ศาลฎีกานักการเมือง สั่งเว้นวรรคการเมือง 5 ปี "ชุมพล กาญจนะ" ประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ข้อหาจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินหนี้สินถึง 13 ครั้ง รวมมูลค่าร่วม 200 ล้านบาท พร้อมสั่งจำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท แต่ไม่เคยทำผิด จึงให้รอลงอาญา 1 ปี ขณะที่นายกรัฐมนตรียอมรับว่ามีผลต่อคะแนนเสียงในการลงมติเรื่องต่างๆ ในสภา
ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 16 ก.ย.นี้ องค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน อ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้ร้องขอให้ศาลวินิจฉัยกรณีที่ นายชุมพล กาญจนะ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ผู้คัดค้าน ซึ่งถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกล่าวหาว่าจงใจยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของตน เองหรือคู่สมรส หรือบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบด้วยข้อความ อันเป็นเท็จ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ม.263 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542 ม.119 โดย ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายชุมพล เมื่อวันที่ 26 พ.ย.52 ว่า ปกปิดข้อเท็จจริงในบัญชีหนี้สินของตัวเองรวม 13 ครั้ง ตั้งแต่เป็น ส.ส.สุราษฎร์ธานี เมื่อปี 2540 โดยพบว่ามีการปกปิดหนี้สินของตัวเองในบริษัทแห่งหนึ่งเป็นจำนวนหลายบัญชี มีมูลค่าหนี้ตั้งแต่ 76 ล้านบาท ถึง 191 ล้านบาท จึงขอให้ศาลลงโทษตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ชั้นพิจารณานายชุมพล ผู้คัดค้านให้การปฏิเสธ
องค์คณะผู้พิพากษาพิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำเข้าไต่สวนแล้วเห็นว่า นายชุมพล ผู้คัดค้าน จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน รวมทั้งเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริง ที่ควรแจ้งให้ทราบ ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 263 วรรค 1 และมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 119 จริง ให้จำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท แต่ผู้คัดค้านไม่เคยต้องโทษมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี และให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และห้ามไม่ให้ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปีทันที นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
ด้านนายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ทราบข่าวแล้ว และพยายามติดต่อนายชุมพลอยู่ แต่ยังติดต่อไม่ได้ ยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวมีผลกระทบต่อคะแนนเสียงในการลงมติเรื่องต่างๆ ของพรรคในสภาผู้แทนราษฎร ที่ต้องหายไปอีกหนึ่งเสียง