เปิดเบื้องหลัง "Space Jam" หนังบาสเกตบอลอันดับ 1 ที่พลิกโฉมโลกยัดห่วง

เปิดเบื้องหลัง "Space Jam" หนังบาสเกตบอลอันดับ 1 ที่พลิกโฉมโลกยัดห่วง

เปิดเบื้องหลัง "Space Jam" หนังบาสเกตบอลอันดับ 1 ที่พลิกโฉมโลกยัดห่วง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากพูดถึง "ภาพยนตร์บาสเกตบอล" เชื่อได้ว่า "Space Jam" น่าจะเป็นชื่อที่คอบาส, คอหนัง หรือแม้แต่แฟนกีฬานึกถึงเป็นเรื่องแรก

ไมเคิล จอร์แดน ปะทะ บักส์ บันนี่.. เพียงเท่านี้ก็สามารถเรียกผู้ชมเข้าโรงได้อย่างมหาศาล จนทำให้ Space Jam เป็นภาพยนตร์บาสเกตบอลที่มีรายได้สูงสุดตลอดกาล

Main Stand จะพาทุกท่านย้อนรำลึกความทรงจำในวัยเยาว์อันแสนหวานอีกครั้ง กับเบื้องหลังการสร้าง รวมถึงอิทธิพลที่ส่งผลถึงวงการบาสเกตบอลกระทั่งทุกวันนี้

จากโฆษณาสู่ภาพยนตร์

ทุกวันนี้ ภาพยนตร์แนว Live-Action หรือภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากการ์ตูนหรือแอนิเมชั่น เป็นเวอร์ชั่นที่ใช้คนแสดงจริงๆ ถือเป็นหนึ่งในหนังแนวที่ขายดีกับคนทุกเพศทุกวัย โกยรายได้จาก Box Office แบบถล่มทลาย 

 1

Space Jam เองก็เป็นหนึ่งในภาพยนตร์แนวดังกล่าว ซึ่งหากพูดแบบจำเพาะเจาะจง เรื่องนี้ถือเป็นหนังแนว Live-Action Animated ที่มีทั้งการใช้นักแสดงจริง และแอนิเมชั่นควบคู่กัน ... แต่จุดเริ่มต้นของการจับ ไมเคิล จอร์แดน มาปะทะกับ บักส์ บันนี่ มันเกิดขึ้นก่อนหน้าที่จะมีภาพยนตร์เสียอีก

เรื่องดังกล่าวต้องย้อนกลับไปในปี 1992 เมื่อ ไนกี้ เจ้าของแบรนด์ แอร์ จอร์แดน รองเท้าบาสเกตบอลคู่ใจของยอดนักแม่นห่วงผู้นี้ ต้องการสร้างความแปลกใหม่ด้วยการทำโฆษณาที่จับเอาคนดังแห่งโลกจริงและโลกแห่งจินตนาการมาอยู่ด้วยกัน เพื่อโปรโมทรองเท้า Air Jordan VII ซึ่งกว่าจะสำเร็จออกมาได้นั้น ก็เจออุปสรรคสาหัสพอตัวเลยทีเดียว

"กว่าจะนำ จอร์แดน กับ บักส์ บันนี่ มาอยู่ด้วยกันได้นี่ก็ลำบากเอาเรื่องเลยครับ" โจ พิทกา ผู้กำกับโฆษณาชุดดังกล่าวเผย "เราสู้กับ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส (เจ้าของลิขสิทธิ์ ลูนี่ย์ ตูนส์ ซีรี่ส์การ์ตูนตลกที่มี บักส์ บันนี่ เป็นตัวละครเอก) เป็นเดือนๆ เพื่อปรับภาพลักษณ์ของ บักส์ บันนี่ ให้เข้ากับยุคสมัยรวมถึงการทำเป็นโฆษณา ที่สุดแล้ว พวกเขาก็โอเคกับไอเดียนี้ และโฆษณาที่ออกฉายครั้งแรกในเกมซูเปอร์โบวล์ปีดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จแบบสุดๆ เลยครับ"

ความสำเร็จจากโฆษณารองเท้าบาสเกตบอล ทำให้ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส เกิดไอเดียในการสร้างภาพยนตร์ต่อยอดจากความสำเร็จดังกล่าว แต่คนที่รู้งานดีที่สุดอย่างพิทกา กลับไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในช่วงแรกของโปรเจ็คท์นี้ แต่ด้วยความที่หนังจำเป็นต้องมีคนที่รู้จริงเกี่ยวกับการผสมผสานแอนิเมชั่นกับการแสดงจริงให้ออกมาลงตัว รวมถึงผู้กำกับชื่อดังหลายราย ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมโปรเจ็คท์ดังกล่าว ที่สุดแล้ว เขาก็ได้กลับมาสานต่อ กับการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ แบบที่ตัวเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน

"จะว่าไปแล้ว Space Jam นี่เป็นหนึ่งในไอเดียที่ไร้เหตุผลสุดๆ เหมือนกันนะ ขนาดผมเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำในตอนแรกว่ามันจะกลายเป็นหนังได้อย่างไร แต่ที่สุดแล้ว มันก็ออกมาเป็นภาพยนตร์จริงๆ จนได้"

เบื้องหลังการถ่ายทำ

หลังจาก โจ พิทกา ได้กลับมากุมบังเหียนเพื่อต่อยอดสิ่งที่ตัวเขาเองเคยสร้างให้โด่งดังยิ่งกว่าเดิมแล้ว สิ่งแรกที่เขาทำ คือการเกลาบทให้ทุกอย่างลงตัวขึ้น ทว่าอุปสรรคก็เริ่มต้นตั้งแต่ตรงนั้น

 3

"สไปค์ ลี (ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง และแฟน NBA ตัวยง) เพื่อนของผม อาสาที่จะเข้ามาเกลาบทให้ ซึ่งผมว่าเขาน่าจะช่วยเสริมอะไรให้มันดูเจ๋งขึ้นได้ แต่ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ไม่เอาด้วย จากสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Malcolm X คือตอนนั้นงบในการถ่ายทำมันไม่พอ ทำให้สไปค์ต้องไประดมทุนจากเหล่าคนดังชาวแอฟริกัน-อเมริกัน เพื่อให้หนังปิดกล้องได้ และสตูดิโอเกลียดสิ่งที่สไปค์ทำนี่สุดๆ ไปเลย" 

ไม่เพียงแค่ปัญหาเรื่องบทเท่านั้น แต่การหานักแสดงสมทบก็ต้องเจอกับอุปสรรค.. เปล่า เราไม่ได้พูดถึงตัวประกอบที่เป็นนักบาสเกตบอล เพราะสตาร์ดังร่วมรุ่นอย่าง แลร์รี่ เบิร์ด, ชาร์ลส์ บาร์คลี่ย์, แพทริค ยูวิง, มักซี่ โบกส์ และอีกเพียบต่างตบเท้าร่วมโปรเจ็คท์ดังกล่าวด้วยความยินดี ทว่าปัญหานั้น คือการหานักแสดงสมทบคนอื่นๆ เพื่อมาเติมเรื่องราวให้สมบูรณ์ต่างหาก

"เรามีปัญหากับการคัดเลือกนักแสดงสมทบอย่างหนักเลยในตอนนั้น เพราะพวกเขาไม่อยากมาอยู่ในหนังที่มี ไมเคิล จอร์แดน กับ บักส์ บันนี่ ... พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือนักแสดงต้องทำงานกับตัวการ์ตูนแอนิเมชั่นที่ไม่มีตัวตน รวมถึงนักกีฬา นั่นแหละประเด็นครับ"

ส่วน ไมเคิล จอร์แดน นักแสดงนำของเรื่องเองก็ประสบปัญหาเช่นกัน ซึ่งเรื่องนั้นคุณคงเดากันได้ว่าคือปัญหาอะไร ... "การแสดง" นั่นเอง โดยพิทกาเล่าถึงการทำงานร่วมกันว่า

"มีอยู่ครั้งหนึ่งระหว่างการถ่ายทำ ไมเคิลหันมาหาผมแล้วพูดว่า 'ไหนตอนแรกคุณบอกว่ามันจะโคตรสนุกแน่เลยนี่หว่า ทำไมผมถึงไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย' มันทำให้ผมคิดว่า บางทีเขาอาจจะเกลียดในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างถ่ายทำหนังเรื่องนี้ คือคุณต้องเข้าใจว่า ในเกมบาสเกตบอล เขาควบคุมได้ทุกอย่าง แต่ในการถ่ายทำภาพยนตร์ มันมีบุคคลที่คุณต้องร่วมงานด้วยอีกจำนวนมาก แถมการยืนต่อหน้ากล้อง พูดบทที่ซ้อมมา และสร้างอารมณ์ให้คนดูรู้สึกนั้น มันยากเอามากๆ เราก็เลยต้องทำให้ไมเคิลรู้สึกสบายใจกับการถ่ายทำมากที่สุด"

 4

อย่าว่าแต่ตัวของผู้กำกับเลย แม้แต่ตัวของจอร์แดนเองก็ยอมรับว่า สำหรับเขาแล้ว การแสดงนั้นยากจริงๆ 

"ก็ถือว่าผมนั้นเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากครับ คงบอกไม่ได้ว่าผมเล่นได้ดีเด่อะไร เพราะนี่มันคือโลกอีกใบเลย ถึงผมจะเคยเล่นโฆษณา แต่กระบวนการถ่ายทำมันก็แค่ราว 4-6 ชั่วโมง แล้วก็จบ ส่วนภาพยนตร์ มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลายาวนาน และต้องพิถีพิถันกับมันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาแสดงกับตัวละครแอนิเมชั่นที่เรามองไม่เห็นเนี่ย" นี่คือสิ่งที่ตำนานนักบาสเกตบอลเปิดใจกับสื่อ ในรอบปฐมทัศน์เมื่อปี 1996

และเพื่อให้ทุกอย่างออกมาลงตัว พิทกาจึงตัดสินใจให้จอร์แดน แสดงในสิ่งที่เป็นธรรมชาติของตัวเขามากที่สุด ... คือเป็น ไมเคิล จอร์แดน นั่นเอง

"จะว่าไป เขาก็ทำในสิ่งที่ ไมเคิล จอร์แดน จะทำน่ะนะ เราพยายามคัดเลือกนักแสดงมาเล่นแทนเขาแล้ว แต่เราหาใครที่ดีกว่าเขาไม่ได้เลย" พิทกาปล่อยมุก ก่อนจะเล่าต่อว่า "เขาทำได้ดีมากๆ ในสิ่งที่เขาสามารถทำได้ แค่เล่นเป็นตัวเองไป และอย่าลืมว่า บทของภาพยนตร์เรื่องนี้ในหลายจุด ก็อิงมาจากชีวิตจริงของเขา และต้องยอมรับว่า เขาเป็นมืออาชีพสุดๆ เขาเข้ากองตรงเวลา รู้บทว่าต้องพูดอะไร ส่วนเราก็ทำให้ทุกอย่างมันง่ายกับเขาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ"

อิทธิพลต่อวงการ

แม้จะมีอุปสรรคอยู่ไม่น้อย ที่สุดแล้ว ภาพยนตร์ Space Jam ก็ถ่ายทำสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี โดยนอกจากเหล่าสตาร์แห่งวงการบาสเกตบอลแล้ว ยังได้นักแสดงคุณภาพอย่าง บิล เมอร์เรย์ มาร่วมสร้างสีสันด้วย

 5

ส่วนพล็อตเรื่องนั้น ทาง โจ พิทกา ได้นำเรื่องราวชีวิตจริงของ ไมเคิล จอร์แดน ตั้งแต่สมัยเด็ก ไล่เรียงมาถึงการสร้างชื่อในกีฬาบาสเกตบอลจนได้เข้าสู่ NBA และคว้าแชมป์ 3 สมัยซ้อนระหว่างปี 1991-1993 กับ ชิคาโก บูลส์ กระทั่งเลิกเล่นรอบแรกระหว่างปี 1993-1995 ก่อนจะกลับคืนสังเวียนอีกครั้ง มาบิดเรื่อง เพิ่มความแฟนตาซีเข้าไป เท่านี้ก็เรียบร้อย

และถึงกระแสตอบรับจากนักวิจารณ์จะไม่งดงามหนัก หลังได้คะแนนเพียง 43% จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes แต่ผู้ชมกลับให้การตอบรับที่ดีมาก หนังขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ของ Box Office ทันทีตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เข้าฉายเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 1996 ก่อนจะกวาดรายได้ทั่วโลกถึง 230.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากทุนสร้าง 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ... นี่คือภาพยนตร์บาสเกตบอลที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล

ไม่เพียงเท่านั้น อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ดังขายดิบขายดี ได้รางวัล แผ่นเสียงแพลตินัมถึง 6 แผ่นในสหรัฐอเมริกา (เทียบเท่ายอดขาย 6 ล้านก็อปปี้) โดยมีเพลง I Believe I Can Fly ของ R. Kelly เป็นซิงเกิลฮิตที่ดังระเบิดระเบ้อ เช่นเดียวกับของที่ระลึกต่างๆ ซึ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

ทว่า Space Jam ไม่เพียงแต่จะประสบความสำเร็จในโรงหนังเท่านั้น เพราะมันยังได้เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจสำคัญของเด็กๆ ให้เติบโตมาเป็นนักบาสเกตบอลใน NBA ด้วยเช่นกัน

 6

"ผมคิดว่า เริ่มหลงรักกีฬาบาสเกตบอลครั้งแรก ก็ตอนที่ได้ดูหนัง Space Jam ตอนยังเป็นเด็ก และหลังจากหนังจบ ผมก็ออกไปเล่นบาสกับห่วงจิ๋วที่บ้าน ก่อนจะพยายามลอกเลียนท่าดังค์ทุกท่าที่มีในหนังเลย และต้องไม่ลืมนะว่า ไมเคิล จอร์แดน ก็คือ ไมเคิล จอร์แดน อะไรที่เขาทำ เราก็เลียนแบบตามหมดนั่นแหละครับ" นี่คือคำยืนยันจากปากของ แซค ลาวีน ที่มี Space Jam กับ ไมเคิล จอร์แดน เป็นแรงบันดาลใจ จนเขากรุยทางสู่ NBA ได้สำเร็จ

ด้วยเหตุดังกล่าว จึงไม่แปลกที่ลาวีนจะเลือกสวมเสื้อแข่งของ Tune Squad ทีมในภาพยนตร์ Space Jam ที่ ไมเคิล จอร์แดน เป็นดาวเด่น ลงแข่งรายการ สแลม ดังค์ คอนเทสต์ เมื่อปี 2015 และเขาก็ตามรอย ไมเคิล จอร์แดน ด้วยการคว้าแชมป์ในปีนั้น รวมถึงป้องกันแชมป์ได้สำเร็จในปี 2016 อีกด้วย

และใครจะเชื่อว่า เวลาผ่านไป ลาวีนจะตามรอยจอร์แดนไปอีกขั้น เพราะตอนที่เขาคว้าแชมป์สแลมดังค์ เจ้าตัวยังอยู่กับ มินนิโซตา ทิมเบอร์วูล์ฟส์ ทีมที่ดราฟต์ตัวมา แต่ปัจจุบัน เขาอยู่กับ ชิคาโก บูลส์ ทีมที่ ไมเคิล จอร์แดน สร้างชื่อจนกลายเป็นตำนานนั่นเอง 

 7

ไม่เพียงเท่านั้น หลายคนอาจคาดไม่ถึงว่า จุดเริ่มต้นของ "The Magic Trio" 3 มหัศจรรย์อย่าง ไมเคิล จอร์แดน, สก็อตตี้ พิพเพ่น และ เดนนิส ร็อดแมน ที่นำ ชิคาโก บูลส์ คว้าแชมป์ NBA 3 สมัยซ้อนในปี 1996-1998 มีจุดเริ่มต้นเล็กๆ จากกองถ่าย Space Jam ... และคนที่เปิดประเด็นดังกล่าว ก็คือ โจ พิทกา ที่เล่าถึงเรื่องราวในตอนนั้น ระหว่างการถ่ายทำว่า

"ตอนนั้นรู้สึกว่าไมเคิลเพิ่งจะกลับมาจากการรีไทร์รอบแรก แล้วผมก็ถามว่า 'ทำไมทีมคุณไม่ล่าตัว เดนนิส ร็อดแมน มาร่วมทีมล่ะ?' เขาก็บอกประมาณว่า ไม่แน่ใจว่าเขากับเดนนิสจะเล่นด้วยกันได้รึเปล่า ผมก็บอกเลยว่า 'ฟังนะ หมอนี่มันชู้ตไม่เป็น แต่เกมรับนี่โคตรเก่ง รีบาวด์อย่างเทพ และเขาไม่ขวางทางเด่นคุณแน่นอน ทีมคุณน่าจะเอาตัวเขามาร่วมทีมนะ' ปรากฎว่า คืนนั้นเอง เดนนิส ร็อดแมน ก็ไปเจอกับไมเคิลที่โรงแรมใน เบเวอร์ลี่ย์ ฮิลส์ ก่อนที่อีกไม่กี่วันหลังจากนั้นจะมีการเซ็นสัญญาร่วมทีมบูลส์"

สู่ภาคต่อ

"ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระมาก ที่จะพยายามสร้างภาคต่อของหนังเรื่องนี้ เพราะขนาดผมเองยังนึกไม่ออกว่ามันจะออกมายังไง จริงอยู่ว่า Space Jam ก็ไม่ใช่หนังที่ดีอะไรนัก แต่มันมีบางสิ่งที่อยู่เหนือกาลเวลา นั่นคือนักกีฬาที่เป็นตัวละครเด่น และเขาคนนั้นไม่ได้เล่นอีกต่อไปแล้ว"

 8

นี่คือคำยืนยันจากปากของ โจ พิทกา ผู้กำกับ Space Jam กับข่าวลือเรื่องการสร้างภาคต่อที่มีมาตลอด เพราะขนาดตัวเขาเอง ที่ได้รับการทาบทามให้กลับมากำกับโปรเจ็คท์ภาคต่อ ที่มีโครงการจะสร้างในปี 1997 หลังจากความสำเร็จในภาคแรก ทว่าทุกอย่างก็ต้องล่มไปด้วยสาเหตุเดียว ... ไมเคิล จอร์แดน ไม่กลับมาเล่นภาพยนตร์อีกแล้ว

หลังจากนั้น โปรเจ็คท์ก็เริ่มที่จะไปกันใหญ่ ด้วยความพยายามที่จะบิดเรื่องราวมาเป็นกีฬาอื่นๆ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวมาโดยตลอด กระทั่งในปี 2014 Space Jam ภาคต่อ ก็กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง แต่คราวนี้มีนักบาสเกตบอลรุ่นน้อง และถือเป็นอีกหนึ่งยอดฝีมือของวงการที่อาสามาสานต่อ.. เลบรอน เจมส์

 9

"จริงๆ ผมเองก็อยากเป็นซูเปอร์ฮีโร่ Batman นี่ตัวละครโปรดผมเลย แต่ก็นะ ความจริงมันเป็นกันไม่ได้ ถึงกระนั้น การได้ทำหนัง Space Jam มันยิ่งใหญ่กว่าการที่ผมและ ลูนี่ย์ ตูนส์ จะมาร่วมจอเดียวกันมากๆ เลยครับ เพราะนี่คือสิ่งที่จะทำให้เด็กๆ ได้เห็นว่า ทุกคนสามารถเป็นในสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นได้ ขอเพียงแค่ไม่ยอมแพ้กับความฝัน" นี่คือสิ่งที่เลบรอนเผยถึงสาเหตุที่เขาไม่เพียงแต่จะเป็นนักแสดงนำเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ร่วมอำนวยการสร้างด้วย

และโปรเจ็คท์ Space Jam 2 ก็ใหญ่ยักษ์ไม่แพ้ภาคแรกเลยแม้แต่น้อย เพราะมีคนดังแห่งวงการฮอลลีวูดมาร่วมโปรเจ็คท์นี้หลายราย นำโดย ไรอัน คูกเลอร์ ผู้กำกับ The Black Panther ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่จากค่ายมาร์เวล ที่นอกจากจะเป็นผู้ร่วมอำนวยการสร้างแล้ว ยังเป็นหนึ่งในผู้เขียนบทเรื่องนี้ด้วย รวมถึงมี ดอน ชีเดิล ผู้รับบท ผู้พัน เจมส์ โรดส์ หรือ War Machine อีกหนึ่งซูเปอร์ฮีโร่ค่ายมาร์เวล มาร่วมแสดง และแน่นอน เหล่าสตาร์แห่งวงการ NBA ที่เตรียมมาร่วมแจมอย่างคับคั่ง

 10

แม้ ชาร์ลส์ บาร์คลี่ย์ อีกหนึ่งนักบาสเกตบอลที่เคยร่วมแจมใน Space Jam ภาคแรก จะไม่เห็นด้วยกับการมีภาคต่อ ด้วยเหตุผลที่ว่า "ภาคแรกก็สุดยอดอยู่แล้ว จะมีภาค 2 ไปทำไม" แต่ทั้ง เลบรอน เจมส์ และ มาเวอริค คาร์เตอร์ เพื่อนซี้นอกวงการบาสเกตบอล และร่วมอำนวยการสร้างภาคต่อนี้ด้วยกันยืนยันว่า นี่จะไม่ใช่ภาคต่อ แต่จะเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้งของแฟรนไชส์นี้

Space Jam 2 จะออกมาเป็นอย่างไร จะทำรายได้ถล่มทลายเหมือนภาคแรกหรือไม่ และ ไมเคิล จอร์แดน จะมาปรากฎตัวในหนังหรือเปล่านั้น คงต้องรอดูกันในวันที่ภาพยนตร์ออกฉายจริง 16 กรกฎาคม 2021

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ เปิดเบื้องหลัง "Space Jam" หนังบาสเกตบอลอันดับ 1 ที่พลิกโฉมโลกยัดห่วง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook