อาจารย์เจษฎา เผยคนแตกตื่น "โควิดระยอง" เกินเหตุ ผลจาก ศบค. หลอกปั่นหัวให้กลัว

อาจารย์เจษฎา เผยคนแตกตื่น "โควิดระยอง" เกินเหตุ ผลจาก ศบค. หลอกปั่นหัวให้กลัว

อาจารย์เจษฎา เผยคนแตกตื่น "โควิดระยอง" เกินเหตุ ผลจาก ศบค. หลอกปั่นหัวให้กลัว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากกรณีทหารอียิปต์ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เข้าพักในโรงแรม และออกไปเดินห้างสรรพสินค้า ในจังหวัดระยอง จนทำให้มีการประกาศปิดโรงเรียนทั้งจังหวัด และกักตัวบุคคล ที่เคยไปยังสถานที่เดียวกับผู้ติดเชื้อ หรือเดินทางไปจังหวัดระยอง ในช่วงดังกล่าวนั้น

วานนี้ (16 ก.ค.) นายเจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความ บนเฟซบุ๊กส่วนตัว “Jessada Denduangboripant” กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า เป็นเรื่องที่กลัวกันจนเกินกว่าเหตุ โดยระบุว่า

(ที่กากบาทสีส้มนี่ ไม่ได้แปลว่า มันเป็นข่าวปลอมนะครับ แต่กากบาท เพื่อบอกว่า ไม่เห็นด้วยที่จะทำกัน!)

 

เรื่องปิดโรงเรียน ในจังหวัดระยอง รวมถึงการกักตัว คนที่มาจากจังหวัดระยอง 14 วันนั้น นับเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก !

กลัวกันจนเกินเหตุไปแล้ว … และนี่แหละคือ ผลลัพธ์จากการที่ ศบค. เอาแต่หลอกปั่นหัว ให้เรากลัวโรค covid-19 จนเกินเหตุ มานานนับหลายเดือน

มาตรการการดูแลควบคุม และป้องกันโรคที่กระทรวงสาธารณสุข มีวางไว้ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า เน้นไปที่ผู้ติดเชื้อเป็นหลัก เช่น ถ้าพบผู้ติดเชื้อที่โรงเรียนไหน ก็ปิดโรงเรียนนั้น พบผู้ติดเชื้อที่โรงแรมไหนก็ปิดโรงแรมนั้น เป็นระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อทำความสะอาด รวมทั้งเฝ้าระวัง ว่าคนที่อยู่ในสถานที่นั้นมีใครเริ่มมีอาการคล้ายจะติดเชื้อหรือเปล่า

อย่าลืมว่าโรค covid-19 ก็เป็นเชื้อโคโรนาไวรัส ที่แพร่มากับสารคัดหลั่ง ซึ่งก็คือมาจากน้ำลาย และเสมหะเป็นหลัก โดยผู้ที่มีอาการของโรคแล้วจะเป็นผู้ที่แพร่เชื้อได้ดีที่สุด ขณะที่ผู้ที่ไม่มีอาการของโรค แม้ว่าจะมีรายงานว่าแพร่เชื้อได้ แต่ความสามารถในการแพร่เชื้อก็จะน้อยกว่ามาก

ดังนั้นในกรณีของทหารอียิปต์ VIP ที่มาเดินในจังหวัดระยอง ซึ่งปรากฏภาพว่าใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา หน้ากากอนามัยก็ทำหน้าที่ของมัน คือลดการแพร่เชื้อออกจากผู้ติดเชื้อนั้น ได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว โอกาสที่เชื้อจากทหารคนนั้น จะแพร่กระจายไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นไปได้น้อยมาก

ประเด็นสำคัญ ที่ผมพูดมาหลายทีตั้งนานแล้ว คือ โรคนี้มันเป็นโรคของการคลุกคลีกัน เราต้องมีโอกาสพูดจาใกล้ชิด ได้รับเชื้อไวรัสผ่านทางละอองน้ำลายของผู้ติดเชื้อ เป็นเวลาและปริมาณมากระดับหนึ่ง ที่จะทำให้ร่างกายได้รับเชื้อไปมาก จนเราก็เป็นผู้ติดเชื้อไปเองด้วย (หรือที่เรียกว่าต้องดู viral load นั่นเอง)

ดังนั้น ถ้าถามหมอทางด้านโรคติดเชื้อ ตัวจริงๆ (ไม่ใช่พวกหมอที่อยู่ใน ศบค.) น่าจะพูดตรงกันว่า ไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ เลยที่จะต้องปิดโรงเรียนโดยรอบในจังหวัด ทั้งๆ ที่ทหารอียิปต์คนนั้นไม่เคยไป รวมถึงไม่จำเป็น จะต้องกักกันตัวคนที่มาจากจังหวัดระยองด้วย

พูดง่ายๆ คือ เราควรจะมุ่งไปที่ตัวผู้ติดเชื้อโดยตรงเท่านั้น ไม่ใช่กังวล และกลัวกันไปหมด จนประเทศไทยไม่ต้องทำอะไรกินกันแล้ว (ตอนนี้ หลายคนก็ตกงานกัน จนแทบจะไม่ค่อยมีอะไรกินอยู่แล้วด้วย)

ทั้งหมดของความมั่วนี้ สาเหตุก็มาจากการที่ ศบค. และเครือข่ายสื่อโซเชียล ไปสร้างความน่ากลัวให้กับโรคโควิดจนเกินเหตุ เอาแต่มุมภาพลบ-ไอซียู-ความตาย ที่น่ากลัวมาขู่ประชาชนทุกวัน (ซึ่งจริงๆ แล้วเคสที่น่ากลัวขนาดนั้น มันมีปริมาณน้อยมากๆๆๆ เมื่อเทียบกับเคสของคนที่ติดโรคแล้วก็รักษาหายได้) ยังกับ เป็นผีร้าย เป็นไวรัสร้าย ที่เราแค่หายใจเอาลมหายใจคนที่ติดเชื้อเข้าไป แล้วต้องตายไปด้วย (ซึ๋งไม่จริงเลย)

ข้อเสนอผมที่มีโดยตรงต่อประยุทธ์ และรัฐบาล คือเปลี่ยนคณะที่ปรึกษาทางสาธารณสุข และความมั่นคงชุดเก่า ออกไปได้แล้วครับ เอากลุ่มอาจารย์หมอที่เชี่ยวชาญเรื่อง “ระบาดวิทยา” มาดูแลแทน โดยไม่เอาคนทางด้านสภาความมั่นคงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

รับรองได้ว่านโยบายเรื่องโรคโควิด จะเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเลย เพราะแทบไม่มีใครในโลกนี้ ที่หวังจะเอาชนะโรคไวรัสนี้ กดจำนวนผู้ติดเชื้อให้เป็น 0 ไปจนกระทั่งวัคซีนจะมาหรอก

เขามีแต่หาทางอยู่ร่วมกับเชื้อโรคนี้ ในระดับที่ระบบสาธารณสุขของประเทศเขารับไหว เพื่อให้เศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการศึกษาเดินหน้าต่อไปได้

ปล. อยากจะบ่นต่อ เรื่องที่ให้เด็กเรียนออนไลน์ อยู่กับบ้าน (ขนาดจุฬาฯ ยังให้นิสิตเรียนออนไลน์ที่บ้านเลย) ว่านั่นก็เป็นไอเดีย ที่ไม่ถูกต้องจริงๆ เสียหาย ทางการศึกษา และเกิดปัญหาสังคม ที่แต่ละบ้านด้วย

แถมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ตอนหลังก็บอกว่า “เด็กสามารถติดเชื้อจากผู้ใหญ่ได้ แต่การที่เด็ก จะแพร่กระจายเชื้อกันเอง หรือไปหาผู้ใหญ่นั้น มีน้อย มากมากๆๆ”… แต่สงสัย จะยาวเกินแน่ๆ ไว้คราวหน้าแล้วกัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook