เงินข้าซ่าไม่เลิก : เกิดอะไรขึ้นเมื่อ "เอล ชาโป" เงินเหลือจนอยากจะซื้อเชลซี?

เงินข้าซ่าไม่เลิก : เกิดอะไรขึ้นเมื่อ "เอล ชาโป" เงินเหลือจนอยากจะซื้อเชลซี?

เงินข้าซ่าไม่เลิก : เกิดอะไรขึ้นเมื่อ "เอล ชาโป" เงินเหลือจนอยากจะซื้อเชลซี?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"เอล ชาโป" คือพ่อค้ายาเสพติดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเม็กซิโก และเป็นธรรมดาของกลุ่มคนที่โตขึ้นมากับธุรกิจสีดำ ที่พวกเขาจะต้องการมีหน้ามีตาและเป็นที่ยอมรับในสังคมให้ได้

และมันจะมีอะไรที่จะเรียบง่ายแต่ได้ผลไปกว่าการได้เป็นเจ้าของทีมฟุตบอลสักทีม ... ทุ่มเงินไม่อั้น, ซื้อนักเตะชื่อดัง, นำความสำเร็จมาสู่สโมสร รวมถึงได้รับคำชมคำยอมรับจากแฟนบอล ไม่มีอะไรซับซ้อนมากมายนัก 

นั่นทำให้ครั้งหนึ่ง เอล ชาโป ตัดสินใจจะยื่นข้อเสนอซื้อสโมสรอย่าง เชลซี ด้วยเหตุผลที่ว่า "เงินมันเหลือ" ... แต่อะไรที่ทำให้ดีลดังกล่าวไม่เกิดขึ้น 

ติดตามได้ที่นี่

จาก "เจ้าเตี้ย" คนขับรถ สู่ราชา "เอล ชาโป"

สภาพแวดล้อมมีผลกับการเติบโตของเด็กคนหนึ่งแค่ไหน? ... ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีผลสูงมาก และเคสของ ฮัวคิน กุซมัน ที่เกิดในปี 1957 ในรัฐ ซินาลัว ดินแดนที่ยาเสพติดเบ่งบานก็ไม่ต่างกัน พ่อและแม่ของเขามีอาชีพเป็นคนงานไร่ฝิ่น นั่นจึงทำให้เขาคลุกคลีกับสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก 


Photo : www.dineroenimagen.com

ว่ากันว่าเขาเริ่มจากการเป็นโชเฟอร์ขนส่งกัญชาให้กับ "ซินาลัว คาร์เทล" หรือแก๊ง ซินาลัว เป็นอันดับแรก โดยเริ่มตั้งแต่อายุราวๆ 12 ปี ถึงแม้ว่าจุดนี้จะไม่มีการยืนยันถึงระยะเวลาการเริ่มเกี่ยวกับธุรกิจค้ายาที่แน่ชัดๆ แต่ว่ากันว่า ฮัวคิน ลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่ยังเรียนประถมเพื่อมารับเงินสกปรก 

เวลาผ่านไป ฮัวคิน เริ่มไต่เต้าขึ้นมาจนกลายเป็นผู้ดูแลระบบขนส่งโลจิสติกขององค์กรในช่วงปี 1981 ซึ่ง ณ เวลานั้นเขายังทำงานให้กับ เฟลิกซ์ กัลญาโด้ ราชายาเสพติดแห่งเม็กซิโกเจ้าของฉายา "Godfather" อยู่ จนกระทั่งยุคสมัยของ เฟลิกซ์ ล่มสลาย จากการโดนกวาดล้างในปี 1989 ฮัวคิน ก็กลายเป็นหัวหน้าแก๊งที่มีชื่อเสียงในเรื่องของความโหดเหี้ยมนับตั้งแต่นั้นมา 

เมื่อมีชื่อเสียงเขาก็ได้รับฉายาใหม่คือ "ชาโป" ที่แปลว่าคนตัวเตี้ย ทว่าการได้ขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊ง ซินาลัว เป็นรุ่นที่ 2 ทำให้เขาถูกเติมคำว่า "เอล" เพื่อความยิ่งใหญ่เข้าไป จนกลายเป็นชื่อที่ใครก็รู้จักอย่าง เอล ชาโป นั่นเอง 

ช่วงที่ ชาโป ขึ้นเป็นใหญ่ เขาใช้ความโหดเหี้ยมเป็นจุดเด่น และรวบอำนาจตลาดค้ายาเสพติดเอาไว้ในมือของตัวเองได้ทั้งหมด มีพันธมิตรรอบกาย โดยเฉพาะฝั่ง โคลอมเบีย ที่ขึ้นชื่อเรื่อง "โคเคน" ที่มาจากเครือข่ายของราชาแห่งโคลอมเบียอย่าง ปาโบล เอสโคบาร์ 

เมื่อครองอำนาจเบ็ดเสร็จ ชาโป เริ่มต้องการคืนกำไรสู่สังคมเพื่อทำให้แก๊งของเขามีความแข็งแกร่งขึ้นไป เขาต้องการเป็นขวัญใจของประชาชน เหมือนกับที่ ปาโบล เอสโคบาร์ สามารถเปลี่ยนให้ชาวเมือง เมเดยิน เรียกเขาว่าเป็น "ราชา" ดังนั้น ชาโป จึงมักมีกิจกรรมลดแลกแจกแถม ทำตัวเหมือนกับโรบินฮู้ดที่นำเงินมาแจกคนจน จนได้ฉายา "นักบุญแห่งยาเสพติด" ไปอีก 1 ฉายา 


Photo : www.businessinsider.com.au

นิยตสาร นิวยอร์ก โพสต์ ของ สหรัฐอเมริกา ถึงกับสืบความได้ว่าอิทธิพลจากการแบ่งปันของ ชาโป ทำให้เขารู้ทุกความเคลื่อนไหวของรัฐบาลเม็กซิโก ว่ากันว่าเขาเคยใช้เงินถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราวๆ 3 พันล้านบาท) เพื่อติดสินบนกับคนที่อยู่บนยอดหอคอยของรัฐบาล นั่นคือการมอบมันให้กับ ประธานาธิบดี เอ็นริเก เปนญา นิเอโต นอกจากนี้ยังมีงบพิเศษของแก๊งที่ตั้งขึ้นมาเพื่อจ่ายสินบนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐต่างๆโดยเฉพาะ เพื่อแลกกับการยุติการไล่ล่าล้างบางแก๊ง ซินาลัว ของเขา ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะจริงหรือไม่ ก็ไม่มีใครยืนยันได้ 100% เพราะตัวของนาย เปนญา นิเอโต ก็ปฎิเสธเรื่องเสมอมา

ขนาดงบสินบนยังมากมายขนาดนี้ ไม่ต้องสืบหาความเลยว่าทรัพย์สินและเงินสดของ เอล ชาโป นั้นมีมากเท่าไหร่ ... ซึ่งจุดนี้เองถือว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับกลุ่มคนทำงานผิดกฎหมาย นั่นคือเมื่อมีเงินมากมายที่มาจากงานสกปรกแล้ว พวกเขาจะฟอกเงินจำนวนนี้อย่างไรให้ขาวสะอาด และสามารถเอามาใช้ได้จริงโดยไม่ต้องกลัวความผิดนั่นเอง

ธุรกิจต่างๆ ของ เอล ชาโป เกิดขึ้นมากมายทั้งธุรกิจระบบโลจิสติก ธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่น ล้วนเป็นธุรกิจบังหน้าที่ทำให้เงินของเขาสะอาด แต่จะมีอะไรดีกว่าธุรกิจที่นอกจากจะได้ฟอกเงินแล้ว เขายังได้รับความนิยมจากประชาชนเพิ่มขึ้นด้วย ... และธุรกิจนั้นก็คือการซื้อสโมสรฟุตบอลนั่นเอง ยิ่งทุนเดิมของ เอล ชาโป เป็นคนรักและคลั่งไคล้ในกีฬาฟุตบอลอยู่แล้ว ดังนั้น โลกลูกหนังจึงเป็นที่ที่ธุรกิจกับความชื่นชอบของเขาสามารถมาบรรจบกันได้นั่นเอง

คนรักบอล

มีการกล่าวอ้างกันในสื่อของ เม็กซิโก บอกว่า เอล ชาโป นั้นมีกิจกรรมยามว่างคือการไปดู คลับ พูเอบา (Club Puebla) ทีมในลีกสูงสุดของเม็กซิโกลงแข่งขันเสมอ เขาเป็นคนบ้าฟุตบอล และชื่นชอบทีม พูเอบา จนมีความสนิทสนมกับบุคลการในสโมสรแห่งนี้เป็นอย่างดี


Photo : au.sports.yahoo.com

อย่างไรก็ตามไม่มีหลักฐานว่า เอล ชาโป ได้เอาเงินที่เขามีไปลุงทุนกับสโมสร พูเอบา เพื่อฟอกเงินแต่อย่างใด มีเพียงการตั้งสมมุติฐานขึ้นมาเท่านั้น 

แต่มันมีเรื่องที่ชวนให้คิดอยู่หลายอย่างนั่นคือ ช่วงเวลาคาบเกี่ยวของกันของสโมสรแห่งนี้ กับช่วงเวลาที่ เอล ชาโป ขึ้นเป็นใหญ่ในปี 1992 เป็นต้นมา

ในช่วงปี 1992 พูเอบา นั้นเป็นสโมสรที่มีผลงานไม่ค่อยดีนัก ทีมของพวกเขามีปัญหากับสหพันธ์ฟุตบอลเม็กซิโก เนื่องจาก เอมิเลียโน่ เอสปิโนซ่า ประธานสโมสรถูกจับได้ว่า "มีความผิดปกติในการบริหาร" จน เอสปิโนซ่า ถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่ง ขณะที่สโมสร พูเอบา ถูกขับออกจากลีกสูงสุด ซึ่งก็ทำให้ พูเอบา วนเวียนอยู่กับการเลื่อนชั้นตกชั้นอยู่อย่างนั้น

จนกระทั่งในปี 1998 สโมสร พูเอบา เกิดตกชั้นจากลีกสูงสุดอีกครั้ง แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะมีคนไม่ยอม เนื่องจากในช่วงเวลาเดียวกัน มีสโมสรในลีกสูงสุดที่ชื่อว่า ลีออง (Club Leon) กำลังประสบปัญหาทางการเงินและอยากจะขายทีม เรื่องของการซื้อทีมจึงเกิดขึ้น เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่การซื้อที่ปกติเท่าไรนัก 


Photo : us.as.com

ทีมที่จะซื้อสโมสรลีออง ก็คือ พูเอบา ที่ตกชั้นไปนั่นเอง และการซื้อครั้งนี้ไม่ใช่การซื้อทั้งทีม แต่ซื้อแค่สิทธิ์ในการเล่นลีกสูงสุดของ ลีออง เท่านั้น พูดง่ายๆ ก็เหมือนการจ่ายเงินให้ ลีออง ตกชั้นแทน พูเอบา ด้วยราคา 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั่นเอง 

เงิน 9 ล้านในอุตสาหกรรมฟุตบอลเม็กซิโกในปี 1999 นั้นเป็นตัวเลขที่ไม่ใช่น้อยๆ สมัยนั้นนักเตะเกรดดีสุดๆ ยังราคาแค่หลักล้านต้นๆ ดังนั้นการขอซื้อแค่สิทธิ์ด้วยราคา 9 ล้าน จึงเป็นตัวเลขที่น่าสงสัยว่าสรุปแล้ว พูเอบา ไปเอาเงินจำนวนนี้มาจากไหนกันแน่? และข้อสงสัยนี้นำมาสู่ทฤษฎีสมคบคิดว่าถ้าจะมีใครคนหนึ่งมีเงินเหลือขนาดนั้น ก็คงจะหนีไม่พ้นแฟนพันธุ์แท้ของของ พูเอบา อย่าง เอล ชาโป นั่นเอง 

 

เงินมันเหลือจึงต้องเล่นของใหญ่ 

ทรัพย์สินโดยรวมของ เอล ชาโป ตลอดการทำธุรกิจขนโคเคนจาก โคลอมเบีย ผ่าน เม็กซิโก และปลายทางคือ สหรัฐอเมริกา อยู่ที่ราวๆ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

ปัญหามันไม่ใช่การทำเงิน แต่มันคือเมื่อปลายทางของธุรกิจของ เอล ชาโป คือสหรัฐอเมริกา จึงยากที่ชาติมหาอำนาจจะยอม ... อเมริการู้ดีว่าหากปล่อยให้ เอล ชาโป โดนจับในเม็กซิโก มันคงไม่มีประโยชน์เพราะด้วยสินบนพันล้านที่เคยจ่ายไว้ ดังนั้นจึงกดดันให้ เม็กซิโก ส่งผู้ร้ายข้ามแดนหาก ชาโป ถูกจับได้ 


Photo : www.bez.es

และ เอล ชาโป ก็ถูกจับได้จริงๆ ในปี 2014 และถือเป็นการถูกจับครั้งที่ 2 ในชีวิตของเขา หลังโดนจับครั้งแรกในปี 1993 ... ทางการเม็กซิโก ได้ตามล่าเขาไปจนถึงที่ซ่อนตัวที่อยู่ในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งของรัฐ ซินาลัว ที่เป็นถิ่นของเขาเอง ทว่าเรื่องการส่งตัวยังไม่ทันจะแล้วเสร็จดี เขาก็ใช้วิธีติดสินบนและให้ลูกน้องขุดอุโมงค์ยาว 1.5 กิโลเมตร จากนอกเรือนจำเข้ามายังห้องขังของเขา จนสุดท้ายหนีออกมาได้อย่างเฉียดฉิวในปีถัดมา

อเมริกา เอาจริงเอาจังมากกับการส่งผู้ร้ายข้ามแดนครั้งนี้ เพราะอิทธิพลของโคเคนที่ ชาโป ส่งได้กระจายไปทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงส่งทีมงานเข้ามาช่วยจับกุม ชาโป อีกครั้งในปี 2016 และครั้งนี้ ชาโป หนีไม่รอดด้วยการถูกส่งไปอเมริกาตามหมายจับในเดือนมกราคมปี 2017 

ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะจบลงเมื่อ ชาโป เข้าคุกที่ อเมริกา ทว่าหลายสิ่งหลายอย่างก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง มีความลับหลุดออกมาจากเจ้าหน้าที่ของอเมริกามากมายถึงสิ่งที่ ชาโป เคยทำตลอดช่วงเวลาที่มีอิสระ และหนึ่งในนั้นคือการวางเป้าหมายจะกลายเป็นบุคคลทรงอิทธิพลของโลกให้ได้ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงเริ่มออกหน้าออกหน้าโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย

ในช่วงปี 2009-13 นิตยสาร Forbes จัดอันดับให้เขาเป็นบุคคลทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลก โดยติดอันดับท็อป 100 มาโดยตลอด (สูงสุดอันดับที่ 41 ของโลก) นอกจากนี้ยังเผยต่อว่า ชาโป เป็นบุคคลที่อำนาจมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประเทศเม็กซิโก รองจาก คาร์ลอส สลิม มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของประเทศ ซึ่งมีเส้นทางสีขาว จากการทำธุรกิจโทรคมนาคม ต่างกับเขาโดยสิ้นเชิง 

ในช่วงที่เขาพีกถึงขีดสุดทั้งเรื่องเงินที่มี และความต้องการชื่อเสียง มีการเปิดเผยว่า เอล ชาโป พยายามส่งให้คนติดต่อไปยังสโมสรฟุตบอลต่างๆ ในยุโรปเพื่อเจรจาขอซื้อทีม ซึ่งแต่ละทีมที่เขาเล่นด้วยไม่ใช่ทีมเล็ก ลิสต์ของ เอล ชาโป มีทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เอซี มิลาน, ยูเวนตุส และ เชลซี ซึ่งเขาเล็งไปที่ เชลซี อย่างจริงจัง เพราะในปี 2016 เชลซี ถือเป็นทีมที่มีมูลค่าอันดับ 6 ของโลก โดยมีมูลค่าประเมินอยู่ที่ 1.37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


Photo : www.mylondon.news

"มีหลายคนการันตีว่าราชายาเสพติดรายนี้เป็นแฟนตัวยงของฟุตบอล และเขาต้องการเป็นราชาในโลกฟุตบอลด้วย เขาเคยเป็นผู้เล่นของทีม พูเอบา และเกี่ยวข้องกับทีมในฐานะแฟนพันธุ์แท้" รายละเอียดจาดหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่ชื่อว่า Puente Libre ว่าไว้เช่นนั้น 

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ ชาโป คาดหวัง ไม่มีทางเป็นจริงได้เลย เขาอาจจะเล็งไปที่ เชลซี เพราะ ณ ช่วงปี 2016 เป็นต้นมา โรมัน อับราโมวิช ประธานสโมสรชาวรัสเซีย มีปัญหากับทางการของอังกฤษจากเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทำให้เขาถูกถอดถอนวีซ่าของอังกฤษ จนต้องไปถือพาสปอร์ตของ อิสราเอล ซึ่งเป็นเชื้อสายของเขาแทน ถึงกระนั้น เจ้าตัวก็ยังไม่กล้าเสี่ยงใช้พาสปอร์ตใหม่เข้าอังกฤษมาจนถึงทุกวันนี้

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ เสี่ยหมี ถอยตัวเองออกมาในเรื่องของการออกหน้า และให้ มาเรียน่า กรานอฟสกาย่า เป็นผู้จัดการเรื่องภายในสโมสรแทนตัวเขา โดยที่เจ้าตัวก็เป็นคนดูแลอยู่เบื้องหลัง จนทำให้ทางการอังกฤษจับตาดูการทำงานของ เชลซี อย่างใกล้ชิด ... นั่นคือสิ่งที่ ชาโป เชื่อว่าความง่อนแง่นนี้จะสามารถนำเขาเข้าสู่เวทีฟุตบอลระดับโลกได้

อย่างไรก็ตามมีการเปิดเผยอีกว่าข้อเสนอที่ เอล ชาโป ยื่นไปนั้นไม่ได้ถูกพิจรณาจาก โรมัน อับราโมวิช เลย เนื่องจาก เสี่ยหมี ไม่ต้องการที่จะขายสโมสรแห่งนี้ออกไป ขณะที่ความจริงอีกประการหนึ่ง คือสมาคมฟุตบอลลีกอังกฤษไม่มีนโยบายให้ทีมในการดูแลของพวกเขามีเจ้าของสโมสรที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมอยู่แล้ว หากใครก็ตามที่จะเข้ามาซื้อสโมสรนั้นจะต้องถูกทางลีกพิจารณา ซึ่งแน่นอนว่า เอล ชาโป ที่มีหมายจับเต็มไปหมดไม่มีทางผ่านเกณฑ์ได้ นั่นจึงทำให้การซื้อทีมครั้งนี้พลาดไป

และการซื้อทีม เชลซี หนนี้ของ เอล ชาโป ไม่ใช่ครั้งแรก ... เดอะ มิร์เร่อร์ สื่อจากอังกฤษเปิดเผยว่าจริงๆ แล้ว ชาโป นั้นอยากจะซื้อทีม เชลซี ตั้งแต่ปี 2003 ในช่วงที่มีแววจะเปลี่ยนเจ้าของ ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ ชาโป พลาดเป็นเจ้าของในครั้งนั้นก็เป็นเพราะ โรมัน อับราโมวิช จ่ายเงิน 200 ล้านปอนด์และได้หุ้นทั้งหมดมาครองนั่นเอง 


Photo : www.businessinsider.com

จริงอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ และเป็นความฝันของราชายาเสพติดคนหนึ่ง ที่คิดอะไรไปเรื่อยตราบใดเท่าที่เงินของเขาทำได้ แต่ความจริงแล้วโลกของธุรกิจสีขาวก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น โดยเฉพาะองค์กรระดับโลกอย่างพรีเมียร์ลีกที่มาตรฐานสูง มีการตรวจสอบทุกอย่างอย่างเป็นระบบระเบียบ ยากที่เงินใต้โต๊ะของ ชาโป จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ 

ดีลการซื้อสโมสร เชลซี ของ เอล ชาโป อาจจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริง แต่อย่างน้อยๆ เราก็ได้รู้ว่าโลกเรายังมีพื้นที่ให้คนที่ทำงานสุจริตและมือสะอาดอยู่เสมอ ... บางครั้งเงินก็ซื้อทุกอย่างไม่ได้ และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงไม่ควรจะทำความชั่ว เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านั้นก็จะย้อนกลับมาเล่นงานคุณโดยไม่รู้ตัวอยู่ดี 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook