป็นประเทศหมู่เกาะที่อยู่ห่างไกล ไม่มีบทบาทในทางการเมืองโลก ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายไหน มันจึงเปรียบเสมือน "สนามกลาง" ที่ขั้วอำนาจฝั่งเสรีนิยมประชาธิปไตยจะโคจรมาพบกับฝั่งสังคมนิยมคอมมิวนิสต์
คู่ต่อสู้ของบ๊อบบี้ มีชื่อว่า บอริส สปัสสกี แชมป์โลกหมากรุกคนปัจจุบัน ณ เวลานั้น และถือเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสหภาพโซเวียต ที่ถึงแม้บ๊อบบี้จะมหัศจรรย์ขนาดไหน แต่ทางฝ่ายโซเวียตเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า เขาต้องสยบต่อฝีมือแสนร้ายกาจของสปัสสกีอย่างแน่นอน
ศึกครั้งนี้มีตำแหน่งแชมป์โลกเป็นเดิมพัน นอกจากนั้นผู้ชนะยังจะได้รับเงินรางวัล 2.5 แสนดอลลาร์สหรัฐฯไปนอนกอดอีกด้วย ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดนับตั้งแต่วงการหมากรุกอาชีพได้ก่อตั้งขึ้น
แต่ยังไม่ทันที่การแข่งขันจะเริ่ม บ๊อบบี้ก็ป่วนฝ่ายจัดการแข่งขันเสียยับเยินแล้ว ด้วยสภาพจิตใจในตอนนั้นส่งผลให้บ๊อบบี้เป็นคนขี้ระแวงเป็นอย่างมาก เขามีข้อเรียกร้องมากมาย และถ้าทางฝ่ายจัดการแข่งขันไม่ยอมทำตาม เขาก็พร้อมจะถอนตัวทันที ตัวอย่างเช่น บ๊อบบี้ต้องการให้เอาเก้าอี้ผู้ชมแถวหน้าออกไป รวมถึงขอให้มีคนชิมอาหารและเครื่องดื่มให้กับเขาก่อน เพราะเขากลัวโดนวางยาพิษ
หลังจากจัดการเรื่องวุ่นวายต่างๆ จนทำให้บ๊อบบี้รู้สึกพอใจได้สำเร็จแล้ว การแข่งขันเกมแรกก็เริ่มขึ้นท่ามกลางความสนใจของผู้คนทั่วโลก เพราะอย่างที่บอก นี่ไม่ใช่แค่เกมหมากรุก แต่มันคือสงครามระหว่างขั้วมหาอำนาจของโลก ในสหรัฐอเมริกาถึงขั้นที่มีการถ่ายทอดสดทุกวินาทีของการแข่งขันลงบนจอขนาดยักษ์ ณ ไทม์สแควร์ มหานครนิวยอร์กเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ในเกมแรก บ๊อบบี้กลับพลาดเดินบิชชอปเข้าไปในกับดักที่สปัสสกีวางไว้ ส่งผลให้เขากลายเป็นผู้แพ้ แต่ดูเหมือนบ๊อบบี้จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเอง เขาบอกว่ากล้องถ่ายทอดสดส่งเสียงรบกวนตลอดเวลา ทำให้เขาไม่มีสมาธิ เขาต้องการย้ายลานประลองจากฮอลล์กลางไปยังห้องรับรองเล็กๆในอาคารเดียวกัน
ไม่มีใครได้ยินเสียงรบกวนเหมือนที่บ๊อบบี้กล่าวอ้างเลย ดังนั้น ในตอนแรกข้อเสนอของเขาจึงถูกเพิกเฉย.. แต่คุณก็รู้ว่านี่ใคร บ๊อบบี้ ฟิสเชอร์ มาพร้อมลูกบ้าอยู่แล้ว เขาไม่สนใจว่านี่คือสงครามเย็นหรืออะไรทั้งนั้น เมื่อไม่ได้ตามที่ร้องขอ เขาจึงทำการประท้วงไม่ยอมมาเล่นเกมที่ 2 ส่งผลให้ถูกปรับแพ้ฟาวล์ไป
เมื่อฝ่ายจัดการแข่งขันเห็นท่าไม่ดี คิดว่าบ๊อบบี้คงเอาจริงแน่ สุดท้ายจึงต้องยอมทำตามข้อเรียกร้องของเขา ย้ายโต๊ะแข่งขันไปที่ห้องรับรองดังกล่าว
"มันคือเกมจิตวิทยาของคุณหรือเปล่า?" นักข่าวคนหนึ่งยิงคำถาม หลังจากเรื่องทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว
"จิตวิทยาเป็นเรื่องไร้สาระ ผมสนใจแค่การเดินหมากที่ถูกต้องเท่านั้น"
บ๊อบบี้พูดถูก เขาไม่สนใจเรื่องจิตวิทยาจริงๆ และก็ได้แสดงให้เห็นทันที นับตั้งแต่เกม 3 เป็นต้นไปเขาก็พ่ายแพ้ต่อสปัสสกีอีกเพียงเกมเดียวเท่านั้น ส่วนที่เหลือบ๊อบบี้กวาดชัยได้เรียบ เมื่อสถานการณ์กลับตาลปัตร คราวนี้กลายเป็นฝั่งสหภาพโซเวียตที่เริ่มระแวงบ้างว่าจะมี CIA มาแอบวางยาในน้ำส้มของสปัสสกี หวังให้สมองของเขาทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ถึงขั้นที่การแข่งขันต้องหยุดไปครู่หนึ่ง เพื่อนำน้ำส้มแก้วดังกล่าวไปตรวจสอบ แต่ก็ไม่เจออะไร
เมื่อการประชันปัญญาเดินทางมาถึงเกมที่ 21 สปัสสกีก็ขอยกธงขาวยอมแพ้ บ๊อบบี้คือผู้ชนะ และกลายเป็นแชมป์โลกหมากรุก สำหรับสหภาพโซเวียต นี่คือครั้งแรกในรอบ 24 ปีที่ตำแหน่งแชมป์โลกหลุดลอยไปจากมือของพวกเขา แต่ที่สำคัญที่สุด.. นี่คือการประกาศชัยชนะครั้งสำคัญในสงครามเย็นของฝ่ายประชาธิปไตยต่อฝ่ายคอมมิวนิสต์
"บ๊อบบี้ ฟิสเชอร์ แสดงให้โลกเห็นว่าหมากรุกในระดับสูงของเขาคือการต่อสู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย เป็นความดุเดือดในรูปแบบศิลปะที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ขึ้น" ฮาโรลด์ โชนเบิร์ก นักหมากรุกอาชีพกล่าวถึงการแข่งขันครั้งดังกล่าวไว้ในหนังสือ Grandmasters of Chess
การแข่งขันระหว่าง บ๊อบบี้ กับ สปัสสกี กินเวลายาวนานกว่า 2 เดือน โดยในระหว่างนั้นมีการถ่ายทอดสดตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อบ๊อบบี้ชนะ เขาจึงกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียงระดับประเทศในชั่วข้ามคืน ไม่ต่างอะไรจากศิลปินซูเปอร์สตาร์ ถึงขั้นที่ว่าประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เรียกเขาเข้าไปพบถึงทำเนียบขาวเลยทีเดียว
สำหรับคนอื่น ชัยชนะครั้งดังกล่าวคงเป็นเหมือนประตูแห่งการเริ่มต้นที่เปิดต้อนรับความสำเร็จใหม่ๆที่จะเข้ามาในชีวิต แต่อย่าลืมว่านี่คือ บ๊อบบี้ ฟิสเชอร์ อัจฉริยะหมากรุกผู้ที่หัวใจแตกสลายไปนานแล้ว ทุกอย่างจึงส่งผลตรงกันข้าม ชัยชนะได้ผลักเขาลงสู่ก้นบึ้งชีวิตอันมืดมิดที่เขาไม่อาจปีนกลับขึ้นมาได้อีกเลย
ตัวหมากที่แตกสลาย
หลังกลับจากประเทศไอซ์แลนด์ บ๊อบบี้ที่กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ขวัญใจมหาชนชาวอเมริกันไปแล้ว กลับทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เขาปฏิเสธเงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯที่ผู้สนับสนุนต้องการจะมอบให้ ปฏิเสธการกล่าวสุนทรพจน์ หรือแม้กระทั่งการเซ็นลายเซ็นลงบนกระดานหมากรุกให้กับเหล่าแฟนคลับเขาก็ไม่ยินดี
ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่โลกแห่งหมากรุกที่เขาหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด เขาก็ยังละทิ้งมันไปด้วย ไม่มีใครคาดคิดว่าการแข่งขันระหว่าง บ๊อบบี้ กับ สปัสสกี ในปี 1972 จะกลายเป็นการแข่งขันต่อหน้าสาธารณะชนครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะหายหน้าไปนานกว่า 20 ปี
"หลังจากปี 1972 เป็นต้นไป โลกได้สูญเสียผลงานศิลปะชิ้นสำคัญไปตลอดกาล ถ้าเขา (บ๊อบบี้) ยังปกติดี เชื่อว่าเขาต้องสรรค์สร้างงานศิลปะบนกระดานหมากรุกอีกมากมายแน่นอน" บรูซ แพนโดลฟินี นักวิชาการด้านหมากรุกสากลกล่าว
ไม่มีสาเหตุที่แน่ชัดของการปลีกตัวหลีกหนีสังคมของบ๊อบบี้เผยออกมา แต่ก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าสภาพจิตใจอันเปราะบางของเขานั้นคงจะรับกับชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศต่างๆที่เข้ามาไม่ไหว เนื่องจากบ๊อบบี้ไม่ใช่คนประเภททะเยอทะยานไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ เขาแค่ต้องการเล่นหมากรุกอย่างเงียบๆเท่านั้น
แม้แต่ในปี 1975 ที่ถึงคิวบ๊อบบี้ต้องป้องกันแชมป์โลกหมากรุก (ขณะนั้น การแข่งขันหมากรุกชิงแชมป์โลกจะมีขึ้นทุก 3 ปี) ที่ได้มากับ อนัตลอย คาปอฟ เขาก็ส่งมาแค่จดหมาย พร้อมกับข้อเรียกร้อง 179 ข้อถ้าจะให้เขากลับมาป้องกันแชมป์.. แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าว จนสุดท้ายก็ถูกยึดตำแหน่งแชมป์กลับคืนไป โดยที่ยังไม่ได้ขยับเดินหมากเลยแม้แต่ตาเดียว
"ผมคิดว่าเขาคงรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้" แชมป์โลกคนใหม่อย่าง คาปอฟ กล่าว เขาเองก็ไม่รู้สึกยินดีนักที่ได้แชมป์มาด้วยวิธีนี้
หลังจากนั้น บ๊อบบี้ก็ใช้ชีวิตอย่างคนไร้ถิ่นฐาน ร่อนเร่ไปเรื่อยๆ ตามแต่โชคชะตาฟ้าลิขิต เรียกได้ว่าในตอนนี้ความคิดของบ๊อบบี้นั้นอยู่เหนือความเข้าใจตามสามัญสำนึกทั่วไปจะเข้าใจได้แล้ว นอกจากนั้น เขายังมีอคติกับจิตแพทย์ ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมา บ๊อบบี้จึงไม่เคยได้รับการรักษาวินิจฉัยอย่างจริงจังเลย มีเพียงการคาดเดาของแพทย์ผ่านข้อมูลที่ได้รับจากสื่อเท่านั้นว่าอาการที่บ๊อบบี้เป็นอยู่ มีโอกาสสูงที่จะเป็นโรค Monomania (ความผิดปกติทางจิตใจที่ส่งผลกระทบต่อการรับมือกับสภาพแวดล้อมภายนอก)
"มีคนพบเห็นเขาอาศัยอยู่ในห้องเช่าราคาถูกในลอสแอนเจลิส และเขามักจะออกมานั่งรถบัสประจำทางสายลอสแอนเจลิส-พาซาดีน่า โดยระหว่างนั้นเขาจะนั่งอ่านตำราหมากรุกที่มุมหนึ่งของรถอย่างเงียบๆไปด้วย" คำบอกเล่าของ อีวาน สโลตารอฟ นักเขียนจาก Esquire
จนกระทั่งเวลาเคลื่อนเข้าสู่ปี 1992 หรือ 20 ปีหลังจากการแข่งขันที่ประเทศไอซ์แลนด์ บ๊อบบี้ก็ปรากฏตัวขึ้นในโลกหมากรุกอีกครั้ง โดยเขาได้ตอบรับข้อเสนอมูลค่า 5 ล้านยูโร จากนักธุรกิจชาวเซอร์เบียนามว่า เจดิเมียร์ วาสเจวิค เพื่อ "ศึกรีแมตช์" ระหว่างเขากับสปัสสกี โดยการแข่งขันครั้งนี้ไม่มีสมาคมไหนรองรับ เป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งที่จัดขึ้นโดยมีเงินเป็นตัวกลางเท่านั้น สังเวียนคือ Sveti Stefan รีสอร์ทแห่งหนึ่ง ณ ประเทศยูโกสลาเวีย
ไม่มีข้อยืนยันที่แน่ชัดถึงสาเหตุที่บ๊อบบี้ตอบรับข้อเสนอดังกล่าวทั้งๆที่หายหน้าไปจากโลกหมากรุกนานกว่า 20 ปี แต่มีการคาดเดากันว่า บ๊อบบี้น่าจะต้องการเงินมาเพื่อจุนเจือในการใช้ชีวิต เขากำลังถังแตกอย่างหนัก และเงินรางวัลที่เขาได้จากการชนะสปัสสกีเมื่อ 20 ปีก่อนเขาก็บริจาคให้กับโบสถ์แห่งหนึ่งในกรุงเรคยาวิกจนหมดเกลี้ยงไปแล้ว
แต่เพียงแค่งานแถลงข่าวก็เป็นเรื่องเสียแล้ว เมื่อบ๊อบบี้นำจดหมายจากทางการสหรัฐอเมริกามาให้สื่อมวลชนดู โดยเนื้อความในนั้นระบุว่า ถ้าบ๊อบบี้ตกลงตอบรับการแข่งขันนี้ จะมีความผิดต่อกฎหมายอเมริกา เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวสหรัฐอเมริกากำลังคว่ำบาตรยูโกสลาเวียอยู่ ในฐานะที่เป็นพลเมืองอเมริกา การกระทำที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจยูโกสลาเวียให้ดีขึ้นล้วนเป็นความผิด
แน่นอนว่าบ๊อบบี้ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังฉีกเอกสารดังกล่าวพร้อมถ่มน้ำลายใส่อย่างบ้าคลั่งต่อหน้าสื่อมวลชนกว่า 150 ชีวิต นั่นหมายความว่าต่อจากนี้ถ้าเขาเดินทางกลับสหรัฐอเมริกา เขาจะถูกจับกุมตัวทันที
การแข่งขันรีแมตช์ระหว่าง บ๊อบบี้ กับ สปัสสกี ไม่มีอะไรให้น่าจดจำ เทียบไม่ได้เลยกับเมื่อ 20 ปีก่อน ครั้งนี้ทั้งคู่เหมือนมาเล่นให้มันจบๆไป บ้างก็มีข้อมูลรายงานว่า สปัสสกีรู้สึกสงสารบ๊อบบี้อย่างมาก จึงยอมปล่อยให้เขาชนะไปอย่างสบายๆ อย่างไรก็ตาม ตัวของสปัสสกีเองก็ไม่เคยออกมายืนยันถึงข้อเท็จจริงนี้
หลังจากการแข่งขันครั้งนี้จบลง เมื่อกลับมาตุภูมิบ้านเกิดตัวเองไม่ได้ บ๊อบบี้ก็เลือกที่จะพเนจรไปเรื่อยๆ ตามเมืองต่างๆทั่วโลก โดยไม่หวนกลับสู่อเมริกาอีกเลยแม้กระทั่งวันที่แม่และพี่สาวของเขาเสียชีวิต
มีคนพบเห็นเขาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงบูดาเปสต์ เมืองหลวงประเทศฮังการี ในช่วงปลายยุค 90s หลังจากนั้นในปี 2001 บ๊อบบี้ได้ไปออกรายการวิทยุแห่งหนึ่งในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ พร้อมแสดงทัศนคติที่ใครได้ฟังก็คงรู้สึกโกรธ.. แต่ในอีกมุมหนึ่งก็น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันคือเครื่องยืนยันว่าสติและจิตใจของบ๊อบบี้ในตอนนี้แหลกละเอียดไม่มีชิ้นดีแล้ว
"ผมว่ามันเป็นข่าวดีนะ" บ๊อบบี้พูดถึงเหตุการณ์ 9/11 ที่เครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001
"หลังจากนี้ ประเทศจะถูกปกครองด้วยทหาร และพวกเขาจะจับชาวยิวทั้งหมดมาสังหารหมู่"
มีรายงานว่าบ๊อบบี้ใช้ชีวิตอย่างเพลย์บอยเจ้าสำราญในขณะอาศัยอยู่ที่ฟิลิปปินส์ นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมว่าเขาได้ให้กำเนิดทายาทกับหญิงสาวที่ชื่อ มารีลีน ยัง แต่จนถึงวันนี้ก็ไม่มีการยืนยันถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว
หลังจากอยู่ฟิลิปปินส์ได้ครู่หนึ่ง บ๊อบบี้ก็ย้ายถิ่นฐานสู่แดนอาทิตย์อุทัย ประเทศญี่ปุ่น โดยที่นั่นเขาได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ มิยาโกะ วาตาอิ ประธานสมาคมหมากรุกญี่ปุ่น แต่ทั้งคู่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสหรือมีบุตรด้วยกัน จนกระทั่งในปี 2004 บ๊อบบี้ก็ถูกตำรวจญี่ปุ่นจับกุมในข้อหาพยายามออกนอกประเทศด้วยหนังสือเดินทางปลอม
บ๊อบบี้ต้องใช้ชีวิตอยู่หลังลูกกรงประมาณ 9 เดือน และหลังจากที่เขาได้รับอิสรภาพจุดหมายปลายทางต่อไปซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้ายในชีวิตคือ กรุงเรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์ สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นลานประลองที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล เนื่องจากรัฐบาลประเทศไอซ์แลนด์ยินดีที่จะมอบสถานะพลเมืองให้
เมื่อเดินทางถึงไอซ์แลนด์ บ๊อบบี้ก็เลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ไม่ปรากฏข่าวคราวใดๆให้สาธารณชนได้รับทราบอีก จนกระทั่งในปี 2008 เขาก็ได้เสียชีวิตลงด้วยอาการไตวาย
บ๊อบบี้ ฟิสเชอร์ สิ้นใจอย่างสงบในวัย 64 ปี เท่ากับจำนวนตารางบนกระดานหมากรุกพอดิบพอดี
และแล้วเรื่องราวของนักหมากรุกอัจฉริยะก็เดินทางมาถึงตอนจบ อย่างที่กล่าวไปในตอนต้นว่านี่คือโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับคนธรรมดาคนหนึ่ง คนธรรมดาที่แค่อยากทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แต่กลับโดนทุกอย่างรอบข้างทำร้าย ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ใช้เสร็จก็ทิ้ง ไม่ต่างอะไรจากพลเบี้ยบนกระดานหมากรุก และต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต
ยิ่งเมื่อย้อนกลับไปดูวิดิโอเทปเก่าๆที่บ๊อบบี้เคยไปออกรายการทีวี I Got A Secret เมื่อครั้งอายุ 15 ปี ที่เขาดูไม่ต่างจากเด็กทั่วไปเลยแม้แต่น้อย มีทั้งความสดใส ร่าเริง ช่างพูดช่างคุย ยิ่งรู้สึกสะเทือนใจกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
"รู้สึกเป็นยังไงบ้างกับการเป็นแชมป์หมากรุกที่อายุน้อยที่สุด?" พิธีกรยิงคำถาม
"มันทำให้ผมมีความสุขมากๆเลยล่ะครับ" เด็กชายบ๊อบบี้ตอบ พร้อมฉีกยิ้มแก้มปริ
แต่ถึงจะมีชีวิตที่โหดร้ายแค่ไหน บ๊อบบี้ก็ยังคงมอบมรดกอันล้ำค่าแก่คนรุ่นหลัง สิ่งนั้นคือบันทึกการเดินหมากของเขารวมถึง Bobby Fischer Teaches Chess หนังสือหมากรุกที่ขายดีที่สุดตลอดกาล และเป็นแม่บทให้กับนักหมากรุกกว่า 600 ล้านคนทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน
ก่อนจะหมดลมหายใจ บ๊อบบี้ได้กล่าวคำสั้นๆที่มีความหมายยิ่งใหญ่ เป็นภาพสะท้อนเรื่องราวชีวิตของเขาทั้งหมดแก่หมอที่ทำการรักษาเขาไว้ว่า
"ไม่มีอะไรที่จะเยียวยาได้ดีไปกว่าสัมผัสที่มนุษย์มอบให้แก่กัน"
อัลบั้มภาพ 14 ภาพ