คำแถลงของสำนักพระราชวังและการส่งเรื่องให้รัฐบาล พิจารณาถวาย ความเห็น ย่อมเป็นขั้นตอนการปฏิบัติโดยปกติ ซึ่งรัฐบาลก็มีวิธีการขั้นตอน ที่อาศัยหลักกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ เป็นแนวทางการพิจารณา และคงได้เห็นแนวทางกันบ้างแล้ว จากคำอธิบายที่มีมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวว่า หลัง เสร็จสิ้นการถวายฎีกา ก็จะไม่ก้าวล่วง แต่ นปช. และแดงทั้งแผ่นดินจะเคลื่อน ไหวตามเป้าหมายเดิม ยังต่อสู้ต่อไป คือ ต่อสู้กับอำมาตยาธิปไตยและขับไล่ รัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลผลิตอำมาตยาธิปไตย ด้วยกิจกรรมรูปแบบต่าง ๆ การจัดสัมมนาทั่วประเทศ โดยเฉพาะการจัดชุมนุมใหญ่ ใน กทม. และภูมิภาค และจะไม่ยอมรับการบริหารของรัฐบาลชุดนี้
การถวายฎีกาครั้งนี้ ไม่ว่ากลุ่มแกนนำผู้ยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะอ้างเหตุอย่างใดก็ตาม แต่ความเห็นของประชาชนส่วนหนึ่งเชื่อว่าเป็นการกระทำที่หวังผลทางการเมือง โดยมหาวิทยาลัย ราชภัฏสวนดุสิต ได้สำรวจความเห็นประชาชน 3,094 คน ในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด 21 จังหวัด ส่วนใหญ่เชื่อว่าการร่วมกันถวายฎีกาและคัดค้านการถวายฎีกา เป็นเกมการเมืองถึง ร้อยละ 37.17 รองลงมาเชื่อว่าเป็นการกระทำลักษณะตาต่อตาฟันต่อฟัน มุ่งแต่เอาชนะจนอาจทำให้เกิดความวุ่นวาย ร้อยละ 28.93
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 วางหลักว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ พสกนิกรทั้งปวงย่อมทราบดีว่า ทรงอยู่เหนือบทบาท อำนาจใด ๆ ทางการเมือง แต่ก็เกิดปัญหาที่สุ่มเสี่ยงต่อการจะถูกก้าวล่วง ทั้งมีแนวโน้มว่าความแตกแยกแบ่งฝ่ายจะไม่สิ้นสุดลงง่าย ๆ ส่วนหนึ่งเพราะรัฐบาลยังไม่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งที่มีอยู่ได้ เนื่องจากประชาชนส่วนหนึ่งเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นจากอำนาจและต้องคดีความจนต้องไปอยู่นอกประเทศเพราะถูกรัฐประหาร จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องใช้ความระมัดระวังการดำเนินการต่าง ๆ ในช่วงต่อจากนี้ ที่จะมิให้เป็นชนวนการกระทบกระทั่งใด ๆ พร้อมกัน มีสิ่งที่ควรจะเร่งรัดก็คือการจัดการกับการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัด ให้ดีกว่าที่แล้วมา เพราะสถานการณ์อาจจะเลวร้ายลงไปอีกได้.