"ขุนดง พ.ธวัชชัย" : ครูสอนมวยไทยที่พานักชกญี่ปุ่นเป็นแชมป์ลุมพินี-ราชดำเนิน
“เมื่อก่อนนึกไม่ออกเลยว่า จะสอนนักมวยญี่ปุ่นให้ไปเป็นแชมป์เวทีมาตรฐานบ้านเราได้อย่างไร เพราะพื้นฐานความเป็นมวยของเด็กญี่ปุ่นต่างกับเด็กไทยมากเลย”
วันที่สองของการอยู่ในเมือง โยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น เราออกเดินทางในช่วงเที่ยงของวัน ด้วยการนั่งรถไฟใต้ดินสายสีน้ำเงิน มาลงที่สถานี ทาคาชิม่าโจ (Takashimachō Station) ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ใจกลางเมืองโยโกฮาม่า
เราเดินเท้าจากสถานีรถไฟใต้ดิน เพื่อไปยัง เอวะ สปอร์ต ยิม (Eiwa Sport Gym) ที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึง 1 กิโลเมตร ตลอดสองข้างทางที่เดินมา เราเห็นตึกรามอาคารมากมายตั้งขึ้นที่นี่ ผู้คนสวมชุดพนักงานออฟฟิศเดินกันขวักไกว่ สมกับเป็นเมืองแห่งพาณิชยกรรม และอุตสาหกรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น
อากาศที่เย็นราวๆ 14 องศา ปลายเดือนธันวาคม ทำให้เราเดินเท้าได้อย่างสบายๆ จนมาถึงที่หมาย เพื่อมาพบเจอและพูดคุยกับ ขุน - พงษ์ศักดิ์ ตระการจันทร์ หรือชื่อในวงการมวย “ขุนดง พ.ธวัชชัย” อดีตนักชกที่ผันตัวเองมาเป็น ครูสอนมวยไทย ก่อนที่อาชีพนี้จะนำพาเขาให้ได้มีโอกาสมาทำงานในต่างแดนเป็นระยะมากกว่า 10 ปี
ชีวิตการทำงานบนแผ่นดินญี่ปุ่นของ พงษ์ศักดิ์ เต็มไปด้วยประสบการณ์มากมาย จากหนุ่มใหญ่อีสานที่พูดภาษาอังกฤษและญี่ปุ่นไม่ได้
วันหนึ่งเขากลายเป็นคนมวยที่ปลุกปั้น นักชกสัญชาติญี่ปุ่น จนก้าวไปขึ้นไปคว้าเข็มขัดแชมป์เวทีมวยลุมพินี และราชดำเนิน อันเป็นสองสังเวียนมวยไทยที่นักชกกีฬามวยไทยทั่วโลก ต่างอยากครอบครองเข็มขัดจากสองเวทีมาตรฐานนี้
มันน่าสนใจตรงที่ว่า เขาทำในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็พูดว่าแทบเป็นไปไม่ได้ ? ได้อย่างไร...
จากนักมวยสู่บอดี้การ์ด
ที่บ้านท่าไห อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี คือภูมิลำเนาและถิ่นกำเนิดของ พงษ์ศักดิ์ เขาเกิดในครอบครัวที่พี่น้องทั้งหมด 8 ชีวิต ตัวเขาเป็นน้องคนรองสุดท้าย
สภาพแวดล้อมที่นี่ผู้คนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำเกษตรกรรมทำนา และอีกจำนวนหนึ่งก็เข้ามาขายแรงงาน ขับแท็กซี่ที่กรุงเทพฯ เฉกเช่น คุณพ่อของพงษ์ศักดิ์
สิ่งที่พงษ์ศักดิ์พบเห็นมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโต คือ ความไม่แน่นอนทางรายได้ เพราะครอบครัวของเขาต้องเช่าที่นาคนอื่นปลูกข้าว เพื่อเก็บผลผลิตไปขาย (เกี่ยวได้ปีละครั้ง) เป็นรายได้หลัก และเอาไว้ใช้เก็บกินตลอดทั้งปี
ความฝันของในวัยเด็กของพงษ์ศักดิ์ จึงเป็นอาชีพใด สักอาชีพหนึ่งที่สามารถให้ค่าตอบแทนเป็นรูปแบบเงินเดือน
“ตอนเด็กผมไม่เคยชอบมวยไทย พ่อผมต่างหากที่ชอบมวยไทย ความฝันจริงๆ ของผม คือ อยากเป็นเด็กปั๊มน้ำมัน เพราะผมคิดว่าคงได้เงินเยอะดี”
“แต่สุดท้ายก็ได้มาหัดมวยไทยตอนอายุ 7 ขวบ ตามพี่ชาย จากนั้นก็ได้ไปชกมวยตามภูธร ตามงานวัด ได้ค่าตัวครั้งแรก 80 บาท จนอายุ 14 ปี ผมเลิกเรียนหนังสือ เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ กับค่ายมวย พ.ธวัชชัย หวังว่าจะเอาดีทางนี้”
พงษ์ศักดิ์ จากบ้านเกิดที่จังหวัดอุบลฯ เข้ามาอยู่ในการดูแลของ เฮียโอตือ (ประวิทย์ ก้องท้องสมุทร) โปรโมเตอร์ศึกจารุเมือง และเริ่มตระเวนชกมวยตามเวทีขนาดรองรอบนอก อาทิ เวทีมวยรังสิต, เวทีมวยคลองเตย, เวทีมวยสำโรง โดยใช้ชื่อในการชกว่า “ขุนดง พ.ธวัชชัย”
ขุนดง ใช้ชีวิตกินนอนฝึกซ้อมอยู่ในค่ายมวยเหมือนกับนักมวยคนอื่นๆ เขาค่อยๆ พัฒนาฝีมือขึ้นมา จนมีโอกาสได้ขึ้นชกบนสังเวียนมวยเวทีราชดำเนิน สังเวียนมาตรฐานที่เก่าแก่สุดในไทย
ขุนดง ยอมรับว่า ตัวเองไม่ใช่นักชกที่เก่งหรือมีผลงานอะไรนัก เป็นแค่นักมวยเกรดรองๆ เท่านั้น ก่อนที่สุดท้ายเขาจะตัดสินใจเลิกชกมวยไทย เมื่อตอนอายุ 26 ปี
“ค่าตัวมากสุดของผม น่าจะประมาณ 30,000 บาท” ขุนดง เปรียบเทียบค่าตัวของตัวเองที่เป็นเงินบาทเมื่อ 20 ปีก่อน
“ผลงานก็ไม่ได้มีอะไรมาก ช่วงหลังๆ แพ้บ่อยด้วย ยิ่งแพ้ค่าตัวก็ยิ่งลดลง และก็รู้สึกท้อกับการลดน้ำหนัก เพราะสมัยนั้น นักมวยไทยคนหนึ่ง จะชกไฟต์หนึ่ง ต้องลดน้ำหนักกันไม่ต่ำกว่า 8 กิโลฯ ตอนนั้นมีความคิดว่าตัวเองคงเอาดีทางการชกมวยไทยไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจเลิกชก”
“แต่เราไม่มีวุฒิการศึกษาติดตัวเลย มีแค่วุฒิ ป.6 เพราะตอนชกมวยก็ไม่ได้เรียน จะไปหางานอาชีพอื่นทำ ก็คงไม่ทันแล้ว เลยตัดสินใจมาฝึกเรียนจับเป้าเป็นเทรนเนอร์สวยมวยไทยดีกว่า”
ครูขุนดง ทำงานเป็นเทรนเนอร์สอนมวยไทยให้ค่าย พ.ธวัชชัย อีกประมาณ 4 ปี จนในวันหนึ่ง เขาได้รับการติดต่อจากเพื่อนที่รู้จักให้มาทำงานที่ “มาเก๊า” โดยมีค่าตอบแทนให้เดือนละ 25,000 บาท แต่งานที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำนั้น กลับไม่ใช่อาชีพที่เกี่ยวข้องกับ มวยไทย เลยสักนิด
“เขาจ้างให้ผมไปเป็น บอดี้การ์ด ครับ” คำตอบของเขาทำให้เราประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนที่ พงษ์ศักดิ์ จะเล่าต่อว่า “งานของผมคือการอยู่ที่ห้อง รอรับโทรศัพท์ พอถึงเวลาก็ไปเดินอยู่ข้างหลัง คอยติดตามเขา เขาไปบ่อนคาสิโน เราก็ไปยืนคุมเชิง เป็นลูกน้องเขา แต่ว่าไม่เคยมีเหตุการณ์รุนแรงนะ ถ้าจะมีเรื่องกระทบกระทั่ง เขาจะไม่ให้เราออกตัว เจ้านายเขาจะออกตัวเอง”
“มันเป็นงานที่ไม่ได้ยากอะไรนะครับ แต่ว่ามันไม่ค่อยได้ทำอะไร ทำได้อยู่ประมาณ 7 เดือน พอดีพี่ชายคนโตเสียชีวิต ผมจึงกลับมางานศพที่ไทย แล้วขากลับดันไปติดขัดเรื่อง ตม. (ด่านตรวจคนเข้าเมือง) เพราะผมซื้อตั๋วมาแบบเที่ยวเดียว ไม่ใช่ตั๋วไปกลับ ก็เลยกลับมาสอนมวยที่ค่ายเดิม”
แต่หลังจากกลับมาทำงานที่เมืองไทยได้ไม่ถึงปี “อิฮาร่า ยิม” ยิมสอนมวยไทยในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ติดต่อผ่านทางเฮียโอตือ จารุเมือง ให้ช่วยหาครูสอนมวยไทยนมาทำงานที่นี่ และโอกาสนั้นก็ตกมาถึง “ครูขุนดง” ทำให้เขาได้ออกเดินทางไปทำงานต่างประเทศเป็นครั้งที่สอง
สมุดเล่มเดียว
“ผมมาถึงโตเกียวตอนช่วงเดือนมกราคม ทีแรกผมไม่คิดว่าบ้านเมืองเขาจะหนาวขนาดนี้ ก็ใส่เสื้อยืดตราห่านคู่ กางเกงขายาว แจ็กเกตคลุมตัวหนึ่ง พอเดินออกมาเท่านั้นแหละ มันเย็นถึงขั้วหัวใจเลย”
เสียงหัวเราะของหนุ่มใหญ่จากจังหวัดอุบลฯ ดังขึ้นมา หลังจบประโยค เขายังไม่ลืมก้าวแรกที่มาถึงประเทศญี่ปุ่น เพื่อมาทำงานเป็นครูสอนมวยไทย ในห้วงเวลานั้น ขุนดง เล่าว่ามวยไทยเป็นกระแสที่ญี่ปุ่น เพราะมี บัวขาว ป.ประมุข (ชื่อเดิม - ปัจจุบันใช้ชื่อสังกัด บัญชาเมฆ ตามนามสกุลจริง) มาสร้างชื่อในศึก K-1 ทำให้คนท้องถิ่นสนใจมาเรียนมวยไทยมากขึ้นตาม
ขุนดง ได้มาเป็นหนึ่งในทีมงานครูมวยไทย ร่วมกับ ออมสิน ศิษย์กวนอิม, นพเดช 2 ชูวัฒนะ ในยิมย่านไดคังยามะ เขาได้รับค่าตอบแทนเรตเดียวกับตอนทำงานที่มาเก๊า
แม้จะไม่มีอาการโฮมซิก หรือปัญหาในการปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศ อาหารการกิน หรือวัฒนธรรมต่างๆ แต่ปัญหาใหญ่ของการทำงานที่นี่คือ เขาพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้
“ผมพูดอังกฤษไม่ได้ ญี่ปุ่นก็ไม่เป็น ช่วงแรกที่สอนใช้ภาษามืออย่างเดียว คอยจัดท่าทาง จับแขนขาให้เขาออกอาวุธอย่างถูกวิธี เด็กเขาให้ความร่วมมือดีนะ แต่ผมก็พยายามจะเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่น เพื่อสื่อสารกับเขา ก็ใช้วิธีการถาม ถามเด็กนักเรียนว่า คำนี้หมายความว่าอะไร ?”
“พอรู้แล้วว่าคำนี้แปลว่าอะไร ก็จดใส่ลงไปในสมุด เขียนเป็นภาษาคาราโอเกะ สะกดแบบคำเขียนไทยนี่แหละครับ ท่องทุกวัน ฝึกพูดทุกวัน ประมาณ 6 เดือน ผมเริ่มสื่อสารในชีวิตประจำวันได้ ไปไหนมาไหนเองได้ โดยใช้ปากกากับสมุดแค่เล่มเดียว ไม่ได้ไปเรียนโรงเรียนสอนภาษาที่ไหนเลย ก็เป็นสิ่งที่ได้ติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้” ครูมวยชาวไทย กล่าวพร้อมบอกกับผู้เขียนว่า จนถึงปัจจุบันเขาก็ยังอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก แต่ฟังและพูดได้อย่างชัดเจน
อาจเป็นเพราะเขาเคยมีชีวิตที่ยากลำบาก และยากจนในวัยเด็ก จึงทำให้ ขุนดง รู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องปรับตัว เรียนรู้ภาษาใหม่ให้เร็วที่สุด เพื่อความสะดวกในการทำงานต่างบ้านต่างเมือง
เพราะชีวิตที่โตเกียวของ ขุนดง เต็มไปด้วยความเร่งรีบและเหมือนผู้คนทั่วไป เขาต้องใช้เวลาในการเดินทางไปกลับร่วม 2 ชั่วโมง เพื่อไปทำงานที่ไม่เหมือนกับค่ายมวยในไทย โดยที่นี่จะเริ่มสอนมวยกันตั้งแต่เวลา 15.00 - 21.00น. ลากยาวม้วนเดียว 6 ชั่วโมง ส่วนค่ายมวยในไทย จะซ้อมสองเวลาคือช่วงเช้ากับเย็น
“ตอนอยู่ที่ อิฮาร่า ยิม นอกจากสอนนักเรียนมาที่มาเพื่อออกกำลังกาย ผมก็มีโอกาสสอนมวยไทยให้พวกนักมวยอาชีพ ที่ชกในศึก ชินนิฮง (Shinnihon) ที่เป็นการต่อสู้แบบคิกบอกซิง แต่ออกอาวุธได้เหมือนมวยไทย สามารถใช้ศอกได้ (K-1 ใช้ศอกไม่ได้) ที่ไม่เหมือนกับบ้านเราก็คือ เขาตัดสินแบบกติกาคิกบอกซิง นับคะแนนเป็นยก ตามอาวุธที่ออก ใครทำเยอะก็ชนะ ก็มีลูกศิษย์ 3-4 คนที่ได้แชมป์ ชินนิฮง”
ขุนดง ทำงานอยู่ใน อิฮาร่า ยิม ที่กรุงโตเกียว อยู่เป็นระยะเวลากว่า 2 ปี 10 เดือน ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อเขาประสบอุบัติเหตุระหว่างการสอน ในจังหวะที่นักเรียน ต่อยหมัดมาโดนข้างเป้าซ้อมมวยแบบถือ ส่งผลให้แขนของขุนดงหมุน จนเกิดอาการไหล่หลุด เขาจึงบินกลับมารักษาตัวที่ไทย
คำบอกเล่าของ ขุนดง ทำให้เรารู้สึกว่า ไม่ใช่แค่นักมวยอาชีพที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ จากการขึ้นชก แม้ครูสอนมวย ก็มีโอกาสเจ็บตัวได้เหมือนกัน
นี่จึงเป็นอาชีพที่ต้องใช้ทั้งแรงกาย พละกำลัง และความอดทนมากพอสมควร โดยเฉพาะการอดทนที่สอนใครสักคนหนึ่งที่ไม่มีทักษะเลย ให้ไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้
มวยไทยในมุมที่ต่าง
“ครูครับ ผมอยากให้ครูกลับมาสอนมวยไทย” เสียงจากปลายสายที่โทรทางไกลจากญี่ปุ่นมายังประเทศไทย กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ ครูขุนดง ตัดสินใจหอบเสื้อผ้า กลับมาทำงานในแดนอาทิตย์อุทัย เพียงแต่คราวนี้จุดหมายปลายทางไม่ใช่กรุงโตเกียว แต่เป็นเมืองโยโกฮาม่า
“ตอนนั้นไหล่เริ่มหายดีแล้ว ก็ได้รับการติดต่อจาก เอวะ สปอร์ต ยิม ให้มาเป็นเทรนเนอร์สอนมวยไทย เพราะว่าลูกศิษย์ที่เคยมาเรียนกับเราที่ยิมเก่า เขาย้ายมาเรียนที่นี่ ประกอบกับครูมวยคนเก่าเขาติดธุระ ต้องกลับไทย ทำให้ยิมต้องหาครูสอนคนใหม่ ลูกศิษย์คนนั้นก็เลยแนะนำเรา”
“ที่นี่เขาค่อนข้างให้อิสระผมในการสอนมวย อย่างยิมเก่าเขาจะไม่ให้สอนปล้ำ ไล่แขน เราก็ต้องทำตามเจ้านายสั่ง แต่ที่นี่เราสามารถสอนมวยไทยได้อย่างถูกวิธี มันก็เหมือนกับว่าเราได้เป็นตัวแทนของคนที่มาเผยแพร่ศิลปะมวยไทยในเมืองนี้ ก็แฮปปี้ที่ได้มาทำงานที่นี่”
ขุนดง ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ เอวะ สปอร์ต ยิม เมื่อปี 2011 ที่เป็นยิมออกกำลังกาย ขนาดใหญ่สูงถึง 7 ชั้น ภายในสอนทั้ง มวยไทย, มวยสากล, มวยกรง รวมถึง การเต้น โดยลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานบริษัท, เจ้าของกิจการ ไปจนถึงนักเรียนนักศึกษา
การเปลี่ยนที่ทำงานในครั้งนี้ทำให้ ขุนดง ได้รับเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น 2 เท่าเป็น 50,000 บาทต่อเดือน ภายใต้สัญญาทุกๆ 3 ปี
ชีวิตการทำงานในเมืองโยโกฮาม่า แตกต่างกับที่โตเกียวเล็กน้อย ตรงที่เขาไม่ต้องใช้เวลาไป-กลับ 2 ชั่วโมง เพื่อเดินทางไปทำงาน เพราะเขาสามารถเดินเท้ามาทำงานได้ โดยใช้เวลาเพียงแค่ 2 นาทีเท่านั้น และที่สำคัญการมาทำงานที่นี่ตั้งแต่ปี 2011 ยังทำให้เขาได้เห็นอะไรไม่เคยเห็นจากการสอนมวยไทยในบ้านเรา
“เหตุผลที่คนญี่ปุ่นมาเรียนมวยไทย เพราะเขารู้สึกว่า มวยไทยเป็นกีฬาที่เท่ ส่วนบ้านเราถ้าเป็นเมื่อก่อน คนทั่วไปจะรู้สึกว่ามวยเป็นกีฬาที่เอาความเจ็บปวดไปแลกเงิน เป็นอาชีพที่ไม่มีเกียรติ เป็นกีฬาสีเทา มีเรื่องการพนัน ความรุนแรง แต่ผมว่าสมัยนี้ภาพลักษณ์มวยไทยในบ้านเราน่าจะดีขึ้น ดูจากหลายๆ ยิมออกกำลังกาย ก็เริ่มมีการเอามวยไทยเข้ามาสอน”
“อีกอย่างที่ไม่เหมือนบ้านเราก็คือ ความมุ่งมั่นตั้งใจ เวลาเขาเลิกงานมาถึงยิม เราไม่ต้องพูดอะไรเลย เขาจะใส่รองเท้าออกไปวิ่งด้วยตัวเอง กลับมากระโดดเชือกพันมือ เตะเป้าต่อ ถ้าเป็นบ้านเรา หากไม่บอก บางทีเด็กก็ไม่ทำ พอเด็กเขาตั้งใจ ก็ทำให้ครูฝึกอย่างเราอยากสอน”
ครูขุนดง ใช้ความเป็นคนไทยที่มีอัธยาศัยดี สอนสนุก ไม่ซีเรียสเกินไป ติวลูกศิษย์ชาวญี่ปุ่น จนทำให้ชื่อเสียงและคำร่ำลือของยิมที่นี่ ถูกนำไปบอกแบบปากต่อปาก
จากวันแรกที่เขามาสอน มีคนเรียนแค่ 180 คน ปัจจุบัน เอวะ สปอร์ต ยิม คลาสมวยไทย มีนักเรียนมากถึง 400 คน ซึ่งเป็นตัวเลขนี้มานานกว่า 3 ปีแล้ว
ความภาคภูมิใจ
นอกเหนือจากการฝึกสอนให้คนที่มาเรียนมวยไทย เพื่อการออกกำลังกายแล้ว ขุนดง พ.ธวัชชัย ยังทำหน้าที่เทรนเนอร์ให้กับ นักชกญี่ปุ่น ที่ต้องการชกมวยไทยอาชีพอีกด้วย
และหนึ่งในความท้าทายสำหรับตัวเขา คือการทำให้ นักมวยญี่ปุ่น ไปกระชากเข็มขัดเวทีมาตรฐานในไทยให้ได้ ตามที่ลูกศิษย์อย่างที่ นาดากะ โยชิโนริ เคยบอกเล่าความฝันในวัยเยาว์กับเขา
“เมื่อก่อนมาตรฐานนักมวยไทย กับนักมวยไทยคนญี่ปุ่น มันห่างกันมากเลย ผมนึกไม่ออกเลยว่า จะสอนนักมวยญี่ปุ่นให้ไปถึงเข็มขัดแชมป์เวทีมาตรฐานบ้านเราได้อย่างไร เพราะพื้นฐานมันค่อนข้างต่างกัน คนญี่ปุ่นสมัยก่อนเริ่มชกมวยไทยตอนอายุ 17 ปี ส่วนคนไทยเริ่มต้นตั้งแต่เด็ก”
“แต่ยุคหลังคนญี่ปุ่น เริ่มฝึกชกมวยไทยเร็วขึ้น ตั้งแต่ 8-9 ขวบ แต่เรื่องความแกร่งทรหด กระดูกมวย เหลี่ยมเชิงก็ยังเป็นรองคนไทย การสอนของผมในช่วงแรกจึงเน้นไปที่เรื่องทักษะ เพราะคนญี่ปุ่นเรียนรู้พื้นฐานได้ช้ากว่าคนไทย”
“อย่างเช่นเวลาเราสั่งให้เด็กไทยตั้งการ์ด ยืนหลักมวย เขาจะเข้าใจในเวลาไม่นาน แต่คนญี่ปุ่นเขาท่าทางไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ก็ต้องสื่อสารให้เขาเข้าใจ บางทีเวลาสอนไปวันนี้ พรุ่งนี้มาใหม่ เขาก็ลืมแล้ว”
“เพราะว่าสมาธิเขาไม่ได้จดจ่อแค่เรื่องเรียนอย่างเดียว บางคนต้องทำงานประจำด้วย บางคนต้องเรียนหนังสือ ไม่เหมือนนักมวยไทยที่ได้กินนอนอยู่ในค่าย ก็สามารถโฟกัสเรื่องมวยได้เต็มๆ อย่างพื้นฐานมวยไทย ถ้าเป็นเด็กไทย ใช้เวลาไม่น่าเกิน 3 เดือน แต่หากเป็นเด็กญี่ปุ่น อาจต้องใช้เวลา 6-8 เดือน”
ขุนดง มองเห็นช่องว่างระหว่างเด็กไทยกับเด็กญี่ปุ่น ในกีฬามวยไทย แม้เขาจะถ่ายทอดวิชามวยไทยแบบถูกต้องของแท้ให้ไปเท่าไหร่ หรือพาไปตระเวนชกในรายการตามญี่ปุ่นบ่อยแค่ไหน
แต่เขาก็รู้ดีว่า หนทางที่จะทำให้ให้ นักมวยญี่ปุ่น ในการดูแลของเขาเก่งขึ้นทันเด็กไทย คือ การพาเด็กๆ เหล่านี้มาเจอกับของจริงอย่างที่เขาเคยเจอ
“เด็กพวกนี้ใจสู้มาก พวกเขาชกมวยไทยเพราะความชอบ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเงิน เด็กพวกนี้จะมีทัศนคติว่า ถ้านักมวยคนไทยซ้อม 1 เท่า เขาจะต้องซ้อมให้มากกว่า 3 เท่า เพราะเขารู้ว่าการชนะนักมวยคนไทย ในกติกามวยไทย ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขาจึงมุ่งมั่นตั้งใจ”
“ผมพาพวกนักมวยญี่ปุ่นมาชกที่เมืองไทย ตั้งแต่เมื่อ 5-6 ปีก่อน อย่างเช่น นาดากะ, ฮิบิกิ, ซิมง ฯลฯ ซึ่งค่าใช้จ่ายตรงนี้ พวกเขาต้องควักเงินตัวเอง เสียค่าตั๋วเครื่องบิน มาชกที่ไทยทุกเดือน ตามงานวัด ตามเวทีภูธร บางครั้งต้องขอคนจัดพานักมวยไปขึ้นรายการ ไปชกแบบไม่ได้ค่าตัวก็มี แต่ก็ต้องพาไป เพื่อเสริมสร้างกระดูก และทำให้คนรู้จัก”
“จนกระทั่งได้เริ่มพานักมวยมาชกเวทีราชดำเนิน และลุมพินี ก็เริ่มทำให้คนไทยรู้จักนักมวยชุดนี้มากขึ้น โดยเฉพาะ นาดากะ ที่เป็นแชมป์ 2 เส้น เวทีลุมพินี และราชดำเนิน รุ่น 105 ปอนด์”
จากวันแรกจนย่างเข้าปีที่ 9 ในการทำงานที่เมืองโยโกฮาม่า ชายที่ชื่อ ขุนดง พ.ธวัชชัย อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการพานักมวยญี่ปุ่นไปครองเข็มขัด แชมป์โลกมวยไทยจาก สหพันธ์มวยไทยอาชีพโลก (W.P.A.F) ถึง 12 ราย
รวมถึงปลุกปั้น นาดากะ กับ เรียวยะ เอวะสปอร์ตยิม จารึกชื่อตัวเองในฐานะนักมวยญี่ปุ่นที่มาเป็นแชมป์เวทีมวยลุมพินี และราชดำเนิน ได้สำเร็จ
“ผมรู้สึกภูมิใจมากที่สามารถทำในสิ่งที่เหมือนไม่น่าเป็นไปได้ และยากมากให้เกิดขึ้น ผมยังจำได้เลยว่า ตอนนาดากะได้แชมป์ราชดำเนิน น้ำตาผมมันไหลออกมาเอง เออ เราก็ทำได้เหมือนกัน”
“ผมว่าประสบการณ์การทำงานในญี่ปุ่น มันสอนให้ผมเป็นคนที่ขยันขึ้น รู้จักอดทนมากขึ้น บางครั้งอาจเจอสิ่งที่เราไม่พอใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็อาจมีเรื่องมีราว แต่อยู่ที่นี่ผมใจเย็นลง รู้จักเก็บอารมณ์ เก็บความรู้สึก และกฏระเบียบบ้านเมืองเขาทำให้เรามีระเบียบวินัยมากขึ้น”
ฟังๆ ไป จากเด็กที่มีความฝันเพียงแค่อยากเป็น เด็กปั๊มน้ำมัน วันนี้ดูเหมือนว่า เขามีความสุขดีที่ได้ใช้ชีวิตในญี่ปุ่น เพราะสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทั้งหมดได้แล้ว หน้าที่การงานก็ดูราบรื่นดี
เราจึงถามเขาว่า เขาวางแผนที่จะใช้ชีวิตบนแผ่นดินนี้ไปตลอดเลยไหม คำตอบของเขาทำให้เรารู้สึกผิดคาดเล็กน้อย แต่เชื่อเหลือเกินว่า เขาตอบสิ่งนี้จากความรู้สึกข้างในจิตใจ
“ถ้ามันถึงจุดหนึ่งที่เด็กๆ พวกนี้ประสบความสำเร็จมากแล้ว ผมก็อาจกลับไปอยู่บ้านเรา ผมคิดถึงแม่ คิดถึงลูก มาอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับลูก แม่ก็อายุมากแล้วด้วย ทุกวันนี้ทำได้แค่โทรศัพท์คุยกันทุกวัน ถึงญี่ปุ่นบ้านเมืองเขาจะสะอาดน่าอยู่ยังไง แต่ที่ไหนก็สู้ประเทศไทยไม่ได้”
“ถ้าวันนั้นมาถึง ผมจะกลับไทย” ครูสอนมวยไทยวัย 46 ปี กล่าวทิ้งท้าย
อัลบั้มภาพ 17 ภาพ