adidas F50 : ขุดจุดกำเนิดสตั๊ดสายความเร็วที่ "เมสซี่" ใส่ครองโลก

adidas F50 : ขุดจุดกำเนิดสตั๊ดสายความเร็วที่ "เมสซี่" ใส่ครองโลก

adidas F50 : ขุดจุดกำเนิดสตั๊ดสายความเร็วที่ "เมสซี่" ใส่ครองโลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คนมันเก่งใส่อะไรก็เก่ง ... กระบี่อยู่ที่ใจ แค่ไม้ไผ่ก็ไร้เทียมทาน ... หรือประโยคใดก็แล้วแต่ที่มีความหมายว่า อุปกรณ์ไม่สำคัญเท่ากับผู้ใช้งาน คือเรื่องจริงที่เราไม่อาจปฎิเสธได้ แต่ก็ใช่ว่าอุปกรณ์ที่มีคุณภาพจะไม่ได้มีประโยชน์เสมอไป

นี่คือเรื่องราวของ อาดิดาส F50 รองเท้าสตั๊ดที่เป็นซิกเนเจอร์ของ ลิโอเนล เมสซี่ นักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลก ซึ่งว่ากันว่าเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้ยอดฝีมืออย่าง เมสซี่ ติดปีกจนเราสามารถกล่าวได้ว่า "วรยุทธใต้หล้า ตัดสินแพ้ชนะ วัดที่ความเร็ว"  

รองเท้าคู่เดียวเปลี่ยนอะไรได้ขนาดนั้นจริงหรือ? ติดตามได้ที่นี่

อาดิดาส ผู้ซื้ออนาคต

ลิโอเนล เมสซี่ นักเตะเจ้าของบัลลงดอร์ 6 สมัย และถูกกล่าวขานว่าเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ กลายเป็นภาพจำพร้อมๆ กับรองเท้าสตั๊ดจากแบรนด์ อาดิดาส รุ่น F50 ที่เป็นผู้เขย่ากระแสให้โด่งดังไปทั้งโลก 


Photo : www.thesun.co.uk

หลายคนอาจจะเข้าใจว่าอาดิดาส อยู่กับ เมสซี่ มาตั้งแต่วันที่เขาตั้งไข่ แต่จริง ๆ แล้วมันคือการซื้ออนาคต และการเดินหมากแลกหมัด วัดกันแบบคุณทีผมที ... ถ้าจะวาดภาพให้เข้าใจง่ายๆ คือ ปัจจุบัน อาดิดาส คือ เมสซี่ และ ไนกี้ คือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ... 2 แบรนด์รองเท้าที่ใหญ่ที่สุด พยายามสร้างอุปกรณ์ให้กับนักเตะที่ดีที่สุดในการสนับสนุนของพวกเขา เพื่อชิงสิทธิ์ความเป็นหนึ่งในโลกลูกหนัง  

เดิมที เมสซี่ ไม่ได้สวมใส่ อาดิดาส ตั้งแต่แรก แต่แบรนด์แอมบาสเดอร์อันดับ 1 ของแบรนด์ 3 แถบ นั้น คือ ผู้นิยมชมชอบกับการสวมใส่ ไนกี้ แบรนด์คู่แข่งมาก่อน

เรื่องดังกล่าวต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นนักเตะเยาวชนของ บาร์เซโลน่า โดย บาร์ซ่า นั้นเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่เหนียวแน่นที่สุดของ ไนกี้ โดยมีรุ่นพี่ที่ เมสซี่ เคารพและชื่นชมอย่าง โรนัลดินโญ่ นำร่องมาก่อน และเรื่องดังกล่าวมีอิทธิพลในการเลือกรองเท้าของเมสซี่ เป็นอย่างมาก 

เมสซี่ ตามรอย โรนัลดินโญ่ ด้วยการเซ็นสัญญากับ ไนกี้ ตั้งแต่ที่เขาอายุแค่ 14 ปี ก่อนจะเริ่มปล่อยของด้วยการสวม ไนกี้ รุ่น Tiempo ในศึกชิงแชมป์โลกรุ่นยู 20 ปี 2005 จนพาทีมคว้าแชมป์ไปในท้ายที่สุด ซึ่งจากนั้นเขาก็ยังได้ลองสวมใส่อีกหลายๆ รุ่นทั้ง Mercurial Vapor และ T90 ที่ในช่วงก่อนยุคปี 2010 ทั้ง 2 รุ่นนี้ถือเป็นรุ่นยอดนิยมของ ไนกี้ เลยทีเดียว 

โรนัลดินโญ่ สร้างอิมแพ็กต์ครั้งใหญ่กับวงการสตั๊ด เขาใส่ ไนกี้ สร้างไวรัลจากวีดีโอคลิปโปรโมตเตะชนคาน ไปจนถึงการลงเล่นในปี 2005 ถึง 2007 ที่ถือว่าเป็นปีที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา 

ดังนั้นไนกี้จึงเกิดอาการติดใจและเล็งไปที่ "ราชารุ่นต่อไป" ที่จะมารอรับช่วงต่อจาก โรนัลดินโญ่ อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ต่อยอดจากเดิมไปอีก และนอกจากนี้ในยุคนั้นมีดาวรุ่งแค่ 2 คนเท่านั้นที่คั่วตำแหน่งราชาคนต่อไป ซึ่งนอกจาก เมสซี่ แล้วก็มี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่อยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งนักเตะทั้ง 2 สวมใส่ ไนกี้ และสโมสรของพวกเขาก็เป็นพันธมิตรกับ ไนกี้ ในยุคนั้นพอดิบพอดี 


Photo : sportlife.news

ไนกี้ จ้องจะปิดดีลทั้ง โรนัลโด้ และ เมสซี่ ด้วยสัญญาระยะยาวและสร้างแบรนด์แอมบาสเดอร์คู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค ซึ่งแน่นอนว่าหาก อาดิดาส ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงปล่อยให้ ไนกี้ ได้สัญญาระยะยาวของ โรนัลโด้ และ เมสซี่ ไปพร้อมๆ กัน พวกเขาจะสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่าเดิมแน่นอน ดังนั้น อาดิดาส จึงอัดเม็ดเงินครั้งใหญ่ ในปี 2006 จนคว้า เมสซี่ มาเป็นนักเตะในสังกัดได้ ซึ่งดีลดังกล่าวเป็นการตัดหน้า ไนกี้ ไปอย่างน่าเจ็บใจ

อาดิดาส จำเป็นจะต้องเอา เมสซี่ ที่กำลังขึ้นรุ่นมาให้ได้ เพราะ ณ เวลานั้นแบรนด์แอมบาสเดอร์เบอร์ 1 ของพวกเขาอย่าง ซีเนดีน ซีดาน เตรียมจะแขวนสตั๊ด และ เดวิด เบ็คแฮม ก็เริ่มจะเข้าสู่ช่วงปลายอาชีพ ซึ่งทั้งคู่นั้นถือว่าเป็นผู้ที่สร้างตำนานให้ อาดิดาส รุ่น พรีเดเตอร์ บูมไปทั่วโลกมาแล้วสมัยที่ยังพีกๆ ... และหลังจากหมดรุ่นของ ซีดาน และ เบ็คส์ ไป เมสซี่ ก็จะต้องขึ้นมารับช่วงต่อในฐานะเบอร์ 1 ของแบรนด์ เพื่อดวลกับ ไนกี้ ที่นำโดย โรนัลโด้ นั่นเอง ... หลังจากนั้นที่เหลือก็คือประวัติศาสตร์ 

 

F50 ที่ถูกต่อยอดโดย เมสซี่ 

F50 คือรองเท้าสตั๊ดรุ่นที่ อาดิดาส ผลิตมาวางขายตั้งแต่ปี 2004 (ก่อนศึก ยูโร 2004) เพื่อออกมาแย่งชิงตลาดสตั๊ดสายสปีดกับ ไนกี้ ที่มี Mercurial Vapor เป็นทหารเอก โดยที่ชื่อ F50 นั้น เป็นการรำลึก 50 ปี ของเหตุการณ์ที่ เยอรมันตะวันตก ประเทศต้นกำเนิดของค่ายสามแถบ (เยอรมนี ในปัจจุบัน) คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยแรกนั่นเอง


Photo : www.express.co.uk

ในตอนที่สตั๊ดรุ่นนี้ออกวางจำหน่ายในปีแรกๆ นักเตะอย่าง เดเมียน ดัฟฟ์, อาร์เยน ร็อบเบน, ฌิบริล ซิสเซ่ รวมถึง บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ (สมัยยังเล่นตำแหน่งปีก) เป็นพรีเซนเตอร์หลักที่สวมใส่รุ่นนี้ แม้ทั้งสามคนจะเป็นนักเตะสายสปีตก็จริง แต่อิมเมจยัง "ไม่ขาย" ทำให้ยอดขายนั้นยังไปไม่สุดเท่าไรนัก 

ประกอบกับหลังจากนั้นไม่กี่ปี ไนกี้ ก็พยายามผลักดัน Mercurial Vapor ที่มี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นพรีเซนเตอร์หลักออกมาเขย่าตลาดสตั๊ด จนกระทั่งก้าวสู่จุดสูงสุด ด้วยการใส่สตั๊ดตระกูลนี้ คว้าถ้วย ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2007-08 ... CR7 ขึ้นมาสร้างภาพจำของ Mercurial Vapor ทดแทน โรนัลโด้ (R9) ที่ใกล้ถึงวันปลดระวางได้สำเร็จ

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ อาดิดาส ไม่รอช้าตอบโต้ ด้วยการปล่อย F50i รุ่นใหม่ของตระกูลออกมาในปี 2009 พร้อมขับภาพแห่งรองเท้าสายสปีดให้ชัดขึ้น ด้วยการลดน้ำหนักของรองเท้าให้เบาลง เปลี่ยนรูปร่างให้เพรียวมากกว่ารุ่นก่อน และเปลี่ยนหนังรองเท้าโดยใช้หนังสังเคราะห์ที่ชื่อว่า "Sprint Skin" ทำให้ผู้สวมใส่สามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วขึ้น 


Photo : www.givemesport.com

และสตั๊ดคู่นี้นี่เองที่ ลิโอเนล เมสซี่ ใส่ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2008-09 ในเกมนั้น เมสซี่ โหม่งประตูตอกฝาโลง พา บาร์เซโลน่า เป็นแชมป์ด้วยการโค่น แมนฯ ยูไนเต็ด ของ โรนัลโด้ อีกต่างหาก ... เมื่อทำประตูได้ เขาหยิบรองเท้ารุ่นนี้ที่หลุดตอนแลนดิ้งหลังการโหม่งทำประตูยกขึ้นมาจูบ นั่นเหมือนกับการเป็นประกาศชัยชนะของ F50 ที่มีต่อ Mercurial Vapor ก็ว่าได้ 

จากนั้นเป็นต้นมา ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ เมสซี่ ไม่เคยหันหลังกลับมามองอดีตอีกเลย เขาลงเล่นด้วยความเหนือชั้นและความโหดเหี้ยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง อาดิดาส ออก F50 รุ่นต่างๆ มาตีตลาดในทุกๆ ปี โดยเฉพาะซีรี่ส์ F50 Adizero ที่ถือว่าเป็นรุ่นที่ประสบความสำเร็จที่สุดของซีรี่ส์ F50 อีกด้วย เนื่องจาก เมสซี่ ใส่คว้าแชมป์มากมาย รวมถึงกวาดรางวัล บัลลงดอร์ 4 สมัยรวด ตั้งแต่ปี 2009 ถึง 2012 นั่นเอง 

 

F50 ช่วยเมสซี่จริงหรือ? 

เมสซี่ นั้นเก่งแค่ไหนใครๆ ก็รู้ เขาคือนักเตะที่ทำเรื่องมหัศจรรย์ให้ดูง่ายดายเหมือนกับการเตะบอลอยู่ในสวนหลังบ้าน ว่าง่ายๆ ก็คืออัจฉริยะที่ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยปีจะเกิดขึ้นมาสักคน ดังนั้นมันจึงมีคำถามที่น่าสนใจว่า F50 ที่เคลมว่าเป็นรองเท้าสตั๊ดสายสปีดทำให้เขาติดปีกได้จริงหรือ? หรือจริงๆ แล้วเขาเก่งอยู่แล้วรองเท้าไม่เกี่ยวอะไรเลย? 

คุณสมบัติหลักของ F50 นั้น แน่นอนว่ามีจุดมุ่งหมายออกมาเพื่อนักเตะสายสปีดเป็นหลัก พวกเขาจึงเน้นที่รองเท้าน้ำหนักเบาเอาไว้ก่อน ซึ่งตัวของ เมสซี่ นั้น หลังจากที่เริ่มสร้างภาพจำในฐานะซิกเนเจอร์ของ F50 ในปี 2009 ได้ไม่นาน อาดิดาส ก็ได้ปล่อยรุ่น F50 Adizero ออกมาในช่วงก่อนฟุตบอลโลก 2010 จะเริ่มขึ้น โดยวาง เมสซี่ สานงานสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ต่อไป จุดเด่นของรุ่นนี้อยู่ที่การปรับน้ำหนักให้เบาลงไปอีก เหลือเพียงข้างละ 165 กรัม 


Photo : bleacherreport.com

ซึ่งการถือกำเนิดของ F50 Adizero นี่เองที่เป็นการเริ่มต้นสตั๊ดสายสปีดน้ำหนักเบาของ อาดิดาส โดยมีการทำรุ่นพิเศษไล่เบาอีกหลายครั้ง ซึ่งตัวเลขที่ค่ายสามแถบทำได้เบาที่สุดคือข้างละ 99 กรัมเท่านั้น

ที่ไล่ความยาวมาขนาดนี้เพื่อจะทำให้ทุกท่านได้เห็นว่า หลังจาก F50 ติดตลาดโดย เมสซี่ ฝั่ง อาดิดาส ก็พยายามจะยกระดับและดันรุ่นนี้ให้เป็นรองเท้าฟุตบอลสายสปีดที่ดีที่สุดนั่นเอง

โดยในช่วงยุคหลังๆ นั้น อาดิดาส เชิญ เมสซี่ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบรองเท้า เพื่อให้ได้ F50 ที่เป็นตัวของเขาจริงๆ ชนิดที่ว่าทุกคุณสมบัติที่ผู้สวมใส่จะได้ คือคุณสมบัติของสไตล์การเล่นแบบที่ เมสซี่ ต้องการ 

อันเดรียส คอนดราดส์ (Andreas Kondrads) หนึ่งในผู้บริหารของ อาดิดาส เล่าว่า ก่อนจะออกมาเป็น F50 Adizero Messi รองเท้าซิกเนเจอร์ของยอดดาวเตะอาร์เจนไตน์ ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2013 นั้น ใช้เวลาในการร่วมออกแบบถึง 2 ปี เลยทีเดียว

"เมสซี่ มีส่วนในการร่วมทดสอบสำคัญๆ ของ F50 Adizero ประมาณ 5-10 รอบ เราไม่ได้แค่สร้างรองเท้าขึ้นมา แต่เราวิเคราะห์การวิ่ง การวางเท้า และการเคลื่อนไหวโดยธรรมชาติในสนามของเขาด้วยว่าเป็นเช่นไร และเมื่อเขาเห็นรองเท้าที่ออกแบบมาเพื่อเขาเป็นครั้งแรก สีหน้าของเขาบานไปด้วยรอยยิ้ม เหมือนกับตอนยิงประตูได้ เขาใช้มือจับมันและพูดว่าเบามากๆ ซึ่งนั่นหมายความว่า 'ฉันชอบมัน'" คอนดราดส์ กล่าวกับ Unisport

ส่วนตัวของ เมสซี่ นั้นก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า F50 Adizero ที่เขาเริ่มมีส่วนออกแบบและมีรุ่นซิกเนเจอร์ของตัวเองนั้น เป็นรองเท้าที่ทำให้เขาได้ทั้งความเร็วและความคล่องตัวเพิ่มขึ้น โดยตัวของ เมสซี่ นั้นนิยมชมชอบการใส่รองเท้าสตั๊ดหนังแท้มากกว่า เพราะเขาเชื่อว่ามันจะทำให้เขาเพิ่มออปชั่นจากแค่เร็วอย่างเดียว เป็นการสัมผัสบอลที่เนียนยิ่งกว่าที่เคย แม้จะแลกมาด้วยน้ำหนักที่มากขึ้นก็ตาม 


Photo : bleacherreport.com

"ผมชอบใส่รองเท้าหนังแท้มากกว่า เพราะมันทำให้ผมเคลื่อนที่ได้ดีและมีจังหวะจับบอลแรกที่ดีขึ้น ซึ่งทั้ง 2 คุณสมบัตินี้ต้องบอกว่ามีส่วนสำคัญในการเล่นของผมมากๆ หนังแท้ทำให้ผมจับบอลได้ดีกว่าและนั่นทำให้ผมใส่แล้วรู้สึกสะดวกสบายขึ้นเยอะเลย" และนั่นทำให้ทางอาดิดาส ต้องผลิตรองเท้าซิกเนเจอร์ของเมสซี่ที่ใช้หนังแท้ให้เจ้าตัวได้สวมใส่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะด้วย (อันที่จริง F50 Adizero มีทั้งแบบหนังแท้และหนังสังเคราะห์ แต่รุ่น Messi ที่วางจำหน่าย จะมีแค่หนังสังเคราะห์เท่านั้น)

และหากมองย้อนกลับไป สิ่งที่ยืนยันว่า รองเท้า F50 ทำให้เมสซี่มีศักยภาพในการเล่นที่ดีขึ้นได้นั้น มันมีบางสิ่งที่บอกได้ทั้งในแง่ของตัวเลขและสถิติ รวมถึงสไตล์การเล่นของเขาที่สมบูรณ์แบบขึ้นเมื่อลงสนาม

เพราะหลังจากที่ เมสซี่ ผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นกับ F50i ที่เขาใส่ในนัดชิงชนะเลิศกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในปี 2009 สิ่งที่เปลี่ยนไปจากนั้นคือ ทุกๆ ปีที่ผ่านไป นับจากที่ เมสซี่ ได้สวม F50 Adizero คือเขามีสถิติการยิงประตูที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะในช่วงรอบปฏิทินปี 2012 ที่ เมสซี่ สามารถยิงได้ถึง 91 ลูกรวมทุกรายการ นี่คือสถิติที่หลายคนคิดว่าอาจไม่มีใครทำลายได้อีก

ขณะที่รูปแบบการเล่นที่เห็นได้ด้วยตา คือการเล่นของเมสซี่มีมิติเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี จากที่เคยเป็นนักเตะสายสปีดในวัยทีนเอจ กลายเป็นตัวจบสกอร์ที่ดีขึ้น จนกระทั่งเขาสามารถเป็นตัวสร้างเกมรุกของทีมได้ด้วยทัศนวิสัยที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก สิ่งที่สังเกตได้คือ "บอลแรก" ของ เมสซี่ นั้น เป็นบอลแรกในระดับที่ไม่น่าจะมีใครเลียนแบบได้ เพราะเมื่อเขาแตะบอลทีแรกมันก็เนียนมากพอจนเขาสามารถกำหนดการเล่นในจังหวะต่อไปได้ทันที ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นการกระชากบอลไปด้วยตัวเอง, จ่ายให้เพื่อน หรือแม้กระทั่งวางเท้ายิงในทันที ทุกอย่างสามารถยืนยันได้ด้วยการคว้ารางวัลบัลลงดอร์ได้ถึง 4 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี 2009 ถึง 2012 นั่นเอง 


Photo : soccerprose.com

ในฟุตบอลระดับสูงที่นักเตะแต่ละคนมีความเก่งกาจและประสบการณ์ใกล้เคียงกันมากๆ บางครั้งก็ต้องตัดสินกันด้วยจังหวะเพียงเสี้ยววินาที ซึ่งคุณก็รู้ว่า เมสซี่ คือนักเตะที่ใช้จังหวะเสี้ยววินาทีได้ดีที่สุดในโลก ดังนั้นประโยคที่ว่า "วรยุทธ์ใต้หล้า ตัดสินแพ้ชนะวัดที่ความเร็ว" จึงเหมาะกับการจับคู่ของ F50 และ เมสซี่ อย่างที่สุด 

เรื่องพรสวรรค์นั้นไม่มีกล้าเถียง เมสซี่ แต่ด้วยตัวเลขสถิติการยิง, การแอสซิสต์ รวมถึงรูปแบบการเล่นที่สมบูรณ์แบบขึ้นในทุกๆ ปี ดังนั้นคงพอจะกล่าวได้ว่าอย่างน้อยที่สุด F50 คือรองเท้าที่เติบโตขึ้นพร้อมๆ กับการเป็นยอดนักเตะอันดับ 1 ของโลกของ เมสซี่ อย่างชัดเจน 

 

ปิดตำนาน F50 สู่ตำนานบทใหม่ 

F50 และ เมสซี่ มีอันต้องยุติความสัมพันธ์กันในปี 2015 เนื่องจาก อาดิดาส ยกเลิกไลน์ผลิตของ F50 ลงโดยสมบูรณ์แบบ เพื่อสร้างรองเท้าที่เอาใจสายสปีดยิ่งขึ้นอีก นั่นคือรุ่น X ... ซึ่งมาถึงตรงนี้ เมสซี่ เองก็ไม่ได้ใส่ X ลงสนามอีกต่อไป

เพราะในช่วงเดียวกันนั้น เมสซี่ ได้มีรองเท้ารุ่นของตัวเองโดยเฉพาะที่มีชื่อว่า Messi ก่อนที่ในปี 2017 อาดิดาส จะเปิดไลน์ผลิตรุ่นใหม่ในชื่อ Nemeziz ซึ่งเป็นรองเท้าที่ เมสซี่ ยังสวมใส่ในปัจจุบัน โดยในส่วนของการออกแบบนั้น ค่ายสามแถบพยายามทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนกับการใช้ผ้าพันเท้า นั่นคือทั้งมีน้ำหนักเบาและเมื่อสวมใส่แล้วจะกระชับเข้ากับเท้ามากขึ้น ซึ่งในรุ่น Nemeziz นั้น เมสซี่ ยังได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในทีมทดสอบและออกแบบ เหมือนกับสมัยที่เคยทำให้ F50 เขย่าโลกลูกหนังในอดีต 


Photo : www.soccercleats101.com

ในส่วนของแฟนบอลหรือผู้บริโภค เราอาจจะมองว่า Nemeziz ก็แค่รองเท้าอีกคู่ของ เมสซี่ ทว่าความจริงนั้นรองเท้ารุ่น Nemeziz นั้นพยายามทำให้ผู้สวมใส่เพิ่มความเร็วและความคล่องแคล่วขึ้น ซึ่งมันก็สอดคล้องกับอายุของ เมสซี่ ที่เข้าสู่หลักสามแล้วซึ่งถือว่าไม่ใช่น้อยๆ และในเมื่อเขายังเป็นมนุษย์ สังขารก็เป็นสิ่งที่เขาต้องยอมรับและอยู่กับมันนั่นเอง และหน้าที่ของ Nemeziz นั้นก็เปรียบเหมือนกับ F50 นั่นคือการทำให้ เมสซี่ สามารถรีดศักยภาพจากแต่ละช่วงอายุให้ออกมาได้มากที่สุด  

แต่สุดท้ายแล้ว แม้ อาดิดาส และ เมสซี่ จะก้าวไปอีกขั้น ด้วยการออกแบบรองเท้ารุ่นใหม่และสวมใส่จนคว้าบัลลงดอร์สมัยที่ 6 แต่ก็ต้องดูกันต่อไปว่า รองเท้ารุ่นนี้ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสไตล์การเล่นของ เมสซี่ ที่เปลี่ยนไปตามช่วงอายุ จะช่วยดึงศักยภาพของเขาออกมาได้เหมือนกับที่ F50 พาเขาครองโลกได้หรือไม่ 


Photo : www.90min.com

สำหรับรองเท้า Nemeziz ที่ทำให้ เมสซี่ ทำสถิติเป็นนักเตะที่สามารถคว้ารางวัลบัลลงดอร์ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์นั้น ปัจจุบันในตัวท็อป หรือรุ่น Nemeziz Messi 19.1 มีราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 7,800 บาท ซึ่งแม้แต่การวางจำหน่าย ก็ยังต้องบอกว่า เอาใจ และอิงกับความชอบของเจ้าตัวมากที่สุด เพราะอันที่จริง ในรุ่นนี้ก็มีนักเตะคนอื่นๆ อย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, แซร์จ นาบรี้ และ เจสซี่ ลินการ์ด ใส่ด้วย แถมยังมีทั้งแบบมีเชือก Nemeziz 19.1 ราคา 7,800 บาท กับแบบไร้เชือก Nemeziz 19+ ราคา 10,500 บาท ... แต่หากเป็น Nemeziz Messi จะไม่มีแบบไร้เชือกขาย 

ส่วน X รองเท้าที่ถือว่าเป็นทายาทสายตรงของ F50 นั้น ปัจจุบันมีตัวท็อปอยู่ 2 แบบ คือแบบมีเชือก X 19.1 ราคาอยู่ที่ 7,800 บาท และแบบไร้เชือก X 19+ ราคา 10,500 บาท โดยปัจจุบันก็มีนักเตะชั้นแนวหน้าอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ติโม แวร์เนอร์ และ ซน ฮึง-มิน สวมใส่อยู่

สุดท้ายของท้ายสุดของการรู้ว่ารองเท้านี้ดีไม่ดีอย่างไร คือการลองสวมใส่และใช้งานด้วยตนเอง ... เพราะฉะนั้นมันจึงมีวลีที่ว่า "ของมันต้องมี" นั่นเอง 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook