"Bugatti Chiron Super Sport" : โคตรรถที่มีความเร็วเกือบ 500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

"Bugatti Chiron Super Sport" : โคตรรถที่มีความเร็วเกือบ 500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

"Bugatti Chiron Super Sport" : โคตรรถที่มีความเร็วเกือบ 500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

2 สิงหาคม 2019 คืออีกหนึ่งวันสำคัญที่ประวัติศาสตร์โลกยานยนต์ต้องจารึก เพราะมันคือวันที่ยานพาหนะอย่างรถยนต์สามารถทำความเร็วทะลุกำแพง 300 ไมล์/ชั่วโมง หรือประมาณ 482 กม./ชั่วโมง ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก

 

เหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นที่แทร็กทดสอบ Ehra-Lessien ของบริษัท Volkswagen ที่ประเทศเยอรมนี เมื่อ “แอนดี วอลเลซ” นักแข่งรถรุ่นเก๋าชาวอังกฤษ ผู้เคยคว้ารางวัลชนะเลิศศึก 24 Hours of Le Mans หนึ่งในรายการแข่งรถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมาแล้ว มาพร้อมกับ “Bugatti Chiron” ไฮเปอร์คาร์เรือธงจากค่าย Bugatti ที่หมายมั่นปั้นมือเหลือเกินว่าจะสามารถทำลายกำแพง 300 ไมล์/ชั่วโมง ที่ยังไม่เคยมีใครพิชิตได้สำเร็จ โดยสถิติก่อนหน้านี้ก็เป็นของค่าย Bugatti เช่นเดียวกัน กับความเร็วสูงสุด 268 ไมล์/ชั่วโมง ของรถรุ่น Veyron Super Sport ที่ทำไว้เมื่อปี 2010

การทดสอบความเร็วครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนหมุดหมายสำคัญที่จะเป็นการประกาศศักดาการเป็น “เจ้าความเร็ว” ของ Bugatti ให้โลกได้รับรู้อีกครั้ง และ แอนดี วอลเลซ ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะเมื่อสัญญาณเริ่มการทดสอบดังขึ้น เขาก็ควบอาชาเหล็กคันนี้ออกไปอย่างห้าวหาญ จากนั้นก็ค่อย ๆ เร่งความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ตัวเลขในหน้าปัดเพิ่มจาก 100 เป็น 200 จาก 200 เป็น 300 ก่อนจะหยุดนิ่งที่ 304.77 ไมล์/ชั่วโมง (490.48 กม./ชั่วโมง) ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุด และเป็นสถิติใหม่แห่งโลกยานยนต์

 

“เป็นอีกครั้งที่ Bugatti ได้แสดงให้เห็นถึงความสุดยอด” สตีเฟ่น วิลเคนแมน ประธานบริษัท Bugatti คนปัจจุบันกล่าว

“ด้วยสถิติใหม่ของ Bugatti Chiron ทำให้เราสามารถก้าวไปสู่ดินแดนที่ไม่เคยมีใครไปถึงมาก่อน”

Bugatti Chiron คงจะกลายเป็นไฮเปอร์คาร์ที่มีคนพูดถึงไปอีกนาน วันนี้ Main Stand จึงจะพาไปทำความรู้จักเจ้าของความเร็วระดับสถิติโลกให้ดียิ่งขึ้น และนอกจากนั้น Bugatti ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ พวกเขายังมีไฮเปอร์คาร์รุ่นพิเศษที่แตกแขนงมาจากความสำเร็จของรุ่น Chiron ซึ่งเพิ่งออกจำหน่ายได้ไม่นานนี้เอง...

อันที่จริง Bugatti Chiron เปิดตัวครั้งแรกที่ งานเจนีวามอเตอร์โชว์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ปี 2016 และสร้างความฮือฮาได้ทันที เพราะเจ้าไฮเปอร์คาร์รุ่นนี้มาพร้อมความแรงถึง 1,500 แรงม้า (มากที่สุดในช่วงเวลานั้น แต่ในตอนนี้รถยนต์ที่มีแรงม้ามากที่สุดในโลกคือ Lotus Evija กับ 1,973 แรงม้า ซึ่งมีแผนจะเปิดตัวในปี 2020) ซึ่งมากกว่า Veyron เรือธงรุ่นเดิมถึง 316 แรงม้า

 2

Bugatti Chiron เป็นไฮเปอร์คาร์ที่สานต่อความสำเร็จจาก Veyron เจ้าของดีกรีรถโปรดักชั่นที่เร็วที่สุดในโลก ความพิเศษของมันคือเครื่องยนต์ที่แรงขึ้นกว่าเดิม รวมถึงโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาทั้งคัน

Chiron มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน W16 (พูดให้เห็นภาพง่ายๆ คือการนำเครื่อง V8 สองตัวมาต่อกัน) ความจุ 8.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์จำนวน 4 ลูก ให้กำลังสูงสุด 1,500 แรงม้า (PS) ที่ 6,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 1,600 นิวตัน-เมตรที่ 2,000 - 6,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบคลัทช์คู่ 7 สปีด

ตัวเลขดังกล่าวช่วยให้ Chiron สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ได้ในเวลาไม่ถึง 2.5 วินาที 0-200 กม./ชม. ได้ในเวลาไม่ถึง 6.5 วินาที และ 0-300 กม./ชม. ได้ในเวลาไม่ถึง 13.6 วินาที และหากใจกล้าพอก็จะสามารถขึ้นไปแตะความเร็วสูงสุดได้ถึง 480 กม./ชม. ซึ่งเร็วกว่า Veyron อย่างเทียบไม่ติด

Chiron พัฒนาขนาดตัวถังให้ใหญ่กว่ารุ่น Veyron ในทุกมิติ โดยมีความยาว 82 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 40 มิลลิเมตร สูงขึ้น 53 มิลลิเมตร หนักขึ้นกว่าเดิม 155 กิโลกรัม ส่งผลให้ Chiron มีน้ำหนักรวมอยู่ที่ 1,995 กิโลกรัม

“ประสิทธิภาพสำหรับรถยนต์ของเราหมายถึงการกำจัดความร้อนจากเบรคหน้าและเครื่องยนต์ด้านหลัง ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่เรามีใน Veyron คือวิธีกำจัดอากาศร้อนที่อยู่ภายใน Powerplant และเทอร์โบชาร์จเจอร์ร้อนๆ ด้านล่าง ดังนั้น เราจึงมุ่งเน้นให้  Chiron มีองค์ประกอบการจัดการอุณหภูมิที่ดีกว่าเดิม ทำให้สามารถดึงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ออกมาได้เต็มที่กว่าเดิม” อาชิม แอนชไนด์ (Achim Scheidt) หัวหน้าฝ่ายออกแบบเครื่องยนต์ของ Bugatti อธิบาย

Bugatti Chiron ถูกผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดเพียง 500 คันทั่วโลกเท่านั้น โดยราคาจำหน่ายอยู่ที่ 2.4 ล้านยูโรหรือประมาณ 120 ล้านบาทต่อคัน ... ถึงแม้จะเป็นราคาที่คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจเอื้อม แถมยังต้องวางเงินจองก่อนถึง 200,000 ยูโร แต่มันกลับได้รับความนิยมมหาศาลในหมู่ผู้มีอันจะกิน เพราะทั้ง 500 คัน ถูกจับจองหมดภายในเวลาไม่นาน (เอาเป็นว่าแค่ตอนที่เปิดตัว ก็มียอดจองไปแล้วกว่า 200 คัน) และหนึ่งในเจ้าของคือ “คริสเตียโน่ โรนัลโด้” นักฟุตบอลเจ้าของ 5 รางวัลบัลลงดอร์ชาวโปรตุเกสที่มาพร้อมกับ Bugatti Chiron สีเทาคันโปรด ซึ่งเคยถ่ายลงโซเชียลมีเดีย อวดชาวโลกไปหลายครั้ง

 3

Bugatti Chiron เปิดตัวครั้งแรกในปี 2016 แต่พวกเขาใช้เวลากว่า 3 ปีในการเตรียมพร้อมเพื่อทำลายสถิติโลกในปี 2019 เนื่องจากต้องยอมรับว่า Bugatti Chiron เวอร์ชั่นปกติที่ไม่มีการปรับแต่ง ไม่สามารถทะลุกำแพงความเร็วนี้ได้ ทีมวิศวกรจาก Bugatti ต้องใช้ระยะเวลาร่วม 6 เดือนเพื่อปรับแต่งให้มันกลายเป็นเจ้าความเร็ว

“ความท้าทายที่สุดของงานนี้ไม่ใช่เรื่องการออกแบบ ไม่ใช่เรื่องระบบอากาศพลศาสตร์ ไม่ใช่เครื่องยนต์ ไม่ใช่เรื่องยาง แต่คือการที่จะทำยังไงให้ทุกอย่างเข้ากันได้และสามารถทำงานได้ดี” แฟรงก์ เฮย์ล (Frank Heyl) หนึ่งในหัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Bugatti กล่าว

ผลลัพธ์จากการระดมไอเดีย ทั้งจากทาง Bugatti เอง และพันธมิตรอย่าง Dallara ผู้เชี่ยวชาญด้านตัวถังที่ทำตัวถังรถมาตรฐานสำหรับการแข่งขันรถล้อเปิดรายการต่างๆ ทั่วโลก และ Michelin ส่งผลให้ Bugatti Chiron คันที่ แอนดี วอลเลซ ขับลงสนามทดสอบมีการเปลี่ยนแปลงในตัวรถหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความยาวรถอีก 25 เซนติเมตร จากกันชนหลังที่ยาวขึ้น และเพื่อลดแรงลาก ปีกหลังและระบบ Airbrake ได้ถูกถอดออกไป เปลี่ยนเป็นสปอยเลอร์ชิ้นเล็กๆ รวมถึงที่นั่งผู้โดยสาร ก็ถูกถอดออกไปเช่นกัน แทนที่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์มากมาย เพื่อลดน้ำหนักของตัวรถให้มากที่สุด นอกจากนั้นยังมีรายละเอียดทางเทคนิคอีกมากมาย จนสุดท้ายก็ออกมาเป็น Bugatti Chiron คันพิเศษ ที่สามารถทำความเร็วได้ถึง 304.77 ไมล์/ชั่วโมง

 4

จากความยิ่งใหญ่ของ Bugatti Chiron ที่สามารถทำลายกำแพงความเร็ว 300 ไมล์/ชั่วโมงได้สำเร็จ ได้กลายเป็นที่มาของ Bugatti Chiron Super Sport 300+ ไฮเปอร์คาร์รุ่นพิเศษที่ค่ายรถยนต์จากเมืองน้ำหอมผลิตออกมาเฉลิมฉลองในโอกาสดังกล่าว

Bugatti Chiron Super Sport 300+ เปิดตัวครั้งแรกในงาน แฟรงก์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ 2019 ที่เมือง แฟรงก์เฟิร์ต ประเทศ เยอรมนี เมื่อวันที่ 9 กันยายน ที่ผ่านมา 

Bugatti Chiron รุ่นพิเศษนี้แตกต่างจากรุ่นทั่วไปตรงที่ตัวถัง Longtail ซึ่งจะมีช่วงท้ายที่ยาวกว่า และ แนวหลังคาหลังลู่ลมกว่าเดิม ส่งผลให้การรีดลมให้ดีขึ้นอีก 40% และ ช่วยสร้างแรงกดได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม เมื่อขับจนแตะความเร็วระดับ 420 กม./ชั่วโมง ชิ้นส่วนตัวถังทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ สีดำ Jet Black ตัดด้วยสีส้ม Jet Orange ส่วนล้อทำจากแมกนีเซียมน้ำหนักเบา สีเทาดำ Nocturne

 5

ภายในห้องโดยสาร จะปรากฏสัญลักษณ์ Super Sport 300+ ซึ่งฉายผ่านระบบไฟ LED ยิงลงพื้น ตกแต่งรอบคันด้วยคาร์บอนสีดำ, หนัง และ Alcantara สีดำ ตัดด้วยสีส้ม Jet Orange ให้ดูกลมกลืนไปกับภายนอก ทั้งบริเวณพนักพิงศีรษะ, ที่พักเข่าคอลโซลกลาง และการเดินด้ายตะเข็บคู่ ส่วนกระจกมองหลังและคอลโซลกลางตกแต่งด้วยสีดำ Beluga Black

ขุมพลังของ Bugatti Chiron Super Sport 300+ ระบุแค่ว่าเป็น เครื่องยนต์เบนซิน แบบ W16 ขนาด 8.0 ลิตร เทอร์โบ 4 ลูก ตั้งชื่อว่า “Thor” กำลังสูงสุด 1,600 แรงม้า ซึ่งเพิ่มจากเดิมที่มีอยู่ 1,500 แรงม้า มีการปรับปรุงท่อไอเสียใหม่ โดยให้ยิงออก 2 ฝั่งด้วยปลายท่อทรงกลม ติดตั้งในแนวตั้ง รับกับดิฟฟิวเซอร์หลังขนาดใหญ่

Bugatti Chiron Super Sport 300+ มาพร้อมราคา 3.5 ล้านยูโร ราคาสูงกว่ารุ่นเดิม 1.1 ล้านยูโร  แต่จำกัดจำนวนการผลิตเพียง 30 คันทั่วโลก โดยจะมีการส่งมอบให้กับลูกค้าที่จับจองในช่วงกลางปี 2021 จึงทำให้ในตอนนี้ยังไม่มีการทดสอบอย่างเป็นทางการว่าความเร็วสูงสุดของ Bugatti Chiron Super Sport 300+ จะอยู่ที่เท่าไหร่ จะมากกว่า 304.77 ไมล์/ชั่วโมงที่รุ่นธรรมดาทำไว้หรือไม่ แต่ด้วยสมรรถนะที่ปรับปรุงให้ดีขึ้นแทบทุกด้าน คงจะเชื่อขนมกินได้เลยว่าสถิติเดิมที่ทำเอาไว้คงถูกทำลายในอีกไม่ช้าแน่นอน

การเปิดตัว Bugatti Chiron Super Sport 300+ เป็นอีกครั้งที่ตอกย้ำว่าค่ายรถยนต์ Bugatti คือจ้าวแห่งความเร็วตัวจริง อย่างไรก็ตามนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่พวกเขาจะสร้างยานยนต์ที่มุ่งเน้นเรื่องความเร็วเป็นหลัก

 6

“เราได้แสดงให้เห็นหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าพวกเราสามารถสร้างรถยนต์ที่เร็วที่สุดในโลกได้ ดังนั้นครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่พวกเราจะทำแบบนี้ ในอนาคตเราอยากจะมุ่งเน้นในด้านอื่น ๆ มากกว่า”

“ไฮเปอร์คาร์ของเรานั้นมีความสามารถมากกว่าแค่เรื่องความเร็ว พวกเขามีความพิเศษสุดหรู ความงามที่ไม่มีใครเทียบ และงานฝีมือยานยนต์ระดับสูง Bugatti เป็นไฮเปอร์คาร์ที่รวมเอาคุณสมบัติเหล่านี้ไว้ในรถคันเดียว เราจะทุ่มเทมากขึ้นในเรื่องนี้ ในอนาคตจะรับรองว่าจะยังมีโครงการที่น่าตื่นเต้นต่อไป” สตีเฟ่น วิลเคนแมน กล่าวทิ้งท้ายถึงวิสัยทัศน์ของ Bugatti

อัลบั้มภาพ 5 ภาพ

อัลบั้มภาพ 5 ภาพ ของ "Bugatti Chiron Super Sport" : โคตรรถที่มีความเร็วเกือบ 500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook