"Bajau Laut" : ชนเผ่ายอดนักดำน้ำผู้รับขุมพลังลิมิเต็ดที่ส่งต่อกันมาหลายร้อยปี
การมีบ้านอยู่ติดทะเลนั้นคือความฝันของเราๆ ท่านๆ กันแทบทั้งนั้น เพราะการตื่นเช้าขึ้นมาและเปิดประตูรับกับแสงอาทิตย์พร้อมทะเลสีคราม น่าจะเป็นสิ่งที่เพิ่มพลังชีวิตได้เป็นอย่างดี
ชีวิตแบบนี้มีอยู่จริงในหมู่ชนเผ่าที่ชื่อว่า Bajau Laut พวกเขาไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ไม่มีอินเตอร์เน็ต มีเพียงบ้านกลางทะเลเท่านั้น... และอาศัยอยู่แบบนี้มาหลายร้อยปีแล้ว
อย่างไรก็ตามในความไกลปืนเที่ยง กลับกลายเป็นการสร้างขุมพลังที่ชนเผ่าใดๆ ก็ยากจะเลียนแบบ ร่างกายของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปเหมือนกับมนุษย์กลายพันธุ์ ... และมันทำให้พวกเขาดำน้ำได้ลึกได้ถึง 80 เมตรโดยใช้แว่นตาดำน้ำแค่อันเดียวเท่านั้น
ติดตามเรื่องราวของความสามารถสุดลิมิเต็ดที่ส่งผ่านพันธุกรรมและชีวิตความเป็นอยู่ของ Bajau Laut ได้ที่นี่
Bajau Laut ยิปซีแห่งท้องทะเล
"ยิปซี" ถูกรู้จักกันในชื่อของหมู่คนเร่ร่อน ไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่ง เดินทางไปเรื่อยๆ เจอที่ใดที่เหมาะ พวกเขาจะลงหลักปักฐาน และถึงเวลาที่ต้องย้าย พวกเขาก็จะไม่ลังเลที่จะทิ้งที่อยู่เก่า เพื่อไปหาสิ่งที่ดีกว่า
คำว่า ยิปซี นั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากชาวอังกฤษที่ใช้เรียกคนจรจัดโดยย่อมาจากคำว่า Egyptians อีกทีหนึ่ง ... แม้ในตอนแรกเข้าใจกันว่ายิปซีมีที่มาจากประเทศอียิปต์ แต่จากการศึกษาจากสรีระวิทยา, สำเนียง และการร้องเพลง กลับพบว่าแท้จริงแล้ว ต้นกำเนิดของ ยิปซี คือชาว อินเดีย ที่พเนจรมาอยู่ทางตะวันตกมาเป็นเวลากว่าพันปี
ปัจจุบัน ชาวยิปซีที่แท้จริงได้ถูกนิยามใหม่ว่าเป็นชาว "โรมานี"... แต่ด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน "ยิปซี" จึงถูกเรียกแทนคนเร่รอน ที่ใช้ชีวิตสวนทางกับกระแสสังคมไม่ว่าจะมีเชื้อชาติใดก็ตาม
และ ณ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากประเทศไทยมากนัก มีกลุ่ม ยิปซี อีก 1 ประเภทซึ่งแตกต่างจากยิปซีในยุคโบราณนานมา พวกเขาคือชนเผ่าที่ชื่อว่า Bajau Laut หรือ Sama-Bajau ชนเผ่านี้ถูกเรียกว่า "ยิปซีแห่งท้องทะเล" พวกเขาสร้างบ้านและบางกลุ่มอาศัยบนเรือกลางทะเล ใช้ชีวิตอยู่กับน้ำ กิจกรรมต่างๆ กว่า 60% หนีไม่พ้นทะเลเลย ซึ่งเป็นเวลานานหลายชั่วอายุคนที่พวกเขากิน-อยู่ และ อาศัย กันเช่นนั้น
ปัจจุบันชาว Bajau Laut อาศัยอยู่บริเวณริมชายฝั่งของประเทศ ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และ บรูไน โดยมีการประมาณจำนวนประชากรจากหลายแหล่งว่าชาว Bajau Laut มีจำนวนมากถึง 1.1 ล้านคนเลยทีเดียว
"มีความเป็นไปได้ว่า Bajau Laut มีอายุมากกว่า 1 พันปี อาศัยบนเรือและน่านน้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พวกเขาจะเดินขึ้นแผ่นดินเป็นครั้งคราวเท่านั้น ดังนั้นทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการและใช้ในชีวิตประจำวัน สามารถหาได้จากท้องทะเลทั้งหมด" เมลิสซา ยาร์โด้ จากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเก้น กล่าวกับ BBC
อาชีพหลักของพวกเขายังคงเป็นการหากินกับท้องทะเลเสียเป็นส่วนใหญ่ นั่นอาจเป็นเพราะว่าร่างกายของพวกเขาได้ส่งผ่านสิ่งที่เรียกว่าพันธุกรรมมาจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านวิถีที่สืบทอดกันมายาวนานจนกลายเป็นพรสวรรค์ที่ยากจะหาใครเลียนแบบได้ นั่นคือการ "ดำน้ำ"
ในขณะที่โลกตะวันตก หรือหลายๆ ประเทศที่มีชื่อเสียงด้านวิทยาศาสตร์และวิทยาการ พยายามสร้างและผลิตอุปกรณ์มากมายขึ้นมาเพื่อเพิ่มขีดจำกัดให้กับนักดำน้ำของพวกเขา แต่ชาว Bajau Laut กลับดำน้ำได้ลึกกว่า 80 เมตรด้วยวิธีที่ง่ายดายกว่ากันเยอะ
ไม่มีเครื่องช่วยหายใจ ไม่มีถังอ็อกซีเจน และไม่มีเหล็กถ่วงน้ำหนัก... มีเพียงแว่นตาดำน้ำกับพลังที่ยากเกินหยั่งถึงเท่านั้นที่ทำให้ Bajau Laut ยิปซีแห่งท้องทะเลสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้พบเห็น
อุปกรณ์ที่ไม่มีใครสร้างได้
ว่ากันว่าหากคนเราทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ เป็นระยะเวลาติดต่อกันนาน เราจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ และทำสิ่งๆ นั้นได้โดยสัญชาตญาณ ชนิดที่ว่าหลับตาทำก็ยังได้โดยที่เราเองไม่ทันรู้ตัว
Bajau Laut มีการบันทึกไว้เมื่อปี 1521 หรือเกือบ 500 ปีที่แล้ว โดยผู้บันทึกหลักฐานคือนักสำรวจชาวอิตาลี นามว่า อันโตนิโอ ปิกาเฟ็ตต้า เขาคือชายที่ตั้งใจจะเดินเรือไปรอบโลกและได้พบกับชาว Bajau Laut พร้อมๆ กับพรสวรรค์ในการกลั้นหายใจที่เหนือมนุษย์
"เมื่อพวกเขากระโจนลงสู่ห้วงน้ำเมื่อนั้นคือจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรม ชาว Bajau Laut ดำน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าวันละ 8 ชั่วโมง เวลาในชีวิตกว่า 60% ถูกใช้ไปกับน้ำทะเล พวกเขาสามารถเลือกได้ตามแต่ใจว่าจะดำสัก 30 วินาที หรือจะเอาหลายๆ นาทีเลยก็ได้ แต่ที่แน่ๆ พวกเขาดำได้ลึกมากกว่า 70 เมตรแน่นอน" ดร. ยาร์โด้ กล่าว
ตามปกติแล้วการดำน้ำของมนุษย์โดยปกติ หากต้องการจะดำให้ลึกในระยะมากกว่า 50 เมตรนั้น จำเป็นจะต้องมีอุปกรณ์ช่วยมากมาย แต่ก็อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น สำหรับชาว Bajau Laut สิ่งต่างๆ และเทคโนโลยีนั้นไม่จำเป็น เพราะพวกเขามีอุปกรณ์หนึ่งที่แข็งแกร่งและเป็นกุญแจหลักของพรสวรรค์นี้ อุปกรณ์ดังกล่าวซ่อนอยู่ในช่องท้องของพวกเขา ... ซึ่งนั่นก็คือ "ม้าม" นั่นเอง
จุดเริ่มต้นของการตรวจม้ามของชาว Bajau Laut เกิดขึ้นเมื่อกลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเก้น ได้พบเจอกับการดำน้ำที่เหนือมนุษย์ของ Bajau Laut พวกเขาจึงกลับมาที่หมู่บ้านนี้ใหม่อีกครั้งพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ แบบครบวงจร โดยเฉพาะเครื่องอัลตร้าซาวด์ เพื่อไขข้อสงสัยให้ได้ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้ Bajau Laut ดำน้ำได้ลึกขนาดนั้น
กลุ่มทีมสำรวจจากโลกตะวันตกเริ่มต้นด้วยการนำเครื่อง อัลตร้าซาวด์ มาสแกนร่างกายของชาวบ้าน Bajau Laut ทั้ง 20 ครัวเรือน จำนวนทั้งหมด 59 คน และพวกเขาก็ค้นพบว่าม้ามของชาว Bajau Laut ใหญ่ผิดปกติ
คำว่าผิดปกติในที่นี้ไม่ได้เปรียบเทียบกับกลุ่มนักสำรวจจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเก้นเท่านั้น เพราะก่อนที่ทีมสำรวจจะมาสแกนม้ามของ Bajau Laut พวกเขาได้ไปพบกับชาว Saluan อีกชนเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่บนเกาะระยะไม่ห่างจากพวก Bajau Laut มากนัก และถึงแม้ว่ากิจวัตรของชาว Saluan จะผูกพันกับท้องทะเล แต่เมื่อสำรวจม้ามแล้วกลับพบว่า ม้ามของชาว Saluan เล็กกว่าม้ามของชาว Bajau Laut ถึง 50% เลยทีเดียว
หากจะถามว่าการที่ "ม้ามใหญ่" ส่งผลต่อการดำน้ำลึกได้อย่างไร? ก็คงต้องบอกว่า ม้าม นั้นเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่เหมือนโกดังเก็บเซลล์เม็ดเลือดแดง (ซึ่งเม็ดเลือดแดงมีอ็อกซิเจน) และโดยปกติแล้วหากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (รวมถึงมนุษย์) กลั้นหายใจเมื่อใด ม้ามก็จะทำหน้าส่งเม็ดเลือดแดงที่มีอ็อกซิเจนไปยังระบบไหลเวียนโลหิตเพื่อช่วยให้ยืดระยะเวลากลั้นหายใจได้นานขึ้นนั่นเอง
ม้ามของชาว Bajau Laut ไม่ได้ใหญ่เพราะการฝึกฝน แต่มันคือพันธุกรรมที่ส่งมาตามสายเลือด เพราะในการสแกนร่างกายของชาว Bajau Laut ที่ยังเด็กหรือคนที่ไม่เคยดำน้ำ พวกเขาเหล่านั้นก็ยังมีม้ามที่ใหญ่กว่าปกติอยู่ดี
ความมหัศจรรย์ของร่างกายชาว Bajau Laut ยังไม่หมดแค่นั้น ซึ่งหลังจากมีการตรวจดู DNA ของพวกเขาพบว่าพวกเขามีฮอร์โมนที่ทำให้เกิดอัตราการเผาผลาญในต่อมไทรอยด์เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ร่างกายสามารถสู้กับสภาวะอ็อกซิเจนต่ำได้ดีขึ้นไปอีก
ด้วยอุปกรณ์ที่ไม่มีชนเผ่าใดสามารถเลียนแบบได้นี้ จึงทำให้ Bajau Laut กลายเป็นชนเผ่าที่ดำน้ำแบบไม่ใช้อุปกรณ์ได้ดีที่สุดในโลก พวกเขามีม้ามที่เป็นเหมือนห้องเครื่องที่ส่งพลังไปยังจุดต่างๆ ได้อย่างลื่นไหล และมีดีเอ็นเอชนิดพิเศษที่เป็นเหมือนเทอร์โบช่วยเสริมแรงในสภาวะที่ยากลำบาก ทั้งหมดคือความสุดยอดและคือที่มาของคำว่าวิวัฒนาการของมนุษย์อย่างแท้จริง
"Bajau Laut คือตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมสำหรับวิธีการปรับตัวของมนุษย์ที่สามารถกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมท้องถิ่นของพวกเขา ต่อไปนี้อาจจะมีความสนใจทางการแพทย์มาถึงพวกเขาอีกมาก สำหรับการทำความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับตัวของอ็อกซิเจนในร่างกาย" รัสมุส นีลเซ่น หนึ่งในทีมนักวิจัยกล่าว
การปรับตัวครั้งต่อไป... ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้อดีต
แม้ Bajau Laut จะมีพันธุกรรม พรสวรรค์ และมีความพิเศษแบบที่โลกยากจะเลียนแบบ แต่ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ไม่มีเลยแม้สักวินาทีที่พวกเราไม่ต้องปรับตัว ... และพวกเขากำลังจะเจอความท้าทายครั้งใหญ่ ที่อาจจะมากกว่าการขยายม้ามเมื่อดำน้ำเสียอีก
ปัจจุบันโลกหมุนไปตามวิถีและความเป็นไป ต่อให้ห่างไกลความเจริญมากแค่ไหน แต่สักวันความเจริญและเทคโนโลยีก็จะมาถึงในไม่ช้า ในยุคปัจจุบันที่ท้องทะเลโดนมนุษย์รบกวน สัตว์น้ำ, แนวประการัง และ น้ำจืด กลายเป็นของหายาก มันจึงส่งผลต่อการใช้ชีวิตของชาว Bajau Laut เป็นอย่างมาก จึงทำให้มีชาว Bajau Laut บางกลุ่ม แยกตัวออกมาและอาศัยอยู่ในพื้นที่ติดกับชายฝั่งมากขึ้นเพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิต
เดิมทีพวกเขาไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา แต่ตอนนี้การขยับเข้าไปใกล้ชิดชายฝั่ง ทำให้เหล่ายิปซีได้เริ่มรู้จักสิ่งใหม่ๆ ที่เรียกว่าเทคโนโลยี นอกจากนี้สภาพแวดล้อมที่พวกเขาอยู่กันมาเป็นพันๆ ปีก็โดนรบกวนจากประชากรรอบข้างหรือคนนอกมากขึ้น และมันน่ากลัวว่าหากสักวันที่โลกสมัยใหม่เข้าใกล้วิถีโบราณมากขึ้น พรวรรค์และร่างกายที่สุดยอดของชาว Bajau Laut อาจจะหายไปก็เป็นได้
ตอนนี้ชาว Bajau Laut อาจจะอยู่ตามชายฝั่งของหลายประเทศ แต่พวกเขาก็ไม่ได้รับการยอมรับว่ามีสัญชาติใดที่แน่ชัด อย่างไรก็ตามพวกเขากลับไม่ได้รับการสนับสนุนเรื่องพวกนี้ แต่กลับกลายเป็นการขับไล่เสียมากกว่า
"พวกเราชาว Bajau Laut คุ้นเคยกับชีวิตบนท้องทะเล บางครั้งก็ยากที่พวกเราจะปรับตัวเข้ากับการไปเรียนโรงเรียนปกติ" โรเซียห์ ครูใหญ่ของโรงเรียนเรือนแพสำหรับชาว Bajau Laut ในทะเลตอนใต้ของ มาเลเซียกล่าว
"เราสอนเด็กๆ ที่นี่เกี่ยวกับธงชาติและธงประจำรัฐ รวมถึงทุกๆ เทศกาลราวกับว่าพวกเขาเป็นพลเมือง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เราก็ต้องพยายามบอกให้พวกเขารู้ว่า 'ชาวมาเลเซียเป็นแบบนี้นะ'"
"เราต้องการให้พวกเขารู้ว่าพวกเรามีคุณค่าและได้รับการดูแลโดยรัฐบาล เราต้องการให้พวกเขาส่งเสริมบ้างและทำให้พวกเราไม่ต้องดูถูกตัวเอง” เธอกล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่ชาว Bajau Laut ฝั่งอินโดนีเซีย ก็ประสบพบเจอกับเรื่องที่ไม่แตกต่างกัน แต่ถึงแม้จะโดนบีบแค่ไหน จุดเด่นของชาว Bajau Laut ก็ยังเป็นเรื่องของการยินดีกับชีวิตที่ลืมตาตื่นขึ้นมาและพบกับท้องทะเลเหมือนเช่นเคย
"พวกเขาเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่บนเส้นแบ่งระหว่างสังคม แม้จะดูยากลำบาก แต่พวกเขากลับเป็นกลุ่มคนที่มีความยินดีกับชีวิตความเป็นอยู่มากที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบ" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจากมหาวิทยาลัยอินโดนีเซียที่ผูกพันกับชาว Bajau Laut กล่าว
แม้จะมีความสุขและยินดีกับสิ่งที่มีขนาดไหน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือ พวกเขาจะสามารถอยู่บนรอยเส้นแบ่งของวัฒนธรรมได้อีกนานสักเท่าไร ปัจจุบันโครงการของรัฐบาลหลายๆ ที่ บังคับให้คนเร่ร่อนต้องขึ้นฝั่ง และบ้านกลางทะเลของพวกชาว Bajau Laut ก็เป็นหนึ่งในโครงการนั้นด้วย
"ชาว Bajau Laut เคยทำบ้านจากต้นไม้เนื้ออ่อนตามท้องถิ่น แต่ตอนนี้ต้นไม้ชนิดดังกล่าวก็ใกล้ที่จะสูญพันธุ์ ต่อจากนี้พวกเขาอาจจะต้องถูกบังคับให้เจอ หรือต้องใช้อะไรที่ไม่เคยเจอทั้ง เครื่องจักร, แก๊ส ซึ่งแน่นอนว่ามันมีราคาแพง และมันจะบีบให้พวกเขาเข้าไปใกล้ชิดกับแผ่นดินทีละน้อยอย่างช้าๆ แม้ตอนนี้จะเหลือบางกลุ่มที่สร้างบ้านกลางทะเลเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับท้องสมุทรก็ตาม" ยาร์โด้ กล่าว
การสร้างม้ามที่ใหญ่กว่าคนปกติ การสร้างดีเอ็นเอที่สามารถเอาชนะพื้นที่ที่ไร้อ็อกซิเจน และทักษะการดำน้ำลึกในแบบที่ใครก็ยากจะสู้ได้ ที่ถูกส่งผ่านมาหลายชั่วอายุคน จะต้องสู้กับสิ่งที่เรียกว่า โลกาภิวัฒน์ ... ไม่มีอะไรแน่นอนทั้งนั้น หากพวกเขาหมดทางเลือกและไม่สามารถรักษาขนบเดิมไว้ได้ Bajau Laut ชนเผ่า 500 ปี อาจจะเหลือแค่ชื่อและคำกล่าวในฐานะตำนานเท่านั้น ... ก็เป็นได้
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ