"เสือใต้-เสือเหลือง" วัดกันก่อนเกม "แดร์ คลาสสิกเคอร์"

เป็นเวลาที่ทีมยักษ์ใหญ่ทั้งสองต่างก็ลั่นกลองศึกเตรียมรบกันในศึกวันแดงชนเหลือง หรือที่คนเยอรมันเรียกกันว่าศึก "แดร์ คลาสสิกเคอร์" ฝั่ง "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค นั้นเตรียมประเดิมกุนซือคนใหม่ ฮันซี ฟลิค หลังนิโก โควัช โบกมือลาทีมไปแบบสายฟ้าแลบ แต่ทว่าบาเยิร์นก็ยังมีโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี ดาวยิงเท้าระเบิดเจ้าเก่าที่ทำสถิติยิงต่อเนื่องมาทุกนัดตั้งแต่เปิดฤดูกาลล่าสุด และเป็นโอกาสที่เลวานฯจะได้กลับมาดวลกับต้นสังกัดเดิมอีกด้วย

ส่วนฝั่ง "เสือเหลือง" ก็จะมี มัทส์ ฮุมเมิลส์ ที่ได้กลับมาเยือนทีมเก่าที่เขาเพิ่งจะคว้าแชมป์ลีกด้วยเมื่อซีซั่นก่อน เรียกได้ว่าเดือดกันตั้งแต่ยังไม่ทันได้เขี่ยลูกเริ่มเล่นเลย

หากนัดนี้บาเยิร์นที่อยู่ในอันดับ 4 บนตารางสามารถคว้าชัยไปได้ พวกเขาจะทำแต้มขึ้นแซงดอร์ทมุนด์ทันที แต่ถ้าหากดอร์ทมุนด์เป็นฝ่ายชนะและผลการแข่งขันคู่อื่นเป็นไปตามที่หวัง พวกเขาก็มีโอกาสขึ้นนำจ่าฝูงเช่นกัน มาดูกันเลยว่าอะไรที่น่าจะเป็นปัจจัยตัดสินผู้ชนะในเกมนี้

1) เกมรับ

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยกล่าวไว้ว่า "เกมรุกจะช่วยให้คุณคว้าชัย ส่วนเกมรับจะช่วยให้คุณคว้าแชมป์" ไม่ว่าคำกล่าวนี้จะถูกต้องหรือไม่ แต่พลพรรคเสือใต้ต่างก็หวังใจว่าอย่าให้เป็นแบบนั้นเลย เพราะซีซั่นนี้เสือใต้เสียประตูไปแล้วถึง 16 ลูก มากกว่าทุกทีมที่อยู่ในครึ่งบนของตาราง เกมล่าสุดที่พ่ายให้ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ตยับ 1-5 ก็เป็นเพราะความผิดพลาดของ เชโรม บัวเต็ง ที่รีบโดนใบแดงตั้งแต่ต้นเกม โดยที่บัวเต็งได้ลงสนามเป็นตัวจริงในเกมนั้นได้ก็เพราะนิคลาส ซือเลอ และ ลูคัส แอร์กน็องเดซ ได้รับบาดเจ็บ งานนี้บาเยิร์นมีปัญหาช่องโหว่ในแผงหลังรูเบ้อเร่อที่ต้องแก้กันด่วน

โชคยังดีที่ฮันส์ ฟลิค กุนซือคนใหม่นั้นทำงานเป็นผู้ช่วยโค้ชในรั้วเสือใต้มานานแล้ว จึงน่าจะรู้จักฝีเท้าและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับนักเตะแต่ละคนเป็นอย่างดี ด้วยสถิติการเล่นเกมรับอันยอดเยี่ยมของเบนฌาแม็ง ปาวาร์ ทำให้เขาน่าจะเป็นพระเอกตัวหลักที่จะมายืนเป็นเซ็นเตอร์คุมเกมรับให้กับบาเยิร์น เมื่อเจ้าตัวมีอัตราการแย่งบอลสำเร็จกว่า 60% ทั้งบนพื้นและลูกกลางอากาศ

ดาวิด อาลาบา จะลงประจำการแบ็คซ้ายเหมือนเดิม และมีงานช้างที่จะต้องจับปีกตัวจี้ดของเสือเหลืองอย่าง จาดอน ซานโช ให้อยู่หมัด ไม่ใช่งานง่ายเลยที่จะยืนระยะจัดการเจ้าหนูวัย 19 ปีคนนี้ให้อยู่

แต่บาเยิร์นก็ยังมีตัวเลือกในเกมรับอีกมากมาย ทั้ง คาบี มาร์ติเนซ มิดฟิลด์ตัวรับระดับเวิลด์คลาสที่ลงมาช่วยยืนเซ็นเตอร์ได้ด้วย รวมทั้งเจ้าหนู ลูคาส ไม วัยเพียง 19 ปีที่บาเยิร์นเพิ่งจับต่อสัญญายาว แต่ในเกมบิ๊กแมตช์เช่นนี้ ฟลิคน่าจะเลือกใช้นักเตะมากประสบการณ์มากกว่า

ที่น่าเจ็บใจก็คือบาเยิร์นดันปล่อยตัวมัทส์ ฮุมเมิลส์ คืนไปให้ดอร์ทมุนด์ซะแล้ว และฮุมเมิลส์ก็กลายเป็นกำลังสำคัญของพลพรรคเสือเหลืองที่ช่วยทีมสร้างผลงานยอดเยี่ยมอยู่ในตอนนี้อีกด้วย เขาเล่นเข้าขากับนักเตะดอร์ทมุนด์ซะราวกับว่าไม่เคยย้ายมาอยู่กับทีมเสือใต้ด้วยซ้ำ ในซีซั่นนี้ดอร์ทมุนด์เก็บคลีนชีทไปได้ถึง 4 นัด ได้แก่เกมที่พบกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน, โบรุสเซีย เมินเชนกลัดบัค, ชาลเค่อ และ โวล์ฟสบวร์ก ถือเป็นทีมอันดับ 3 ในลีกที่เล่นเกมรับได้ดีที่สุด (เสีย 11 ประตู) รอดูกันเลยว่าจะเหนียวแน่นพอที่จะหยุดสถิติยิงทุกเกมตั้งแต่เปิดฤดูกาลของเลวานฯได้หรือไม่

2) เกมรุก

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่บาเยิร์นฝากความหวังไว้มากที่สุดในนาทีนี้ก็คือเลวานดอฟสกี ด้วยผลงานยิงได้ตลอด 10 เกมนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา ยิงรวมไปแล้ว 14 ประตูในลีกและ 20 ประตูในทุกรายการ หากนับสถิติเฉพาะในเกมที่พบกับดอร์ทมุนด์ทีมเก่า เลวานฯกดเสือเหลืองไปถึง 16 ตุงจากการพบกัน 18 นัด ในนาทีนี้พูดได้เลยว่าใครก็หยุดเลวาน 'โกล' สกีไม่อยู่ทั้งนั้น

แต่จะให้บอกว่าอาวุธอันตรายของบาเยิร์นมีเพียงเลวานดอฟสกีคนเดียวก็ไม่ถูก เพราะแข้งหัวโจกที่พาบาเยิร์นถล่มประตูคู่แข่งได้เป็นว่าเล่นในขณะนี้ยังมีแซร์จ นาบรี ที่ยิงในซีซั่นนี้ไป 6 ประตูทั้งที่เล่นในตำแหน่งตำแหน่งปีก รวมทั้งยังมียอดฝีเท้าที่กองหลังคู่แข่งไม่อาจปล่อยให้คลาดสายตาได้อย่าง คิงสลีย์ โกม็อง, ฟิลิปเป้ คูตินโญ, อิวาน เปริซิช และ โทมัส มึลเลอร์ ที่ยังคงความเฉียบคมอยู่เสมอ

ฝั่งดอร์ทมุนด์ก็มีเกมรุกที่อันตรายไม่แพ้กัน เมื่อมีกองหน้าสไตล์คล้ายเลวานดอฟสกีอย่าง ปาโก อัลกาเซร์ ดาวยิงสูงสุดของเสือเหลืองในซีซั่นก่อนที่กดไปแล้ว 5 ลูกจาก 6 เกมในฤดูกาลนี้ หากยังจำกันได้ดี ในเกมแดร์ คลาสสิกเคอร์ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว อัลกาเซร์นี่แหละที่เป็นผู้ซัดประตูชัยให้ดอร์ทมุนด์เฉือนชนะบาเยิร์นไปได้ และยังเป็นคนยิงให้ทีมขึ้นนำบาเยิร์นในศึกเยอรมัน ซูเปอร์คัพ เมื่อช่วงก่อนเปิดฤดูกาลที่ผ่านมานี้ด้วย แต่น่าเสียดายที่เขาอาจพลาดการลงเล่นในศึกครั้งนี้เพราะอาการบาดเจ็บ แต่ไม่มีปาโกก็ไม่ได้แปลว่าดอร์ทมุนด์จะอดปาร์ตี้หรอกนะ เพราะผู้เล่นตัวรุกของดอร์ทมุนด์ต่างช่วยกันยิงประตูจนครบทุกคนแล้วในซีซั่นนี้ นำทัพโดย มาร์โค รอยส์ ตามด้วยอักเซล วิตเซล, อัชราฟ ฮาคิมี, ราฟาเอล เกวเรโร, มาริโอ เกิตเซอ, ตอร์กาน อาซาร์ และ ยูเลียน บรันด์ท ที่พากันฟอร์มดีทุกคน

3) คนกลาง
    
ในที่นี้ก็คือแข้งมิดฟิลด์ที่จะดวลกันในกลางสนามนั่นเอง มิดฟิลด์นี่แหละที่จะมีส่วนทั้งในเกมรุกและรับ งานนี้ต้องยกนิ้วทีมเสือใต้ที่ไม่เคยขาดมิดฟิลด์น้ำดีมาตลอดทุกยุคทุกสมัย หลังถูกดอร์ทมุนด์แย่งชิงความสำเร็จไปได้ในฤดูกาล 2011/12 บาเยิร์นก็ให้ความสำคัญกับนักเตะในแผงมิดฟิลด์จนเกิดเป็นความสำเร็จของสโมสรมาอย่างต่อเนื่องจนทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น บาสเตียน ชไวน์ชไตเกอร์, โทนี โครส หรือมึลเลอร์ ที่เป็นการผสมผสานความสามารถของตำแหน่งกองกลางกับกองหน้า หรือการใช้ปีกตัวจี๊ดอย่างอาร์เยน ร็อบเบน และ ฟรองค์ ริเบรี เล่นงานคู่แข่งจนป่าราบ การใช้งานมิดฟิลด์นี่แหละที่เป็นพิมพ์เขียวที่สร้างความสำเร็จให้บาเยิร์นมาตลอดระยะเวลาหลายปี

ในฤดูกาลที่ผ่านมา ดอร์ทมุนด์ถือว่าเข้าใกล้การคว้าแชมป์ลีกอีกหนอย่างที่สุด น่าเสียดายที่พวกเขามาพลาดเองในช่วงท้ายฤดูกาล และโดนบาเยิร์นถล่มเละถึง 5-0 ประตูอย่างน่าเจ็บใจ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าบาเยิร์นนั้นคือทีมที่ยืนระยะได้ดี คงเส้นคงวาและนิ่งกว่าดอร์ทมุนด์ซึ่งเป็นทีมที่นักเตะส่วนใหญ่ยังมีอายุไม่มากนัก

ที่น่าสนใจคือมีนักเตะคนหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญของชัยชนะของทีมบาเยิร์น นั่นคือการที่ทัพเสือใต้มีมาร์ติเนซยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวรับตลอดการแข่งขัน 33 นัด พวกเขาแพ้เพียงแค่ 2 เกมเท่านั้น โดย 4 เกมที่มาร์ติเนซพลาดลงสนาม บาเยิร์นพ่ายไปถึง 3 เกม นับได้ว่าเขาเป็นตัวแปรคนสำคัญที่มีผลต่อทีมสูงทีเดียว บาเยิร์นยังมีอีกหนึ่งมิดฟิลด์ตัวยันเกมคนสำคัญที่ออกบอลได้แน่นอนและจ่ายแอสซิสต์เป็นว่าเล่นอย่างติอาโก ซึ่งดูแล้วฮันซี ฟลิค คงไม่จับเขานั่งสำรองง่ายๆแน่นอน แต่ไม่ว่าจะเป็นมิดฟิลด์ตัวรับคนไหนที่ได้สิทธิ์ลงตัวจริงในศึกครั้งนี้ แผงรุกของเสือเหลืองก็ไม่อาจหวังเจาะไข่แดงเสือใต้ได้ง่ายๆเช่นกัน