ตกต่ำแค่ไหนก็ไม่ยอมจม : เบื้องหลังน้ำตาแห่งชัยชนะของ "เดวิด มาร์ติน"

ตกต่ำแค่ไหนก็ไม่ยอมจม : เบื้องหลังน้ำตาแห่งชัยชนะของ "เดวิด มาร์ติน"

ตกต่ำแค่ไหนก็ไม่ยอมจม : เบื้องหลังน้ำตาแห่งชัยชนะของ "เดวิด มาร์ติน"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ 14 ของฤดูกาล ระหว่าง เชลซี และ เวสต์แฮม เป็นไปอย่างน่าอึดอัดสำหรับแฟนบอลของสิงห์บลูส์เจ้าบ้าน เมื่อทีมของพวกเขาโดนนำไปก่อนคารัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ และต้องพยายามอย่างมากในการยิงประตูเพื่อตีเสมอ

เมสัน เมาท์น, คริสเตียน พูลิซิช และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ นักเตะของทีมเชลซี ที่มีดีกรีระดับทีมชาติแถวหน้าของโลก พยายามยิงแล้วยิงเล่า แต่ยิงยังไงก็ไม่ผ่านมือของ เดวิด มาร์ติน นายทวารมือ 3 ของเวสต์แฮม ซึ่งถ้าจะให้อธิบายชื่อเสียงของเขา คงไม่พ้นการเป็นผู้รักษาประตูที่โนเนมที่สุดคนหนึ่งในพรีเมียร์ลีก 

เกมจบลงด้วยชัยชนะของ เวสต์แฮม ... นั่นไม่แปลกอะไร พรีเมียร์ลีกคือลีกที่ผลการแข่งขันพลิกได้ทุกหน้า ทว่าเรื่องที่ทำให้ชัยชนะของขุนค้อนถูกขยายความต่อ กลับเป็นเรื่องราวชีวิตของ เดวิด มาร์ติน ในวัย 33 ปีที่กว่าจะได้ลงมาเหยียบสนามในฐานะตัวจริง และลงเล่นในเกมนี้เขาต้องสู้แค่ไหน

นี่คือเรื่องราวของชายผู้หลั่งน้ำตาให้กับเรื่องธรรมดาของเกมกีฬาอย่างชัยชนะ ... มาร์ติน ยอดนักสู้ผ่านอะไรมาบ้าง ติดตามได้ที่นี่

เด็กที่ถูกจดจำในฐานะลูกชายตำนาน 

ปี 1974 มีเด็กน้อยวัย 15 ปีหนึ่งที่ชื่อว่า แอลวิน มาร์ติน ก้าวเข้าสู่ระบบเยาวชนของสโมสร เวสต์แฮม ก่อนช่วงเวลาที่เหลือหลังจากนั้น 21 ปี เขาจะถูกกล่าวถึงในฐานะตำนาน 


Photo : www.premierleague.com

แอลวิน เป็นนักเตะตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟสไตล์ฮาร์ดแมนแบบฉบับของแข้งอังกฤษอย่างแท้จริง เขาเป็นที่รักของแฟนบอล ลงเล่นให้ทีมมากกว่า 400 เกม และมีเกมเทสติโมเนียลแมตช์ถึง 2 ครั้ง นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะได้พบเห็นง่ายๆ กันในโลกฟุตบอลปัจจุบัน 

เกมสุดท้ายที่เขาลงเล่นให้ เวสต์แฮม เป็นเกมที่แฟนขุนค้อนทุกคนต้องจดจำได้เป็นอย่างดี มันเกิดขึ้นในนัดส่งท้ายฤดูกาลพรีเมียร์ลีก ซีซั่น 1995-96 ที่พบกับ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ตอนนั้นเขาอายุ 37 ปี และถูก แฮร์รี่ เรดแน็ปป์ เปลี่ยนตัวลงมาเพื่อรับเสียงปรบมือจากแฟนบอลที่กึกก้องไปทั่วสนาม ไม่ใช่แค่เพียงสั้นๆ แต่นานเป็นนาทีๆ ที่แฟนขุนค้อนทำการ "สแตนดิ้งโอเวชั่น" ให้กับยอดกองหลังที่พวกเขารักที่สุด ... และนี่คือเรื่องราวของ มาร์ติน ผู้พ่อ

ย้อนกลับไปในปี 1986 ซึ่งเป็นปีที่ดีที่สุดในฐานะนักเตะของ แอลวิน มาร์ติน นั่นเพราะกองหลังอย่างเขาสามารถทำแฮตทริกให้กับ เวสต์แฮม ในเกมถล่มนิวคาสเซิล 8-1 นอกจากนี้ยังเป็นปีที่ เวสต์แฮม ทำอันดับได้ดีที่สุดในการเล่นในระดับดิวิชั่น 1 (พรีเมียร์ลีกปัจจุบัน) ด้วยการจบอันดับที่ 3 และแต้มห่างจาก ลิเวอร์พูล ที่เป็นแชมป์เพียง 4 คะแนนเท่านั้นเอง ไม่เพียงเท่านั้น เขายังติดทีมชาติอังกฤษลุยศึกฟุตบอลโลกที่เม็กซิโกอีกด้วย


Photo : www.whufc.com

อย่างไรก็ตามเรื่องที่น่ายินดีที่สุดในชีวิตเขาไม่ใช่การยิงแฮตทริก, พาทีมจบท็อป 3 หรือติดธงสิงโตคำราม ทว่าในปีเดียวกันนั้น ภรรยาของเขาได้ให้กำเนิดลูกชายคนแรก และตั้งชื่อว่า เดวิด มาร์ติน พระเอกของเรื่องนี้

แน่นอนว่าทันทีที่ เดวิด ลืมตาดูโลก เขาก็กลายเป็นแฟนบอล เวสต์แฮม แล้ว เพราะว่าวัฒนธรรมของคนอังกฤษนั้น แทบทุกคนโตมากับทีมฟุตบอลท้องถิ่น และยิ่งมีพ่อเป็นนักเตะของ เวสต์แฮม แบบนี้ เดวิด ก็ซึมซับและรับอิทธิพล จนเรียกได้ว่าเขากับ เวสต์แฮม นั้นโตมาด้วยกันก็คงไม่ผิดนัก 

มันเป็นเรื่องที่เราสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ การมีคุณพ่อเป็นนักเตะขวัญใจแฟนบอลทั้งเมืองอย่าง เดวิด นั้น ไม่ว่าเขาจะเติบโตมาเป็นนักฟุตบอลที่เก่งหรือไม่ก็ตาม เขาจะต้องเป็นที่รักของแฟนบอลเวสต์แฮมแน่นอน แต่ในทางกลับกัน ทุกคนรู้ดีว่าการเกิดมาเป็นลูกชายของผู้ยิ่งใหญ่นั้น มีความกดดันขนาดไหน 

ทุกคนหวังจะให้ เดวิด เติบโตมาเป็นเหมือนคุณพ่อ เล่นฟุตบอลให้เก่ง เป็นกำลังหลักและพาทีมประสบความสำเร็จ นั่นคือสิ่งที่ เดวิด ไม่อาจเลี่ยงได้ ... แต่นั่นมันก็เแค่เรื่องของการคาดเดา และมันค่อนข้างน่าผิดหวังเมื่อเอาเข้าจริงแล้ว เดวิด มาร์ติน ไม่ใช่นักเตะดาวรุ่งที่ฉายแสงอะไรเมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาได้อยู่กับทีมอคาเดมีของ เวสต์แฮม แค่ปีเดียว ก็ต้องออกไปอยู่กับ สเปอร์ส แม้ว่าจะเป็นทีมที่ใหญ่ขึ้นแต่ปลายทางก็ไม่ต่างกันนัก นั่นคือการหาโอกาสสอดแทรกขึ้นชุดใหญ่ไม่ได้เลย

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องยอมรับว่าสำหรับแฟนๆ ของเวสต์แฮมแล้ว พวกเขาน่าจะจดจำ เดวิด มาร์ติน ในฐานะลูกชายของ แอลวิน มาร์ติน มากกว่าที่จะรู้จักและชื่นชมในฝีมือของเขาจริงๆ  

ตำนานบทใหม่ของตระกูล มาร์ติน 

ปีเดียวที่ สเปอร์ส ไม่ต่างกับ 1 ปีที่เวสต์แฮม เดวิด มาร์ติน ไม่ได้รับการต่อสัญญากับทีม นั่นจึงทำให้เขาไปตั้งหลักใหม่กับ วิมเบิลดัน (เปลี่ยนชื่อเป็น เอ็มเค ดอนส์ ในภายหลัง) โดยการลงมาเล่นในลีกรองและขนาดทีมที่เล็กลง มาร์ติน ก็ได้ลงสนามมากขึ้น จนทำให้เขาได้กลับมาอยู่กับทีมระดับพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง โดยคราวนี้เป็น ลิเวอร์พูล ที่เซ็นเข้าสังกัดในปี 2006 ซึ่งก็เป็นหนังม้วนเก่า เมื่อขึ้นมาเล่นลีกใหญ่ ทีมใหญ่ เขายังถือว่าเป็นรองอีกเยอะ 


Photo : picclick.co.uk

เดวิด ใช้เวลาถึง 4 ปีที่ ลิเวอร์พูล ซึ่งถือว่าเยอะจนน่าเซอร์ไพรส์ และเชื่อว่าแฟนของหงส์แดงเองอาจจะยังไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ เพราะตลอดเวลา 4 ปี เขาโดนปล่อยยืมตัวไปถึง 5 สโมสร และโอกาสที่ดีที่สุดที่ ลิเวอร์พูล มอบให้เขาได้คือการมีชื่อเป็นตัวสำรองในเกมลีกคัพเมื่อปี 2006 ซึ่ง ณ ตอนนั้น ชาร์ลส์ อีตองเฌ่ นายประตูสำรองของลิเวอร์พูลบาดเจ็บพอดี ทว่าเขาก็ไม่เคยมีโอกาสได้ลงสนาม ... สถิติของเขากับทีมหงส์แดงนั้น ไม่ได้ลงสนามกับทีมชุดใหญ่เลยแม้แต่เกมเดียว

เมื่ออยู่ไปก็ไม่ได้อะไรแถมอายุก็ยังมากขึ้นเรื่อยๆ เดวิด ตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่ที่ของเขา เขาจะต้องหาที่ของตัวเองที่ถูกแฟนบอลจดจำให้ได้สักครั้งในชีวิต และเขารู้ดีว่า เอ็มเค ดอนส์ ทีมเก่าที่เขามีช่วงเวลาที่ดีที่สุดในอาชีพ สามารถมอบมันให้กับเขาได้ 

เอ็มเค ดอนส์ ในปี 2010 เป็นทีมที่เล่นอยู่ในระดับลีกวัน แน่นอนว่ามันเป็นการลดดีกรีลงมาถึง 2 ขั้นจากจุดที่เขาเคยอยู่ ทว่าที่นี่มีหลายสิ่งที่ไม่มีที่ไหนมอบให้เขาได้นั่นคือ "การเป็นที่จดจำ" ของแฟนบอล แฟนๆ ของ เดอะ ดอนส์ รักเขาที่เขาเป็น เดวิด มาร์ติน ไม่ใช่ลูกชายของ แอลวิน มาร์ติน อีกต่อไป 

เดวิด เข้ามาและยึดมือ 1 ของทีมได้ทันที ปีแรกเขาลงเล่นไป 51 นัด และจับจองตำแหน่งดังกล่าวเรื่อยมา แม้จะไม่โด่งดังเท่า แต่ เดวิด มีสิ่งหนึ่งที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อของเขาโดยตรงนั่นคือคาแร็คเตอร์แบบ "ลีดเดอร์" หรือมีความเป็นผู้นำในตัวสูงมาก แม้ทีมจะล้มลุกคลุกคลาน สวิงขึ้นลงเป็นลูกโยโย่ บางปีมีลุ้นเลื่อนชั้นไปเล่นแชมเปี้ยนชิพ บางปีเกือบตกชั้นมาเล่นลีกทู แต่ เดวิด มาร์ติน ไม่เคยลืมหน้าที่ของตัวเองและยังปลุกเร้าเพื่อนร่วมทีมเสมอ นั่นคือสิ่งที่แฟนของ ดอนส์ เห็นและรักในตัวของเขา


Photo : www.bbc.com

ในฤดูกาล 2016-17 ดอนส์ ผลงานแย่มาก มีลุ้นตกชั้นไปเล่นลีกทู อันดับจมอยู่อันดับ 16 จาก 24 ทีม แต่สิ่งที่ เดวิด บอกกับเพื่อนๆของเขาคือ "อย่าไปมองข้างล่าง มองข้างบนดีกว่า" เพราะในเวลาเดียวกันพวกเขาตามหลังโซนเพลย์ออฟอยู่ 13 คะแนน สำหรับ 2 เดือนที่เหลือก่อนปิดฤดูกาล

"ผมหวังจะให้ตอนจบของปีนี้เป็นแอนตี้ไคลแม็กซ์ มันเป็นเรื่องยากในการจัดการเรื่องสภาพจิตใจเมื่อคุณมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่คุณคือนักฟุตบอลอาชีพ แล้วคุณจะต้องพบเจอกับมันและต้องผ่านมันไปให้ได้"

"ผมอยู่ที่นี่มานาน ผมเคยต่อสู้กับทีมเพื่อชิงตั๋วสู่แชมเปี้ยนชิพมาแล้ว ผมจะบอกอีกครั้งว่า เอ็มเค ดอนส์ คือสโมสรที่สามารถอยู่ในลีกนั้น (แชมเปี้ยนชิพ) ได้ แต่มันจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับเด็กๆ ของเราทุกคน" 

"ผมรู้ว่าเราจะเจอเรื่องยากๆ ให้แก้ไขในทุกสัปดาห์หลังจากนี้ ผมอยากเล่นในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ และอยากจะกลับไปที่นั่นอีกครั้ง แม้ปลายทางมันจะทำให้ผมต้องเจ็บปวดและผิดหวังก็ตาม" นี่คือสิ่งที่เขาบอกเล่าผ่านเว็บไซต์สโมสร

หลังจากที่เขาสัมภาษณ์ครั้งนี้ ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกันหรือไม่ แต่สุดท้าย "เดอะ ดอนส์" กลายเป็นทีมที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาแพ้ไป 5 เกมจาก 13 นัด โดย 2 ใน 3 เกมที่แพ้นั้นเป็นการแพ้ให้กับ เชฟฯ ยูไนเต็ด และ มิลล์วอลล์ 2 ทีมที่ได้เลื่อนชั้นในภายหลัง นอกนั้นหากได้ลงเล่นในบ้านแล้ว ดอนส์ ไม่แพ้ใครอีกเลยและเก็บแต้มเป็นกอบเป็นกำ จนจบในอันดับที่ 12 ของฤดูกาล  

แม้จะพลาดหวังในการไปเตะเพลย์ออฟเลื่อนชั้น แต่ความจริงคือทีมของเขาเกิดโมเมนตั้มไปในทิศทางที่ดีขึ้น ... นั่นคือสิ่งที่ปฎิเสธไม่ได้ และเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกทีมจึงควรมีนักเตะประเภทนี้ไว้กับทีม 


Photo : www.theleaguepaper.com

หลังจากจบซีซั่น 2016-17 เดวิด มาร์ติน แม้จะผิดหวังในการเลื่อนชั้นพร้อมกับ ดอนส์ แต่ มาร์ติน ก็สมหวังในการกลับไปเล่นเดอะ แชมเปี้ยนชิพ กับ มิลล์วอลล์ ที่เข้ามาดึงตัวเขาหลังจากสัญญาหมดลง

"เดวิด มาร์ติน คือไฮไลต์สำคัญของ เอ็มเค ดอนส์ ในตลอดช่วงเวลาที่เขาอยู่กับเรา เขาจะเป็นตำนานที่อยู่ในความทรงจำของแฟนๆ ตลอดไป จากนี้ขอให้เขาโชคดีและเจอกับสิ่งที่ยอดเยี่ยมรออยู่ในอนาคต" พีท วิงเคิลแมน ประธานสโมสรของ เอ็มเค ดอนส์ เป็นตัวแทนของแฟนๆ กล่าวลา เดวิด มาร์ติน ด้วยตัวเอง

ไม่ต้องเปรียบเทียบกับผู้เป็นพ่อให้เสียเวลาสำหรับสิ่งที่ เดวิด มาร์ติน ทำกับ เอ็มเค ดอนส์ เพราะปฏิกิริยาจากแฟนๆ และประธานสโมสรได้บอกทุกอย่างแล้วว่า "ที่นี่คือที่ของเขา"

การเดินทางที่ยังไม่จบ 

เดวิด มาร์ติน ย้ายไปเล่นให้กับ มิลล์วอลล์ อยู่ 2 ปีในซีซั่น 2017-18 และ 2018-19 เขาได้โอกาสลงเล่นไม่มากนักและหมดสัญญากับทีมไปโดยไม่ได้รับข้อเสนอฉบับใหม่ ในวัย 33 ปี จริงๆ แล้วเขาสามารถย้อนมองสิ่งที่ตัวเองทำและภูมิใจกับมันได้ 


Photo : www.londonnewsonline.co.uk

การเป็น "คัลท์ฮีโร่" หรือตำนานของทีมเล็กๆ สักทีมหนึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าพอใจแล้วสำหรับนักเตะบางคน แต่สำหรับ เดวิด มาร์ติน มันไม่ใช่ ... เวสต์แฮม คือสโมสรที่ยื่นสัญญาระยะ 12 เดือนให้กับเขาและเขาก็คว้ามันไว้ 

ความจริงมันควรจะเป็นการย้ายทีมที่แฟนๆ ของ เวสต์แฮม ชอบใจ พวกเขาได้ลูกชายของตำนานและนักเตะที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของทีมกลับมาช่วยไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือความเดือดในโลกโซเชี่ยล ที่รุมโจมตีวิสัยทัศน์ของสโมสร ในการดึงตัวผู้รักษาประตูวัย 33 ปี เข้ามาสู่ทีม ทั้งที่ๆ ก่อนหน้านั้น 2 สัปดาห์ เวสต์แฮม เพิ่งได้ โรแบร์โต้ นายด่านชาวสเปนมาเป็นมือ 2 ของ ลูคัส ฟาเบียนสกี้ ที่เป็นมือ 1 แล้ว 

"ซื้อประตู 2 คนในตลาดซื้อขายเดียว ... เป็นการซื้อตัวที่ห่วยชะมัด"

"นี่เรามาถึงขั้นที่ซื้อผู้รักษาประตูอายุ 33 ปีแล้วเหรอ ... ผมคงต้องไปใช้บริการเว็บไซต์ สับสน.คอม (confused.com - เว็บไซต์เทียบราคาประกันภัยรถยนต์ของอังกฤษ) หน่อยแล้ว"

"แล้วเราจะไปเซ็นสัญญาโรแบร์โต้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำไม ... แบบนี้ให้โอกาสเด็กๆ ไม่ดีกว่า ห่วยชิบ" 

นี่คือตัวอย่างคอมเมนต์ที่เกิดขึ้นจริงในบัญชีทวิตเตอร์ของสโมสรที่ประกาศคว้าตัว เดวิด มาร์ติน มาร่วมทีม

ทุกคนคิดว่ามือ 3 ควรจะเป็นโอกาสของดาวรุ่งจากทีมเยาวชนที่จะกลายเป็นอนาคต และที่สำคัญอีกข้อคือ มิลล์วอลล์ ทีมเก่าของ เดวิด คือทีมไม้เบื่อไม้เมาที่เป็นคู่กัดของ เวสต์แฮม โดยตรง เรียกได้ว่านี่คือดีลที่ทำให้ เดวิด มาร์ติน ต้องพิสูจน์ตัวเองเป็นอย่างมาก เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าเขาไม่ได้มาอยู่ที่นี่ในฐานะเด็กฝากของพ่อที่เป็นตำนานของสโมสร หรืออะไรทำนองนั้น


Photo : www.whufc.com

"การเซ็นสัญญากับเวสต์แฮมคือความฝันของผมและทุกคนในครอบครัว ผมเกาะขอบสนามดูเวสต์แฮมมาตั้งแต่ยังเด็ก ผมอยู่บนสแตนด์ของ โบลีน กราวด์ (สนามเก่าของเวสต์แฮม) ผมรักที่จะเห็นพ่อของผมลงสนาม" 

"ตอนนี้ผมผ่านเกมมามากมายตลอดชีวิตค้าแข้ง หลังจากนี้ผมจะตั้งใจซ้อมทุกๆ วันด้วยทัศนคติที่ดี และผมพร้อมจะแย่งตำแหน่งกับทั้ง ลูคัส และ โรแบร์โต้ ด้วย" เขายืนยันอีกครั้งว่าหนนี้ไม่ได้มาเล่นๆ 

 

16 ปีที่รอคอย 

พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019-20 เริ่มขึ้น และทุกคนรู้ดีว่าเมื่อผ่านไป 4 เดือนแรก เวสต์แฮม นั้นมีผลงานที่เลวร้ายแค่ไหน พวกเขาแพ้ติดๆ กันมาหลายเกมจนกุนซือ เปเยกรินี่ ต้องกลายเป็นแคนดิเดตระดับท็อป 7 ของโค้ชที่จะโดนไล่ออกเลยทีเดียว


Photo : www.101greatgoals.com

ชื่อของ ราฟา เบนิเตซ, เอ็ดดี้ ฮาว, ฌอน ไดซ์ และ เดวิด มอยส์ ปรากฎในฐานะตัวเต็งกุนซือคนใหม่ และ เปเยกรินี่ เองไม่มีทางเลือกมากนัก โดยเฉพาะในเกมวีกที่ 14 ที่จะไปเยือน เชลซี ทีมอันดับ 4 ของตาราง คู่ปรับร่วมกรุงลอนดอน ที่เล่นในบ้านได้ดุดันที่สุดทีมหนึ่ง

มือ 1 อย่าง ฟาเบียนสกี้ เจ็บยาวไปตั้งแต่เดือนตุลาคม ขณะที่มือ 2 อย่าง โรแบร์โต้ ที่ได้ลงเล่นแทนก็กลายเป็นผู้รักษาประตูที่มีสถิติเซฟแย่ที่สุดในพรีเมียร์ลีก เมื่อนั้น เดวิด มาร์ติน ก็ได้รับข่าวดีในเช้าวันเสาร์ เมื่อ เปเยกรินี่ บอกกับเขาว่าในเกมที่ เดอะ บริดจ์ เขาจะได้ลงเล่นเป็นตัวจริง ... 16 ปีที่รอคอย กับการลงสนามเป็นเกมแรกในพรีเมียร์ลีกมาถึงจนได้

"ผมตั้งรับไม่ทันเลย ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ผมอายุ 33 แล้วนะ ลงเล่นเกมระดับอาชีพมาก็เยอะ แต่ผมไม่ทันได้เตรียมตัวสำหรับสิ่งนี้เลย" เดวิด มาร์ติน เปิดใจหลังทราบข่าวที่รอคอย

"ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนจุกๆ ขึ้นมาเลยในตอนนั้น ผมนี่กินข้าวเช้าแทบไม่ลงจน ไอ้เครส (แอร่อน เครสเวลล์ แบ็คซ้ายของ เวสต์แฮม) มันขำท้องแข็ง เพราะผมตื่นเต้นจนกินข้าวไม่หมดจาน"  

ในความจริงสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เดวิด มาร์ติน เซฟอุตลุดราวกับเป็นเกมนัดชิงแชมป์ฟุตบอลถ้วยที่ต้องทุ่มเทสุดตัวในเกมที่ เดอะ บริดจ์ ผู้เล่นเกมรุกของ เชลซี ไม่มีใครที่ไม่ทดสอบความเหนียวหนึบของเขา และสุดท้ายตอนจบก็มาถึง เวสต์แฮม เอาชนะ เชลซี ได้ 1-0 และ เดวิด มาร์ติน ประเดิมพรีเมียร์ลีกเกมแรกในชีวิตด้วยการเก็บคลีนชีตและพาทีมเก็บ 3 แต้มสำคัญ

ภาษากายของเขาบอกให้ทุกคนที่อยู่ในสนามวันนั้นรู้ว่าเกมนี้มีความหมายกับเขาขนาดไหน เดวิด ร้องไห้ทันทีที่เสียงนกหวีดยาวดังขึ้น คนที่เข้ามาหาเขาเป็นคนแรกๆ คือคนๆ เดียวกับที่ขำเขาในตอนที่กินข้าวไม่หมด เครสเวลล์ เข้ามากอดและจากนั้นผู้เล่นเวสต์แฮมก็รุมแสดงความยินดีกับ เดวิด มาร์ติน ... นอกจากความดีใจแล้วสิ่งที่ทุกคนเห็นจากเขาคือ "น้ำตาของผู้ชนะ" และน้ำตานี้มีที่มา


Photo : metro.co.uk

"แค่ผมหันไปสบตาพ่อ เราสองคนพ่อลูกก็ร้องไห้ออกมาพร้อมๆ กัน ผมเดินขึ้นไปหาพ่อและแทบไม่ได้คุยอะไรกันมากมายนัก พ่อของผมเล่นที่นี่มา 21 ปี ได้อยู่ในสนามในเกมแรกของผมและผมสามารถเก็บคลีนชีทได้ ไม่มีอะไรจะยอดเยี่ยมมากกว่านี้แล้ว" เดวิด มาร์ติน กล่าว และหลังจากนั้นทุกคนก็พูดถึงแต่เรื่องของเขา รวมถึง เปเยกรินี่ ที่ให้โอกาส เดวิด ลงสนามด้วย

"พวกเราทุกคนรู้กันว่าครอบครัวมาร์ตินมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับสโมสรนแห่งนี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับการลงเล่นพรีเมียร์ลีกครั้งแรก แต่ผมมั่นใจนะว่าก่อนเกมจะเริ่ม ที่ผมได้บอกว่าเขาจะได้รับโอกาส เดวิด ได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ก่อนลงสนามไม่นานเขาสงบและเงียบขรึม จนกระทั่งเขาแสดงสิ่งเดียวกันออกมาใน 95 นาทีแห่งชัยชนะนี้" เปเยกรินี่ กล่าว


Photo : dailysunpost.com

เรื่องราวของนักสู้วัย 33 ปี ที่ผ่านชีวิตค้าแข้งที่ยากลำบาก ตั้งแต่เกิดมาเป็นลูกตำนานไปจนถึงนายทวารที่แฟนๆ เวสต์แฮมเคยต่อต้านในวันที่เซ็นสัญญา กลายเป็นเรื่องที่พูดถึงทั่วโลกโซเชี่ยลทันทีที่เกมนั้นจบและปรากฎภาพของเขาหลั่งน้ำตาออกมา ... เรื่องนี้แม้แต่ แอลวิน มาร์ติน ผู้เป็นพ่อ ที่ไม่เคยอัพเดททวิตเตอร์ตลอดระยะเวลา 2 ปี ก็ยังอดที่จะบอกความรู้สึกที่เห็นลูกชายทำสำเร็จไม่ไหว

"ผมไม่ได้เล่นทวิตเตอร์มาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว และไม่เคยคิดว่าจะต้องกลับมาใช้มันอีก แต่วันนี้ผมอยากจะขอขอบคุณครอบครัวเวสต์แฮมทุกๆ คน โดยเฉพาะทุกคนที่มาดูเกมอยู่ในเดอะ บริดจ์ เมื่อวานนี้ มันสุดยอดมาก แต่ผมอยากให้ทุกคนชื่นชมผู้เล่นอีก 10 คนของเราด้วย" แอลวิน มาโพสต์ไว้บนทวิตเตอร์เพียงเท่านี้

ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเร็วหรือช้าแค่ไหนมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป สุดท้ายแล้ว เดวิด มาร์ติน ก็ทำในสิ่งที่ตัวเองฝันมาตั้งแต่เด็กได้สำเร็จ แม้จะเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมากหากเทียบกับนักฟุตบอลอาชีพคนอื่นๆ และนี่ก็เป็นแค่เกมแรกเท่านั้น แต่เขาก็สามารถภูมิใจกับตัวเองได้ว่า การเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ได้ตอบแทนเขาอย่างที่เขาสมควรจะได้มัน


Photo : internetshots.com

จากนี้หนทางของ เดวิด มาร์ติน ยังมีให้ลุ้นกันต่อ เขาเริ่มต้นด้วยการเป็นฮีโร่ แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าเรื่องของเขาจะถูกเล่าอย่างยิ่งใหญ่ตลอดไป สิ่งที่เขาต้องทำคือการถ่อมตัวและทำงานหนักเหมือนกับทุกๆ ช่วงชีวิตที่เขาทำมาเสมอ และเรื่องนี้ เปเยกรินี่ ได้เตือนเขาไว้แล้ว

"เมื่อคุณชนะคุณจะเป็นอัจฉริยะ แต่ถ้าคุณแพ้คุณจะกลายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ในสายตาแฟนบอล" เปเยกรินี่ กล่าวทิ้งไว้ราวกับเป็นปริศนาธรรม 

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ ของ ตกต่ำแค่ไหนก็ไม่ยอมจม : เบื้องหลังน้ำตาแห่งชัยชนะของ "เดวิด มาร์ติน"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook