เจาะชีวิตตำนานลูกหนัง "เยือร์เกน คลินส์มันน์"
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
    //s.isanook.com/sp/0/ud/207/1039631/t(1).jpgเจาะชีวิตตำนานลูกหนัง "เยือร์เกน คลินส์มันน์"

    เจาะชีวิตตำนานลูกหนัง "เยือร์เกน คลินส์มันน์"

    2019-12-07T18:42:00+07:00
    แชร์เรื่องนี้

    เยือร์เกน คลินส์มันน์ คือตำนานแห่งวงการบุนเดสลีกาและวงการฟุตบอลที่รังสรรค์ความงดงามมากมายบนพื้นสนามแข่ง แต่จะมีสักกี่คนที่ยังจำได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มมาจากตรงไหน เขาผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง และยังมีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับขุนพลดีกรีแชมป์โลกและแชมป์ยูโรคนนี้ที่น้อยคนนักจะเคยได้รู้ มาเจาะลึกถึงเรื่องน่ารู้ของชีวิตอดีตแข้ง "อินทรีเหล็ก" และโค้ชทีม "หญิงชรา" แฮร์ธ่า เบอร์ลิน คนล่าสุดคนนี้กันเลย

    คลินส์มันน์หันหลังให้กับธุรกิจอบขนมของครอบครัว แล้วเลือกเดินบนเส้นทางการค้าแข้งด้วยการเทิร์นโปรตั้งแต่อายุเพียง 16 ปีเท่านั้น และได้กลายเป็นแข้งเด็กที่ขึ้นชื่อว่ามีพรสวรรค์สูงสุดคนหนึ่งในยุคนั้น เขาแจ้งเกิดได้กับสโมสรชตุทท์การ์ท คิกเกอร์ส ก่อนจะย้ายไปอยู่กับทีมคู่ปรับอย่างเฟาเอฟเบ ชตุทท์การ์ท ที่โลดแล่นอยู่ในบุนเดสลีกาเมื่อปี 1984 ซึ่งต้นสังกัดใหม่แห่งนี้นี่แหละที่เป็นแหล่งบ่มเพาะฝีเท้าของคลินส์มันน์จนกระทั่งกลายเป็นศูนย์หน้าที่น่ากลัวที่สุดในเยอรมนี แม้ว่าเขาจะมีร่างกายผอมเพรียวก็ตาม

    imago05913186h

    คลินส์มันน์ติดอันดับที่ 5 ในทำเนียบดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติเยอรมนีด้วยผลงาน 47 ประตูจากการรับใช้ทีมชาติหนึ่งทศวรรษ เขาเริ่มมีชื่อติดทีมชาติจากผลงานพาสโมสรบ้านเกิดทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศศึกยูเอฟ่า คัพ แต่น่าเสียดายที่ต้องกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อนาโปลีที่นำทัพโดยดิเอโก มาราโดนา อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ไม่กี่ปีให้หลังคลินส์มันน์ก็สามารถแก้แค้นมาราโดนาได้สำเร็จด้วยการคว่ำทีมชาติอาร์เจนตินาพาทีมชาติเยอรมนีตะวันตกชูถ้วยแชมป์โลกที่กรุงโรม

    นอกจากนี้กรุงโรมยังเป็นเมืองที่คลินส์มันน์สามารถคว้าแชมป์ยูเอฟ่าคัพได้ในที่สุดตอนค้าแข้งให้กับทีมอินเตอร์ มิลาน จากนั้นเขาได้ย้ายไปอยู่กับโมนาโกสองฤดูกาล ก่อนที่จะย้ายไปเล่นในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

    j

    คลินส์มันน์ยิงประตูได้ตั้งแต่นัดแรกที่ลงสนาม รวมตลอดฤดูกาลนั้นในสีเสื้อทีมท็อตแนม ฮอตสเปอร์ แล้ว เขายิงประตูรวมในลีกได้ถึง 20 ลูก ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่คลินส์มันน์ก็พิสูจน์ตัวเองได้และกลายเป็นที่รักของแฟนบอล สุดท้ายแล้วเขาก็สามารถคว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของประเทศอังกฤษได้สำเร็จ แม้จะพลาดโอกาสชูถ้วยเอฟเอ คัพ ที่สนามเวมบลีย์ หลังทำได้เพียงพาทีมต้นสังกัดทะลุถึงรอบรองชนะเลิศ

    จากนั้นเขาย้ายกลับมายังเยอรมนีเพื่อค้าแข้งให้กับ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค คลินส์มันน์สามารถคว้าแชมป์ยูเอฟ่าคัพได้เป็นหนที่สองก่อนจะได้กลับไปเยือนสนามเวมบลีย์ ณ ประเทศอังกฤษอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลายเป็นประสบการณ์ที่เขาจะไม่มีวันลืม…

    หกปีหลังจากที่คลินส์มันน์คว้าแชมป์โลกสำเร็จ คลินส์มันน์ก็ได้สัมผัสถ้วยแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหรือยูโร 96 ที่สนามเวมบลีย์ต่อหน้าแฟนบอลชาวอังกฤษมากมายที่ชื่นชอบเขาเมื่อสมัยค้าแข้งกับทีมไก่เดือยทอง

    klinsmann-meisterschale

    คลินส์มันน์อำลาเวทีบุนเดสลีกาด้วยผลงานแชมป์ลีกหนึ่งสมัยกับบาเยิร์น มิวนิค เขากลับไปเล่นในเซเรีย อา อีกครั้งกับทีมซามพ์โดเรีย ก่อนจะรีเทิร์นไปเล่นให้สเปอร์สในเกาะอังกฤษอีกคำรบหนึ่ง ซึ่งเขาก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ยิงได้ 9 ประตูจากการลงสนาม 15 นัด เขาลงเล่นให้ทีมชาติเยอรมนีเป็นครั้งสุดท้ายในศึกฟุตบอลโลกปี 98 แต่ก็ได้โอกาสกลับมารับใช้ชาติด้วยการรับบทเฮดโค้ชแทนที่ รูดี เฟิลเลอร์ เขาสร้างความฮือฮาให้กับแฟนบอลเยอรมันทั่วประเทศ โดยเฉพาะในศึกฟุตบอลโลกที่จัดขึ้นในประเทศบ้านเกิด ซึ่งพวกเขาหมายมั่นจะคว้าแชมป์ให้ได้บนแผ่นดินของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวังพ่ายให้กับอิตาลีไปในรอบตัดเชือก

    อย่างไรก็ตาม แม้จะต้องอกหักจากฟุตบอลโลก แต่คลินส์มันน์ก็ประสบความสำเร็จในการดึงจิตวิญญาณและความฮึกเหิมกลับมาสู่วงการฟุตบอลเยอรมันอีกครั้ง การประกาศอำลาตำแหน่งเฮดโค้ชทีมชาติหลังนำเยอรมนีทำได้เพียงอันดับที่ 3 ในศึกฟุตบอลโลกครั้งนั้นสร้างความเสียใจให้กับแฟนบอลเยอรมันทั่วประเทศ

    gettyimages-451575900

    คลินส์มันน์ใช้ช่วงเวลาหลังจากนั้นสองสามปีพักผ่อนเพื่อเติมพลังชีวิตอยู่ที่บ้านในฮันติงตันบีช แคลิฟอร์เนีย ก่อนจะบินกลับมายังเยอรมนีเพื่อรับบทเฮดโค้ชทีมบาเยิร์น คลินส์มันน์นำเอาแนวทางและปรัชญาการเล่นฟุตบอลใหม่ๆ มาสู่ทีมต้นสังกัด แม้จะถูกปลดออกจากตำแหน่งทั้งที่ยังเหลือการแข่งขันถึง 5 เกมของฤดูกาลเพราะผลงานย่ำแย่ แต่สิ่งที่ตำนานอินทรีเหล็กคนนี้ปลูกเอาไว้ในถิ่นของบิ๊กทีมแห่งแคว้นบาวาเรียนั้นยังฝังรากลึกในทีมบาเยิร์นมาถึงทุกวันนี้

    คลินส์มันน์รู้ดีว่าการคุมทีมสโมสรไม่ใช่ของง่ายๆ เขาปฏิเสธข้อเสนอจากหลายทีมไปหลายหน แต่ในที่สุด "คลินซี่" ก็ตกปากรับคำไปคุมทีมชาติสหรัฐอเมริกา บ้านหลังที่สองของเขาในปี 2011 เขาลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 ด้วยพลังและความกระหายในชัยชนะเช่นเคย แม้ทีมชาติสหรัฐฯ จะต้องอยู่ในกลุ่มเดียวกับทีมโหดๆ อย่าง เยอรมนี, โปรตุเกส และกานา แต่พวกเขาก็สามารถฝ่าฟันเข้าไปถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ ทีมชาติอเมริกากลายเป็นอีกทีมที่ดูมีอนาคตสดใสขึ้นภายใต้การคุมทีมของคลินส์มันน์

    ee

    แม้ในปัจจุบันคลินส์มันน์จะยุติบทบาทโค้ชทีมชาติสหรัฐฯ แล้ว แต่ชื่อของเขายังคงก้องอยู่ในทั้งวงการฟุตบอลเยอรมันและสหรัฐอเมริกา และล่าสุดเขาก็ได้กลับมาเฉิดฉายบนเวทีบุนเดสลีกาอีกครั้งในฐานะกุนซือใหญ่ทีมแฮร์ธ่า เบอร์ลิน จนสิ้นฤดูกาลนี้