สุเทพลั่นพร้อมรับบัญชามาร์คเจรจาก.ต.ช.ตั้งผบ.ตร. ภูมิใจไทย ปูดเทพเทือก-นิพนธ์ล็อบบี้2หน

สุเทพลั่นพร้อมรับบัญชามาร์คเจรจาก.ต.ช.ตั้งผบ.ตร. ภูมิใจไทย ปูดเทพเทือก-นิพนธ์ล็อบบี้2หน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
สุเทพประกาศพร้อมรับบัญชานายกฯเจรจาก.ต.ช.ปมเลือกผบ.ตร. ลั่นเป็นผู้ใต้บังคับบัชญาได้รับคำสั่งแล้วต้องปฏิบัติ ภูมิใจไทยเผย เทพเทือก-นิพนธ์ ล็อบบี้เฟ้นตัวผบ.ตร.คนใหม่สองหน มาร์คปิดห้องหารือเทพเทือก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หารือกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง สองต่อสอง กว่า 30 นาที ภายหลังประชุมคณะกรรมการอำนวยการประชุมสุดยอดอาเซียน ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 08.35 น. วันที่ 24 สิงหาคม ซึ่งคาดว่าหารือถึงแนวทางแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนใหม่ โดยระหว่างหารือนายอภิสิทธิ์มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก อีกทั้งยังต่อสายโทรศัพท์ไปหาบุคคลที่ 3 ด้วย

โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวถึงการหารือกับนายสุเทพว่า ไม่ได้คุยถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) และการสรรหา ผบ.ตร.คนใหม่ แต่คาดว่าไม่นานนี้น่าจะได้ข้อยุติ ทุกอย่างจะเรียบร้อย ไม่มีปัญหา เมื่อถามว่า พล.ต.อ.วิสุทธิ์ กิตติวัฒน์ นายกสมาคมตำรวจ เตือนว่านายกรัฐมนตรีอาจกระทำผิดกฎหมายเรื่องประชุม ก.ต.ช. นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ผมไม่เคยทำผิดกฎหมาย เพราะเป็นคนที่ทำอะไรตามกฎหมายอยู่แล้ว

ออกตัวหากใช้สิทธิโหวตก็ชนะ

ต่อมา นายอภิสิทธิ์กล่าวระหว่างพบกับคณะผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรพัฒนาการเมืองของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ ถึงการจะเสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ ต่อที่ประชุม ก.ต.ช.เพื่อสรรหาบุคคลเป็น ผบ.ตร.คนใหม่ อีกครั้งว่า ยืนยันว่าทำตามกฎหมายทุกอย่าง และมีมารยาทพอ ซึ่งการประชุม ก.ต.ช.เมื่อที่ประชุมมีเสียง 5 ต่อ 4 ถ้าตนยกมือก็ชนะไปแล้ว เพราะเสียงจะเป็น 5 ต่อ 5 และตนจะเป็นผู้ชี้ขาด แต่ให้เกียรติกันและกระบวนการยังไม่ยุติก็เดินหน้าทำตามกระบวนการกฎหมายต่อไป อย่างไรก็ตาม คิดว่าทุกอย่างคงจะเรียบร้อย

สุเทพพร้อมรับบัญชาล็อบบี้ก.ต.ช.

ด้าน นายสุเทพกล่าวหลังหารือกับนายอภิสิทธิ์ว่า ไม่ได้เป็นการปรับทุกข์แต่อย่างใด แต่ได้เรียนเรื่องการความกังวลเหตุที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 30 สิงหาคมให้นายกรัฐมนตรีทราบ ส่วนการจัดทำโผตำรวจ ระดับรองผู้บัญชาการลงไปนั้น คิดว่าในส่วนที่เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ตนสามารถทำตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ทุกอย่างได้ ไม่คิดว่ามีปัญหาอะไร และจะเรียบร้อยเมื่อถึงเวลา ส่วนกรณีของการเสนอชื่อ ผบ.ตร.เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี และ ก.ต.ช. พิจารณา และใช้ดุลพินิจ เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว คงจะร่วมการพิจาณาได้

เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นผู้จัดการรัฐบาล จะประสานกับนายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้เสียงโหวตเป็นไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ผมจะทำทุกอย่างที่นายกรัฐมนตรีใช้ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้มีการคุย เพราะนายกรัฐมนตรียังไม่ได้ใช้ หากท่านใช้เมื่อไหร่ ผมก็จะไปทำให้

สื่อนัยยะลูกน้องทำตามเจ้านาย

เมื่อถามว่า การพิจารณา ผบ.ตร.คนใหม่ จะสามารถลงตัวได้เมื่อไหร่ เพื่อไม่ให้กระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล นายสุเทพกล่าวว่า จัดการได้แน่นอนเมื่อถามว่า นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ ได้มอบหมายให้ไปช่วยเจรจากับนายชวรัตน์ และกรรมการท่านอื่นๆ หรือไม่ เพื่อให้เห็นไปในทางเดียวกัน นายสุเทพกล่าวว่า ยัง แต่คิดว่าทุกอย่างต้องคลี่คลายได้ ผมเชื่อในความมีเหตุผลของทุกคน

เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ที่ยืนยันจะเสนอ พล.ต.อ.ปทีปเป็น ผบ.ตร. นายสุเทพกล่าวว่า ผมเป็นลูกน้อง จะวิจารณ์การทำงานของเจ้านายในทางเสียหายไม่ได้ ผมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา รับคำสั่งแล้วต้องปฏิบัติ เมื่อถามว่า แสดงว่าสนับสนุนนายกรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่สนับสนุนได้อย่างไร ผมสนับสนุนมาต้องแต่ต้น ที่ถามอย่างนี้เพราะอะไร

ชวรัตน์ยันไม่เสนอชื่อจุมพล

ด้านนายชวรัตน์กล่าวถึงการประชุม ก.ต.ช.เพื่อเลือก ผบ.ตร. เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า ไม่ได้เป็นคนเสนอชื่อ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร. เพียงแต่ตนอยู่ในส่วนที่ยกมือค้านไม่เห็นด้วย ที่นายกรัฐมนตรี เสนอ พล.ต.อ.ปทีป เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ ส่วนการประชุมครั้งหน้าจะเป็นอย่างไรก็ว่ากันอีกที เมื่อถามว่า เมื่อไม่ได้เป็นผู้เสนอชื่อ แต่กลับถูก ส.ส.ประชาธิปัตย์ โจมตีว่า ไม่ให้เกียรตินายกรัฐมนตรี และให้ลาออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชวรัตน์กล่าวว่า ไม่เป็นไร เป็นเรื่องที่เด็กๆ พูด ไม่จำเป็นต้องตอบโต้ เปรียบเสมือนมวย เราเป็นมวยเฮฟวี่เวท จะไปต่อยกับมวยรุ่นเล็กกว่า ชนะก็ไม่สศักดิ์ศรี ก.ต.ช.มีสิทธิไม่เห็นด้วยกับนายกฯ

ด้านนายนพดล อินนา กล่าวถึงกรณีการตั้ง ผบ.ตร.ที่ระบุว่าเป็นอำนาจที่นายกรัฐมนตรีต้องเสนอชื่อและ ก.ต.ช.ต้องเห็นชอบว่า ตามกฎหมายเขียนไว้ว่าสิทธิในการเสนอนายตำรวจยศ พล.ต.อ. เพื่อขึ้นเป็น ผบ.ตร. เป็นอำนาจนายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว ก.ต.ช.คนอื่นไม่มีสิทธิ แต่อำนาจอีกส่วนเป็นของ ก.ต.ช.ที่คนที่มีสิทธิพิจารณาว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ไม่จำเป็นว่าเสนอใครแล้วต้องเห็นชอบ

นายนพดลกล่าวว่า ตามระเบียบจะเปิดให้ลงมติ ถ้าเป็นการลงมติลับ เสียงเห็นชอบต้องมากกว่า 3 ใน 4 หรือ 9 คน ในกรณี ก.ต.ช. 11 คน หรือถ้าลงมติเปิดเผย มติเห็นชอบต้องมากกว่ากึ่งหนึ่ง กฎหมายเขียนไว้สั้น ไม่ได้อธิบาย จึงต่างตีความกันไป ซึ่งการเสนอชื่อ ผบ.ตร.นายกรัฐมนตรีจะเสนอชื่อเข้ามามากกว่า 1 คน หรือเสนอชื่อคนหนึ่งมาแล้วเคยตกไป ก.ต.ช.มีมติไปแล้ว จะกลับมาเสนออีกครั้งก็ได้ กฎหมายไม่ได้ห้าม ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีจะวินิจฉัยพิจารณา

อำนาจการนำเสนอนายกรัฐมนตรีมีเต็มที่ คนอื่นก้าวล่วงไม่ได้ แต่ ก.ต.ช.มีสิทธิรับรู้ข้อมูลคนที่นายกรัฐมนตรีเสนอพอสมควร เพื่อให้ใช้ดุลพินิจ เพราะการเลือกใครเป็น ผบ.ตร. ผลที่ออกมา นอกจากนายกรัฐมนตรีเป็นที่ผู้เสนอชื่อแล้ว ก.ต.ช.ที่ร่วมเห็นชอบต้องร่วมรับผิดชอบเพราะถือว่าทั้งคณะร่วมกันพิจารณาเลือก นายนพดลกล่าว

ให้ผบช.ส่งบัญชีโยกย้ายก่อน25ส.ค.

รายงานข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งว่า มีหนังสือเวียนวิทยุในราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประทับตราลับด่วนที่สุดที่ 0004.25/ 6975 จาก พล.ต.ต.ชนาภัทร เชยสมบัติ ผู้บังคับการกองกำลังพล (ผบก.ทพ.) ถึงผู้บัญชาการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่า และผู้บังคับการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าลงวันที่ 22 สิงหาคม

โดยระบุว่า ให้ตรวจสอบรายชื่อตำรวจตามบัญชีข้อมูลเสนอปรับเกลี่ยในระดับตำแหน่งเท่าเดิมของข้าราชการตำรวจเพื่อเข้าสู่โครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติใหม่ ซึ่งได้จัดส่งมาแล้วก่อนหน้านี้ แล้วคัดเลือกข้อมูลข้าราชการตำรวจที่มีความจำเป็นจะต้องขอยกเว้นคุณสมบัติต่อคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) พร้อมเหตุผลจำเป็นแล้วจัดส่งมายัง ตร. (ผ่าน ผบก.กพ.) โดยด่วน ภายในวันที่ 25 สิงหาคม ผ่านทางโทรสาร โทรศัพท์ หรือทางอี-เมล เพื่อนำเสนอ ก.ตร.พิจารณาอนุมัติยกเว้น ก่อนสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งแต่งตั้งต่อไป

หนังสือระบุอีกว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นไปตามมติการประชุม ก.ตร. ครั้ง ที่ 9/2552 วันที่ 7 สิงหาคม ว่า ให้ดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการเข้าสู่ตำแหน่งตามโครงสร้างส่วนราชการ ตร.ใหม่ ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 และกฎ ก.ตร.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับ สว. ถึง จเรตำรวจและรอง ผบ.ตร. อย่างเคร่งครัด หากข้าราชการตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้งมีคุณสมบัติไม่ครบตามคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งตามมาตรา 45 พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 หรือไม่ได้เป็นไปตามกฎ ก.ตร. ให้ ตร.นำเสนอ ก.ตร.พิจารณาก่อนทุกราย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าในการทำหนังสือเวียนเพื่อแต่งตั้งในทุกครั้งผู้ที่ออกหนังสือจะเป็น ผบ.ตร. แต่ครั้งนี้กลับเป็น ผบก.กพ. ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่ชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้ที่ทำบัญชีคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย ระหว่าง พล.ต.อ.พัชรวาท หรือ พล.ต.อ.ปทีป ที่เป็นผู้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้ได้รับการแต่งตั้ง ตามคำสั่งของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ปรึกษา (สบ 10) เมื่อครั้งยังรักษาราชการแทนในห้วงที่ ผบ.ตร.ไปปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ภท.ปูดสุเทพ-นิพนธ์ล็อบบี้2ครั้ง

รายงานข่าวจากแกนนำพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่าง ภท.กับนายอภิสิทธิ์ ในการเสนอชื่อ ผบ.ตร.คนใหม่ หลังนายชวรัตน์โหวตสวนนายกรัฐมนตรี กลางที่ประชุม ก.ต.ช. เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ว่า สาเหตุที่นายชวรัตน์โหวตสวนนายกรัฐมนตรี เนื่องจากได้รับแจ้งจากนายสุเทพ และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สนับสนุน พล.ต.อ.จุมพลขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. โดยก่อนจะถึงวันประชุมก.ต.ช. แกนนำทั้ง 2 พรรคได้หารือร่วมกันถึง 2 ครั้ง แต่พอถึงวันประชุม ก.ต.ช. นายอภิสิทธิ์กลับเสนอชื่อพล.ต.อ.ปทีปพิจารณาเพียงชื่อเดียว อีกทั้งนายสุเทพและนายนิพนธ์ก็ไม่เคยเตี๊ยมกับแกนนำ ภท.มาก่อนว่าหากนายกรัฐมนตรีเสนอชื่อแคนดิเดตเพียงรายเดียว จะให้โหวตอย่างไร จึงเป็นปัญหาการผิดคิวกันเองของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ไม่เกี่ยวกับ ภท.

ในการประชุม ก.ต.ช. นายนพดล อินนา ก.ต.ช.ผู้ทรงคุณวุฒิ อดีตรองเลขาธิการของ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ สมัยเป็นรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ค้านนายกรัฐมนตรีกลางที่ประชุมว่าต้องนำเสนอชื่อมากกว่า 1 ชื่อ เพราะตามกฎหมายเขียนว่าเสนอชื่อเพื่อให้ ก.ต.ช.พิจารณาคัดเลือกแต่นายกรัฐมนตรียืนกรานเสนอชื่อเดียว การลงมติจึงเป็นการโหวตในประเด็นว่าเห็นด้วยกับการเสนอชื่อเดียวหรือไม่ มติ ก.ต.ช.ที่ออกมาจึงเป็นการตีตกเรื่องการเสนอชื่อเดียว ไม่ใช่ตีตกชื่อของ พล.ต.อ.ปทีป นั่นหมายความว่านายกรัฐมนตรีมีสิทธิเสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีปกลับเข้าสู่การพิจารณาของ ก.ต.ช.ได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม จนขณะนี้นายสุเทพและนายนิพนธ์ยังไม่ได้แจ้งเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเดิมเรื่องการผลักดัน พล.ต.อ.จุมพลขึ้นเป็น ผบ.ตร.แต่อย่างใด แหล่งข่าวกล่าว

เผยจ๋อยเป็นฉายาเพื่อนตั้ง

เวลา 10.00 น.วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายสมศักดิ์ บุญทอง คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ผู้ทรงคุณวุฒิ ในฐานะประธานอนุ ก.ตร.คณะพิเศษตรวจสอบการซื้อขายตำแหน่ง ประชุมคณะอนุ ก.ตร.เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริง โดยเรียก พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 (ผบช.ภ.4) และ พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) มาให้การ

ซึ่ง พล.ต.ท.ธีระเดชให้สัมภาษณ์ก่อนให้ปากคำกับคณะอนุกรรมการว่า เหตุผลที่ตำรวจอยากมาสังกัด บช.ส.เพราะงานของสันติบาลเป็นงานอิสระ ไม่ต้องเข้าระบบมากนัก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เป็นที่นิยมของตำรวจที่ไม่ชอบใส่เครื่องแบบ และมีโอกาสได้ไปทำงานในภูมิลำเนาของตัวเอง เมื่อถามว่า มีตั๋วฝากมาบ้างหรือไม่ พล.ต.ท.ธีระเดชกล่าวว่า คราวนี้ไม่มีเลย เพราะครั้งนี้ไม่ได้เปิดกว้าง อำนาจในการออกคำสั่งเป็นของ ผบ.ตร. วันนี้นำหลักฐานที่เป็นบัญชีที่นำเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาชี้แจงว่าทำไมถึงเสนอบุคคลนี้ และยืนยันว่าไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง เพราะคนที่มาอยู่ บช.ส. ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่มีผลประโยชน์

ช่วงนี้ไม่ปรากฏเด็กฝาก แต่ที่ผ่านมามีบ้าง ผสมผสานกัน การเมืองก็ฝาก ข้าราชการเก่าก็ฝาก ระบบตรงนี้ต้องว่ากันในภาพรวม และไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ตอนนี้มีแต่คนไม่พอกับตำแหน่ง ช่วยไปสืบด้วยถ้าเผื่อมีข่าวว่าใครรับเงินมาให้ ผบช. ถ้าพิสูจน์ได้ไม่ต้องมาตั้งกรรมการ ผมจะลาออกเลย ช่วยกันสืบหน่อยว่าสันติบาลมีเสียเงินหรือไม่ ผบช.ส.กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้จัก จ๋อย หรือไม่ พล.ต.ท.ธีระเดชกล่าวว่า ถ้าหมายถึงคนนั้นเราก็เรียกกันมาตั้งแต่นักเรียนเตรียมทหารที่เพื่อนตั้งฉายานั้น เพราะอยู่ที่ไหนก็ได้ยินเสียงแจ๋วๆ เพื่อนเลยเรียกกันว่า ไอ้จ๋อยๆ มีคนบอกแล้วว่าเป็นใคร ซึ่งในรุ่นตั้งฉายากัน ตนก็มีฉายาที่เพื่อนเรียกกันว่า ไอ้โหนก เพราะหัวโหนก

เผยผลสอบเป็นผลดีกับตำรวจทำงาน

ด้าน พล.ต.อ.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ในฐานะโฆษกคณะอนุกรรมการแถลงผลการประชุมว่า เรียกผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ผบช.ภ.4 และ 5 ผบช.ส. ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน มาให้ข้อมูลเรื่องการทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายตามโครงสร้างใหม่ แนวโน้มการสอบสวนมีประโยชน์ต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายที่เป็นธรรมกับตำรวจ เมื่อทำงานแล้วก็จะได้รับการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายอย่างเป็นธรรม อย่างไรก็ตาม สำหรับระยะเวลาในการสอบสวนของคณะอนุกรรมการ หากไม่เพียงพอก็คงขยายเวลาการสอบสวนซึ่งไม่ได้กำหนดว่าจะขยายได้กี่วัน ถ้าเห็นว่าเพียงพอเหมาะสมเราจะเสนอเลย แต่ถ้าไม่เพียงพอต้องสอบเพิ่มเติมก็ต้องขยายเวลาไปอีก การสอบมุ่งไปที่การซื้อขายตำแหน่ง ไม่เกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์ และในวันที่ 26 สิงหาคม ก็จะเรียกสอบเพิ่มอีกซึ่งก็คงได้อีกหลายคน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook