บันทึก 16 ปีจากวันที่ ลีดส์ ทีมขวัญใจคนยุค 2000s ตกชั้น สู่การกลับคืนพรีเมียร์ลีก

บันทึก 16 ปีจากวันที่ ลีดส์ ทีมขวัญใจคนยุค 2000s ตกชั้น สู่การกลับคืนพรีเมียร์ลีก

บันทึก 16 ปีจากวันที่ ลีดส์ ทีมขวัญใจคนยุค 2000s ตกชั้น สู่การกลับคืนพรีเมียร์ลีก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

16 ปีที่รอคอยของ ลีดส์ ยูไนเต็ด สิ้นสุดลงแล้วโดยสมบูรณ์ ...

ทันทีที่ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน แพ้ให้กับ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ 1-2 ทำให้แต้มของ ลีดส์ การันตีการเลื่อนชั้นโดยอัตโนมัติ สิ่งที่เกิดขึ้นคือแฟนบอลของพวกเขาออกมารวมตัวกัน จุดพลุเฉลิมฉลองชนิดที่ว่า COVID-19 ก็ไม่เกรง เพราะนี่คือความสำเร็จที่พวกเขาเคยเลิกหวังไปแล้วว่าจะได้กลับมาเล่นในลีกสูงสุดอีกครั้ง

และนี่คือบทสรุปของช่วงเวลา 16 ปีแห่งความหลังของทัพยูงทอง จากวันที่รุ่งเรืองสุดขีดระดับเขย่าวงการฟุตบอลยุโรป สู่การตกชั้นแล้วตกชั้นเล่าจากพรีเมียร์ลีกไปยังลีกวัน กระทั่งทุกวันนี้พวกเขากลับมาแล้ว

เกิดอะไรขึ้นบ้างตลอดการรอคอยที่แสนยาวนาน ติดตามกับ MainStand ที่นี่

พลาดแค่ก้าวเดียว...

ก่อนจะเปลี่ยนเข้าสู่ พรีเมียร์ลีก ... ลีดส์ ยูไนเต็ด คือแชมป์ทีมสุดท้ายของ ดิวิชั่น 1 ลีกสูงสุดในสมัยนั้นเมื่อฤดูกาล 1991-92 แม้ว่าเมื่อเข้าสู่ยุคพรีเมียร์ลีกพวกเขาจะไม่เคยได้แชมป์อะไรเลย แต่ ลีดส์ ก็เป็นทีมที่มีจุดขายที่โดดเด่น มีคาแร็คเตอร์ที่ดุดัน เพราะพวกเขาเป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องการให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งที่พร้อมจะบดทุกทีมอย่างไม่กลัวใคร


Photo : www.justarsenal.com

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นในปี 1998 เมื่อ เดวิด โอเลียรี่ เข้ามาเป็นกุนซือแทนที่ จอร์จ เกรแฮม ซึ่งย้ายไปคุม ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ... โอเลียรี่ คือคนที่เชื่อมั่นกับระบบเยาวชนของสโมสรมาก เพราะเขาเคยเป็นอดีตนักเตะของทีม เมื่อรับงาน เขาได้ใช้นักเตะเยาวชนหลายๆ คนขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ และที่โดดเด่นสุดๆ ณ เวลานั้นคือ แฮร์รี่ คีเวลล์, พอล โรบินสัน, เอียน ฮาร์ท, โจนาธาน วู้ดเกต, อลัน สมิธ และ สตีเฟน แม็คเฟล นั่นเอง

"เรามีนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดีเต็มทีม แต่ช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรที่จะชี้นำว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา เราเพียงแค่ออกไปเล่นเท่านั้น" สตีเฟน แมคเฟล ย้อนความหลังกับ The 42 ถึงความไม่เคยกลัวใครของทีมชุดดังกล่าว

โอเลียรี่ ไม่ใช่แค่ปั้นเด็กเท่านั้น ศาสตร์ของการเสริมทัพของเขาก็ไม่ใช่เล่น นักเตะที่ดึงเข้ามาร่วมทีมในช่วงยุคต้นปี 2000 ถือเป็นการรวมกลุ่มของนักเตะที่มีความลงตัวที่สุด ผู้นำที่ไว้ใจได้ที่อยู่มาแต่เดิมอย่าง ลูคัส ราเดเบ้ และ เดวิด แบ็ตตี้ นักเตะที่เสริมทัพเข้ามาอย่าง มาร์ค วิดูก้า ผนวกเข้ากับกลุ่มเด็กนรกที่เล่นเกมพรีเมียร์ลีกครบ 100 นัดตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ คือสไตล์ที่ โอเลียรี่ ทำให้ทุกคนจำ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในยุคนั้นได้ 

"ผมอยากจะเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของสโมสรฟุตบอลลีดส์ ยูไนเต็ด ผมอยากให้ลีดส์สร้างชื่อเสียงในระดับโลกด้วยทีมที่มีสไตล์การเล่นที่น่าดึงดูด เน้นเกมบุก และความคิดในแง่บวกในการออกไปคว้าชัย ไม่ใช่ฆ่าพวกเขา" โอเลียรีกล่าวกับ Telegarph 


Photo : www.telegraph.co.uk

ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในยุค 2000 ต้นๆ ลีดส์ ชุดดังกล่าวมีสไตล์ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในพรีเมียร์ลีก ไม่ว่าจะเหย้าหรือเกมเยือนพวกเขาบุกแหลก พวกเขาไม่รู้จักไฮบิวรี่ ไม่รู้จักโอลด์ แทรฟฟอร์ด ไม่รู้จักแอนฟิลด์ จะเก๋าแค่ไหนก็พร้อมใช้ความสดเข้าแลกเสมอ 

โอเลียรี่ พา ลีดส์ ติดอันดับหัวตารางเสมอมา โดยเฉพาะในฤดูกาล 2000-01 ที่ได้โบนัสด้วยการเข้าไปถึงรอบตัดเชือกของ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ด้วยการผ่านทีมอย่าง บาร์เซโลน่า และ เอซี มิลาน ทว่าโดน บาเลนเซีย สอยร่วงก่อนถึงฝั่งฝันเสียก่อน แต่อย่างน้อยทีมชุดนั้นก็กลายเป็นขวัญใจมหาชนไปโดยปริยาย 

น่าเศร้าที่ฟอร์มใน แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาลนั้น กลายเป็นผลงานที่ดีที่สุดของลีดส์ ที่เคยทำได้จวบจนถึงปัจจุบัน พวกเขาจบในอันดับ 4 ของตารางในปีนั้น และพลาดสิทธิ์ผ่านเข้าไปเล่นใน UCL ที่ทำให้ขาดรายได้อย่างมหาศาล (ยุคดังกล่าว อังกฤษยังได้โควต้าถ้วยใหญ่ยุโรปเพียง 3 ทีม)

การไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลถ้วยใหญ่สโมสรยุโรป ทำให้ลีดส์ประสบปัญหาทางการเงิน พวกเขาจำเป็นต้องเทขายนักเตะล้างหนี้ ไม่ว่าจะ ริโอ เฟอร์ดินานด์, โจนาธาน วู้ดเกต หรือ แฮร์รี่ คีเวลล์ ซึ่งทำให้ทีมทรุดหนักขึ้น และสุดท้ายอย่างที่ทุกคนรู้กัน ลีดส์ ตกชั้นไปอย่างน่าเสียดาย ... การวางแผนที่ผิดพลาดเหมือนกับการก้าวเดินไปยังกับดักที่พวกเขาไม่รู้ตัว จากความสำเร็จที่อยากได้กลายเป็นเหวที่ลึกกว่าที่พวกเขาคิด ... เยอะเลยทีเดียว 

 

เหวนี้ลึกกว่าที่คิด

หลังจากตกชั้น นักเตะทุกคนที่ชื่อคุ้นหูก็จำเป็นต้องย้ายออกเพื่อพยุงการเงินของสโมสร มาร์ค วิดูก้า, เจมส์ มิลเนอร์, สตีเฟน แม็คเฟล, เอียน ฮาร์ท และ อลัน สมิธ ทุกคนต้องย้ายออกแบบไม่มีข้อแม้ เพราะถึงจะขายและระบายนักเตะออกไปขนาดนั้น แต่หนี้สะสมของ ลีดส์ มากถึง 100 ล้านปอนด์เลยทีเดียว


Photo : www.yorkshireeveningpost.co.uk

สำหรับฟุตบอลยุคใหม่ รายรับ รายจ่าย คือสิ่งสำคัญที่ไม่แพ้กับฟอร์มในสนาม และ ลีดส์ สอบตกเรื่องนี้แบบเต็มๆ พวกเขาอยากจะกลับไปในพรีเมียร์ลีกให้เร็วที่สุด แม้จะขายตัวดังๆ ออกไป แต่ก็ยังเจียดเงินเซ็นสัญญานักเตะใหม่เข้ามาหลายราย แต่กลับไม่มีใครใช้งานได้เลยแม้แต่คนเดียว ยิ่งพวกเขาพยายามจะเลื่อนชั้นภายในปีเดียวมากเท่าไหร่ เป้าหมายก็ดูไกลออกไปเท่านั้น 

ฤดูกาล 2004-05 อันดับ 14 คือที่ที่พวกเขาจอดป้ายใน ลีกแชมเปียนชิพ อดเลื่อนชั้นแบบไม่ได้ลุ้น แม้ซีซั่น 2005-06 จะพอได้ลุ้นด้วยการไปเล่นรอบเพลย์ออฟเลื่อนชั้นแต่สุดท้ายก็แห้วอีกตามเคย ยิ่งลงทุนก็ยิ่งจม สุดท้ายสิ่งที่แฟน ลีดส์ ไม่เคยคิดถึงก็มาเยือน พวกเขาอยากจะเลื่อนชั้น แต่ปัญหาทางการเงินทำให้นักเตะในทีมที่เหลืออยู่มีคุณภาพไม่พอ จนกระทั่งสุดท้าย ลีดส์ ตกชั้นไปเล่น ลีกวัน (ดิวิชั่น 3) ในฤดูกาล 2006-07 ภาพสะเทือนใจเกิดขึ้นในเกมสุดท้ายของฤดูกาล ที่แฟนบอลทำป้ายผ้าที่เขียนว่า "ความรู้สึกที่แสนเจ็บปวด" (Feel The Pain) บ่งบอกทุกอย่างเวลา ความฝันของพวกเขาจบสิ้นแล้ว เหลือแต่โลกแห่งความจริงที่ไม่เคยปราณีใครทั้งนั้น ที่รอพวกเขาอยู่ 


Photo : www.thescratchingshed.com

การตกชั้นไป ลีกวัน ด้วยปัญหาทางการเงิน ทำให้ ลีดส์ ต้องลงไปเล่นพร้อมๆ กับแต้มติดลบ 15 แต้ม นั่นมากพอที่จะทำให้พวกเขาไม่สามารถกลับมาเล่นใน แชมเปี้ยนชิพ ได้ภายในปีเดียว ณ เวลานั้นกุนซืออย่าง เดนิส ไวส์ พยายามอย่างเต็มที่ เก็บแต้มได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่ 15 แต้มที่โดนลบไป ทำให้พวกเขาได้เพียงอันดับที่ 5 ในฤดูกาล 2007-08 จากการมี 76 แต้มเท่านั้นๆ ทั้งที่จริงๆ แล้วพวกเขาควรจะได้ 91 แต้ม และเลื่อนชั้นด้วยการเป็นรองแชมป์ ลีกวัน ไปแล้วด้วยซ้ำ 

เดนิส ไวส์ กุนซือของ ลีดส์ ในเวลานั้นจำเป็นจำต้องพาทีมเล่นในลีกระดับ 3 ของประเทศไปอีก 1 ปี หลังจากพ่ายให้กับ ดอนคาสเตอร์ ในรอบชิงชนะเลิศของการเพลย์ออฟเลื่อนชั้น ก่อนจะแห้วอีกรอบในฤดูกาล 2008-09 เมื่อพวกเขาจบอันดับ 4 และพ่าย มิลล์วอลล์ ในเกมเพลย์ออฟเลื่อนชั้นรอบรองชนะเลิศ

ปีที่ 3 ใน ลีกวัน เป็นไปอย่างเร้าใจ นักเตะของ ลีดส์ ชุดนั้นโดดเด่นขึ้นมาหลายคนทั้ง โรเบิร์ต สน็อดกราสส์, เจอร์เมน เบ็คฟอร์ด และลูกหม้ออย่าง จอห์นนี่ ฮาวสัน ... Third Time Lucky ... ลีดส์ เลื่อนชั้นได้อย่างสบายๆ กลับสู่ แชมเปียนชิพ ได้สำเร็จพร้อมกับการเฉลิมฉลองแบบ "ปิดเมืองเมาหัวทิ่ม" โดยที่ยังไม่รู้ว่าเวรกรรมเมื่อครั้งอดีตยังไม่จบสิ้น เรื่องเงินๆ ทองๆ ยังคงตามเล่นงานอยู่เป็นเงา 

เคน เบตส์ ประธานสโมสรของ ลีดส์ ส่ายหัวให้กับสภาพคล่องทางการเงินที่ไม่อาจจะไปได้ไกลกว่านี้ บวกกับผลงานที่ห่างไกลการเลื่อนชั้นและแทบไร้อนาคตจะฟื้นในเร็ววัน เขาขายทีมให้กับกลุ่มทุนที่ชื่อว่า GFH Capital ในช่วงปลายปี 2013 ก่อนที่หลังจากนั้นไม่ถึงปี ความปั่นป่วนจะเริ่มขึ้นอย่างจริงจัง เมื่อ มัสซิโม่ เชลลิโน่ เศรษฐีชาวอิตาเลี่ยน เข้ามาซื้อสโมสรต่อจาก GFH และเริ่มเข้ามาเปลี่ยนแปลงหลายอย่างตามใจชอบ และบางอย่างก็ดูชวนงง 

เช่น การไล่ ไบรอัน แม็คเดอร์ม็อตต์ กุนซือของทีมออกทันทีหลังจากเป็นเจ้าของ ก่อนที่หลังจากนั้นไม่กี่วันเขาจะแต่งตั้ง แม็คเดอร์ม็อตต์ เข้ามาเป็นกุนซืออีกครั้ง และอีกไม่กี่อึดใจ แม็คเดอร์ม็อตต์ ก็โดนไล่ออกเป็นครั้งที่ 2 พร้อมแต่งตั้งกุนซืออย่าง เดฟ ฮ็อกกาเดย์ กุนซือจาก ฟอเรสต์ กรีน ทีมนอกลีกเข้ามาคุมทีมแทน ซึ่ง ฮ็อกกาเดย์ ได้คุมทีมแค่ 6 นัด เชลลิโน่ ก็ไล่เขาออกจากตำแหน่ง ... 


Photo : Empics Sport

มันคือช่วงเวลาที่ ลีดส์ ไม่ต้องหวังเลื่อนชั้นเพราะมันไกลเกินตัว พวกเขาทำได้เต็มที่แค่ทีมกลางตาราง อย่างดีสุดๆ ก็แค่เฉี่ยวๆ ตำแหน่งเพลย์ออฟ ส่วนหนึ่งเพราะ เชลลิโน่ นั้นเปลี่ยนกุนซือเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า ณ เวลานั้นหากไม่ใช่แฟน ลีดส์ แล้ว ก็แทบไม่มีใครรู้เลยว่ากุนซือของทีมยูงทองคือใครกันแน่ 

ดาร์โก้ มิลานิก, นีล เรดเฟิร์น, อูเว่ รอสเลอร์, สตีฟ อีแวนส์ และ แกรี่ มังค์ 5 คนเน้นๆ แต่ไม่เคยได้เพลย์ออฟเลยแม้แต่ครั้งเดียว สุดท้าย เชลลิโน่ ที่ทำเละจนสาแก่ใจ ก็ขายสโมสรต่อให้กับ อันเดรีย ราดริซซานี่ นักธุรกิจหนุ่มเพื่อนร่วมชาติที่เข้ามาเทคโอเวอร์ในฤดูกาล 2017-18  

ราดริซซานี่ เล่าว่า เริ่มแรกเขามองหาทีมฟุตบอลสักทีมที่ สเปน, ฝรั่งเศส หรืออิตาลี เพื่อมาทำธุรกิจสร้างนักเตะและขายทำกำไร จนกระทั่งความคิดเปลี่ยนเมื่อเขาเจอกับ เคนนี่ ดัลกลิช ที่กรุงลอนดอน ก่อนที่ ดัลกลิช จะพูดชื่อของ ลีดส์ ขึ้นมาระหว่างทั้งสองคนกำลังกินอาหารกลางวันกันอยู่ 


Photo : www.footballfancast.com

"เราพูดถึงทีมที่มีมรดกและประเพณีอย่าง ลีดส์ และเขาอยากให้ผมนำลีดส์กลับมาสู่ยุครุ่งเรื่องอีกครั้ง วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมเข้าใจถึงประวัติศาสตร์ของทีมๆ นี้ และที่สำคัญที่สุด ผมมันเป็นพวกชอบความท้าทาย และการปลุกยักษ์หลับให้ตื่น พลิกโฉมองค์กรๆ หนึ่งให้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ คือของชอบของผมเลย" ราดริซซานี่ กล่าวถึงเบื้องหลังการซื้อทีม

มาถึงเจ้าของทีมคนนี้ ลีดส์ ได้พบกับคนที่พวกเขาคู่ควรจริงๆ เสียทีหลังผ่านช่วงเวลาที่เจ็บปวดมานานร่วมทศวรรษ เพราะ ราดริซซานี่ มาแบบ "เอาแน่" ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนที่สุด

 

เลือกถูกคนร่นเวลาไปเยอะ 

ยุค เคน เบตส์, GFH และ เชลลิโน่ คือยุคที่การบริหารทีมมีขึ้นมีลงแบบขอแค่เอาตัวรอดไม่ขาดทุน แต่ยุคจอง ราดริซซานี่ คือของจริง เขาเข้ามาและกางโร้ดแม็ปให้แฟน ลีดส์ ชื่นใจ ด้วยการประกาศว่าเป้าหมายของทีมคือการกลับไปเล่น พรีเมียร์ลีก อีกครั้งให้ได้ โดยไม่ต้องรอเป็น 10 ปีเหมือนยุคผู้บริหารที่ผ่านมา


Photo : gianlucadimarzio.com

"ผมให้เวลาตัวเองแค่ 5 ปีเท่านั้นสำหรับการพาทีมขึ้นสู่ พรีเมียร์ลีก ถ้าผมทำไม่ได้ผมขายสโมสรนี้แน่นอน ผมบอกเลยว่าตอนนี้ผมเหมือนกับเด็กอายุ 20 ปี ที่เต็มไปด้วยความฝันและช่วงเวลาที่น่าตื่นตาตื่น ชีวิตคนเรานั้นเต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์ และแน่นอนที่สุดผมรอไม่ได้แล้วที่จะเห็นทีมกลับไปยังลีกสูงสุดของประเทศ" ราดริซซานี่ กล่าวกับ The Guardian ในช่วงที่เขาเป็นเจ้าของใหม่ 

100 ล้านปอนด์ คือเงินที่ ราดริซซานี่ ใช้ในการปลุกยักษ์หลับ โดยแบ่งเป็น 20 ล้านปอนด์เพื่อนำ เอลแลนด์ โร้ด สังเวียนเหย้าของทีมกลับมาอยู่เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง หลังจากที่เคยจำนองเอาไว้ตั้งแต่ตอนตกชั้นจาก พรีเมียร์ลีก ส่วนก้อนที่เหลือคือการปลดหนี้และนำมาซื้อนักเตะอายุน้อยคุณภาพสูง เพื่อทำให้เข้าใกล้ความจริงมากกว่าที่เคย 

ราดริซซานี่ แต่งตั้ง โธมัส คริสเตียนเซ่น กุนซือชาวเดนมาร์กเข้ามาคุมทีมเป็นคนแรกในยุคของเขา แม้ในยุคของ คริสเตียนเซ่น จะไม่ได้เลื่อนชั้นอย่างที่หวัง แต่การเสริมทัพ ณ เวลานั้นเป็นไปอย่างยอดเยี่ยม ลีดส์ เริ่มจากการขาย คริส วู้ด กองหน้าคนสำคัญ กับ ชาร์ลี เทย์เลอร์ แบ็คซ้าย ให้กับ เบิร์นลี่ย์ ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ และ 6 ล้านปอนด์ตามลำดับ ก่อนจะแปลงสภาพกลายเป็นผู้เล่นใหม่ฝีเท้าดีอีกหลายคน ชื่อของ ปาโบล เอร์นันเดซ, พอนตุส แยนส์สัน, มาเตอุซ คลิทช์ คือ 1 ในกลุ่มที่กล่าวมา และส่วนใหญ่ยังเป็นกำลังหลักให้ทีมจนถึงทุกวันนี้ 

ปีแรกของ ราดริซซานี่ ในการพลิกฟื้นองค์กร ทำได้แค่รื้อของเก่าเท่านั้น ผลงานทีมไม่ค่อยดีนัก จบด้วยอันดับที่ 13 ของตารางคะแนน แต่เขาไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเพราะมีโร้ดแม็ปเป็นของตัวเอง นี่แค่ 1 ส่วน 5 ของเป้าหมายที่วางไว้ และเขามีแผนรองรับสำหรับทีมในฤดูกาลต่อไปแล้ว ... หนนี้จะไม่ใช่แค่นักเตะที่ดี แต่จะเป็นกุนซือที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย 

"ช่วงท้ายๆ ของปีแรกลำบากมากจริงๆ ผมเป็นคนเห็นความสำคัญของเงินทุกสตางค์ที่ตัวเองใช้ และผมจะจัดการมันด้วยตัวเอง หลังจากจบซีซั่น ผมถามผู้อำนวยการสโมสรของเราแบบตรงๆเลย 'เอาล่ะ ผมขอชื่อของผู้จัดการทีมคนใหม่สัก 3 ชื่อ แต่ต้องเป็นชื่อที่การันตีการเลื่อนชั้นด้วยนะ' จากนั้นผมก็บอกอีกว่าเรื่องเงินน่ะผมไม่อั้นหรอก งบผมมี 20 ล้านปอนด์ ต่อให้ต้องจ้าง อันโตนิโอ คอนเต้ ผมก็จ่ายไหว ถ้ามันการันตีการไป พรีเมียร์ลีก ของเรา" ราดริซซานี่ กล่าว

การหวังกับกุนซือระดับ คอนเต้ ดูจะเป็นอะไรที่เกินตัวไปหน่อย คอนเต้ นั้นคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก และ เซเรียอา มาแล้ว ดังนั้น เป้าหมายของ ลีดส์ และ ราดริซซานี่ จะต้องลดสเป็คลงบ้าง ... ดังนั้นต้องลองหาใหม่ ก่อนที่ วิคเตอร์ ออร์ต้า ผู้อำนวยการสโมสรจะลองยุเขาเล่นๆ ว่า

"มาร์เซโล่ บิเอลซ่า น่าจะเหมาะนะ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก" ออร์ต้า ว่าเช่นนั้นเพราะ บิเอลซ่า ก็เป็นหนึ่งในกุนซือระดับโลกที่แม้แต่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังยอมซูฮก 


Photo : www.yorkshireeveningpost.co.uk

คำว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับ ราดริซซานี่ คือสิ่งที่เขาชอบฟังที่สุด เมื่อมันเข้าหูเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องท้าทาย ดังนั้นเขาต้องไปเอาตัว บิเอลซ่า มาให้ได้ 

"พอ ออร์ต้า บอกว่าเป็นไปไม่ได้ ผมนี่หูผึ่งเลย ผมรีบบอกเขา งั้นคุณโทรหาเขา (บิเอลซ่า) ด่วนเลย ถ้าไม่ตอบกลับก็ฝากข้อความเอาไว้ แล้วเดี๋ยวผมจัดการเอง" ราดริซซานี่ ว่าไว้ ก่อนที่หลังจากนั้นไม่กี่วันเขาจะบินไปยัง บัวโนส ไอเรส ประเทศ อาร์เจนติน่า เพื่อพบกับ บิเอลซ่า ด้วยตัวเอง และจัดการปิดดีลได้สำเร็จ 

 

ใจถึงพึ่งได้ 

บิเอลซ่า เข้ามาคุมทีม ลีดส์ ในฤดูกาล 2018-19 ณ เวลานั้นมีแต่ความงุนงงกับผู้คนที่สงสัยว่า กุนซือระดับตำนานอย่าง บิเอลซ่า มาทำอะไรที่ลีกรองของอังกฤษ? 


Photo : www.standard.co.uk

จริงอยู่เรื่องเงินนั้นสำคัญแน่ เพราะมีการเปิดเผยว่า ราดริซซานี่ ให้สัญญา 2 ปีกับ บิเอลซ่า ด้วยค่าเซ็นสัญญาถึง 12 ล้านปอนด์ เมื่อเอามาเฉลี่ยเป็นต่อสัปดาห์รวมกับหักลบภาษีแล้ว บิเอลซ่า ได้เงินมากยิ่งกว่าที่ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ จ่ายเงินจ้าง แกเรธ เซาธ์เกต กุนซือที่พาทีมคว้าอันดับ 4 ในฟุตบอลโลก 2018 ด้วยซ้ำ

แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันคือเรื่องความทะเยอทะยานของ ราดริซซานี่ ที่ทำให้ บิเอลซ่า ตอบรับงานนี้ เขาจะได้ทุกอย่างที่เขาต้องการ นักเตะ ทีมงาน หรือแม้กระทั่งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ขอเพียงแค่ 2 ปี ต้องได้ไปพรีเมียร์ลีกเท่านั้นเอง 

"ความทะเยอทะยานของเราสอดคล้องกัน ในตลาดซื้อขายผมกล้าหวังถึงนักเตะระดับ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช หรือ เอดิสัน คาวานี่ แต่ บิเอลซ่า บอกว่าไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก บิเอลซ่า อยากจะรู้จักนักเตะในทีม และคุยกันตรงๆ ในการเลือกซื้อนักเตะในตลาดซื้อขาย ดังนั้นเราต้องรู้แน่ว่านักเตะสไตล์ไหนที่เขาชอบ ผมให้ วิคเตอร์ ออร์ต้า เกาะติดเขาเป็นเงาเลยล่ะ" ราดริซซานี่ ว่าต่อ 

บิเอลซ่า ซื้อนักเตะเข้าสู่ทีมชุดใหญ่เพียง 3 คนเท่านั้นได้แก่ แบร์รี่ ดักลาส, แพทริก แบมฟอร์ด และ กิโก้ กาซิย่า ส่วนที่เหลืออีก 3 คนเป็นดาวรุ่งวัยทีน แต่แค่นั้นก็ดีพอ ลีดส์ ประคองตัวเป็นจ่าฝูงของลีกอยู่นานสองนาน จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปแบบไม่น่าเชื่อ ทุกอย่างที่ดูจะแบเบอร์ กลับตลาดปัตรไปหมด

ในเกมนัดที่ 43 ลีดส์ แพ้สุดช็อคให้กับ วีแกน ที่เหลือผู้เล่นแค่ 10 คน จากนั้นเด็กหนุ่มของ บิเอลซ่า ก็สติแตก จากจะเป็นแชมป์ก็จบได้แค่ในอันดับเพลย์ออฟ และโชคร้ายยังไม่หมด เขายังโดนแฉเรื่องการแอบสอดส่องข้อมูลคู่แข่งในรอบเพลย์ออฟอย่าง ดาร์บี้ ในคดี "สปายเกต" จนทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต (และยิ่งชวนให้ช็อกกว่านั้น เมื่อ บิเอลซ่า ยอมรับอย่างภาคภูมิว่า เขาสปายคู่แข่ง "ทั้งลีก") ก่อนจะโดนปรับเงินก้อนใหญ่ไป ซึ่งนอกจากจะเสียเงินแล้ว ทีมที่กำลังเสียสมาธิก็รับผลกระทบนั้นไปด้วย ... ลีดส์ แพ้ให้กับ ดาร์บี้ ในรอบรองชนะเลิศ นักเตะของ ลีดส์ ที่อยู่ในช่วงวัยเฉลี่ยไม่เกิน 25 ปี ต้องเสียน้ำตาจากความพ่ายแพ้นั้น มีเพียงแค่ บิเอลซ่า ที่เดินขึ้นไปฉุดมือลูกทีมของเขาทีละคน เพื่อเป็นสัญญาณบอกว่า "ปีหน้าจะต้องเป็นปีของเรา" 


Photo : www.yorkshirepost.co.uk

ลีดส์ และ บิเอลซ่า กลับมาอีกครั้งในฤดูกาล 2019-20 หนนี้พวกเขามาในสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง เป้าหมายที่แน่นอน และการเสริมทัพที่ถูกจุด โดยเฉพาะนักเตะที่ยืมตัวมาอย่าง แจ็ค แฮร์ริสัน (แมนฯ ซิตี้), เบน ไวท์ (ไบรท์ตัน), เอลแดร์ คอสต้า (วูล์ฟส์) หรือแม้กระทั่งตัวที่อยู่ไม่จบฤดูกาลอย่าง เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ (อาร์เซน่อล) ต่างเป็นนักเตะระดับคีย์แมนที่เปลี่ยนผลการแข่งขันให้กับทีมได้ทั้งสิ้น 

ไม่จำเป็นต้องมี ซลาตัน ไม่ต้องมี คาวานี่ หรือกระทั่งกุนซืออย่าง คอนเต้ เพราะตอนนี้ ลีดส์ ได้เลือกคนถูกแล้ว บิเอลซ่า เข้ามาใช้เวลา 2 ปี เขาใช้เงินซื้อนักเตะน้อยจนไม่น่าเชื่อ (2 ฤดูกาลรวมกันแค่ 10 ล้านปอนด์) แต่เมื่อมีความเชี่ยวชาญในการดึงศักยภาพนักเตะที่มีอยู่มากพอ บิเอลซ่า ก็เปลี่ยนให้เด็กๆ ของเขา เลื่อนชั้นสู่ พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ หนนี้เป็นการนำแบบม้วนเดียวจบ แม้จะมีการระบาดของ COVID-19 มาคั่นแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ลีดส์ สะสมความเจ็บปวดและเรียนรู้จากมันมามากพอแล้ว ... ราดริซซานี่, บิเอลซ่า, นักเตะ และ แฟนบอล ได้รวมกันเป็นหนึ่ง ณ เวลานี้ 


Photo : roblufc.org

"ฐานแฟนบอล, สนามแข่งขัน, สิ่งอำนวยความสะดวก เรามีทุกอย่างในแบบที่ทีมในพรีเมียร์ลีกมี ผมมาอยู่ที่นี่ก็รู้ได้ทันทีถึงแพชชั่นของสโมสรที่จะประสบความสำเร็จ" แพทริก แบมฟอร์ด กองหน้าเบอร์ 1 ของทีม เริ่มพูดถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อทีมมีผู้บริหารที่ดีและกุนซือที่ใช่

"ผมเป็นหนี้บุญคุณ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า เขาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่เห็นความสามารถในตัวผมในตำแหน่งหมายเลข 9.5 (หน้าเป้า กึ่งเพลย์เมคเกอร์) ก่อนหน้านี้ผมเคยเล่นแต่ตัวเป้าหรือไม่ก็ริมเส้น แต่ บิเอลซ่า เข้ามาและให้ความเชื่อมั่นกับผมอย่างสุดๆ ทำให้ผมเป็นนักเตะที่ดีขึ้นกว่าที่เคยเป็น ... ผมอยากขึ้นไป พรีเมียร์ลีก ผมชอบที่จะได้ดวลกับทีมอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด หรือ ลิเวอร์พูล แต่มันจะยอดเยี่ยมกว่าถ้าได้ยิงประตูพวกเขาใน เอลแลนด์ โร้ด" แบมฟอร์ดกล่าว 

ตอนนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับ ลีดส์ ต่างรอไม่ไหวที่จะได้เจอกับลีกสูงสุดหลังจากรอคอยมาตลอด 16 ปี สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่มีใครรู้ว่า ลีดส์ จะบินสูงได้แค่ไหน แต่นี่คือความสำเร็จที่คู่ควรกับทีมที่ได้เรียนรู้จากความผิดหวัง และนับหนึ่งสู่ยุคสมัยใหม่อย่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด โดยแท้จริง 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook