รำพันจากก้นบึ้งหัวอกคนเป็นแม่

รำพันจากก้นบึ้งหัวอกคนเป็นแม่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ใจสลายไม่ได้ ''ดอกมะลิ'' ลูกถูกจับปาหิน

เห็นข่าวในทีวีลูกคนอื่นเขานำดอกมะลิ มาไหว้แม่ แต่แม่ต้องมาเฝ้าลูกชายหน้าห้องขังแทน อย่างไรเสีย ในช่วงเคราะห์ร้ายก็มีความโชคดีเพราะลูกชายสัญญาว่าจะกลับตัวกลับใจและเชื่อฟังแม่ จึงขอให้ลูกให้ความร่วมมือกับตำรวจทุกอย่าง

เสียงระบายความในใจของ มารดาของหนึ่งในวัยรุ่นแก๊งปาหินใน อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร ซึ่งกล่าวด้วยน้ำตานองหน้า หลังจาก นายบ่าว (นามสมมุติ) บุตรชายวัย 16 ปี วันนี้กลายเป็นผู้ต้องหาในคดีปาหินรถเทรเลอร์ 22 ล้อ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. ที่ผ่านมาถูกจับกุมและถูกคุมขังบนโรงพัก เพื่อรอส่งฟ้องศาล

ย้อนกลับไปในวันที่เกิดเหตุ ได้มีคนร้าย 3 คน ใช้ขวดน้ำอัดลมขนาดลิตร ขว้างใส่ รถพ่วงเทรเลอร์ 22 ล้อ ทะเบียน 74-7808 กรุงเทพมหานคร บนถนนสายเอเซีย 41 หลัก กม.ที่ 544 หมู่ 6 ต.ทุ่งตะไคร อ.ทุ่งตะโก ทำให้กระจกหน้ารถแตกและร้าวทั้งบาน แต่โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ

ต่อมา หลังเป็นข่าวครึกโครม นายบ่าว ได้สารภาพความผิดกับมารดาว่าตัวเองได้ร่วม ก่อเหตุขึ้น โดยยอมรับว่าวันเกิดเหตุ ได้ไป ดื่มสุรากับเพื่อน คือ นายเอ็ม และ นายต้น อายุ 17 ปี ทั้งคู่นามสมมุติ และได้ใช้ขวดน้ำ อัดลมขนาดลิตรปาใส่กระจกหน้ารถเทรเลอร์ 22 ล้อ

สาเหตุเนื่องจากหลังดื่มกินจนเต็มคราบแล้ว ได้พากันเดินเท้ากลับบ้าน แต่ระหว่างทาง ได้แวะปัสสาวะริมถนน ถูกไฟจากรถบรรทุกที่วิ่งผ่านไปมาส่องหน้า จึงเกิดความหมั่นไส้ ประกอบ กับความเมา นายเอ็ม หนึ่งในกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกัน จึงคว้าขวดน้ำอัดลมปาใส่กระจกหน้ารถพ่วง 22 ล้อที่วิ่งผ่านมาอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ จนกระจก หน้าแตกได้รับความเสียหาย

หลังมารดานายบ่าวทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงตัดสินใจแจ้งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่รับทราบ และพาลูกชายเข้ามอบตัว เพราะไม่อยากให้ลูกต้อง อยู่อย่างหวาดผวา หรือถลำลึกกระทำผิดไปมากกว่านี้

เธอบอกกับลูกชายอย่างเด็ดเดี่ยวว่า หาก ลูกทำผิดก็ต้องยอมรับผิด !

ต่อมาในเช้าวันที่ 9 ส.ค. ร.ต.อ.นรินทร์ พุ่มสวัสดิ์ ร้อยเวร สภ.ทุ่งตะโก เดินทางมารับตัวนายบ่าว อายุ 16 ปี ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันปาขวดน้ำอัดลมใส่รถเทรเลอร์ 22 ล้อ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. มาสอบปากคำ โดยผู้ต้องหาวัยโจ๋ยอมรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาว่า ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและทำให้เสียทรัพย์ ส่วนนายเอ็มมือปาและนายต้น พนักงาน สอบสวนได้ขออนุมัติหมายจับแล้ว ขณะนี้ทราบว่าทั้งสองหลบหนีขึ้นภูเขาในพื้นที่ตำบลช่องไม้แก้ว เจ้าหน้าที่จึงระดมกำลังนอกเครื่องแบบเฝ้ารอทางลงภูเขาทุกเส้นทาง

หัวอกแม่รายนี้ยังฝากถึงวัยรุ่นทุก ๆ คนว่า อย่าเลียนแบบพฤติกรรมอย่างนี้กันอีกเลย ขอให้หยุดเสีย เพราะทำให้แม่ทุกคนต้องเสียใจ

ด้านนายบ่าว วัยรุ่นอายุ 16 ปี ที่หลงผิด ก่อเหตุด้วยความเมาประกอบกับความคึกคะนองเพราะอยู่กับเพื่อน ๆ กล่าวว่า เสียใจมากที่ทำให้แม่ร้องไห้ วันแม่แห่งชาติปีนี้แม้จะผ่านไปแล้ว ผมขอถือโอกาสกลับตัวกลับใจ ผมเคยดื้อำให้เสียใจจากนี้ไปจะหยุดแล้ว และขอให้เพื่อนที่ร่วมก่อเหตุอีก 2 คน อย่าหลบหนี เลย เพราะหนีไม่พ้นหรอก ขอให้มามอบตัว โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา

นี่คืออีกหนึ่งมุมมอง ที่ วันแม่ ที่ผ่าน มา มารดาบังเกิดเกล้า ของนายบ่าวที่จะไม่มีโอกาสได้รับ ดอกมะลิ สัญลักษณ์ในวันแม่เหมือนคนอื่น ๆ

สำหรับความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับมารดาของนายบ่าว หลังจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนถูกจับกุมดำเนินคดีข้อหาหนัก คงไม่มีคำพูดใดมาอธิบายถึงความเสียใจจากก้นบึ้งได้

ส่วนนายบ่าวที่หลงผิดก่อเหตุด้วยความคึกคะนองด้วยความเมา คงต้องไปชดใช้กรรมที่ก่อขึ้นในตะราง

แต่ยังดีที่ผู้ต้องหาเป็นเยาวชน มีโอกาสกลับตัวกลับใจ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้

แม้ว่าในปีนี้ มารดาของนายบ่าวจะไม่ได้ดอกมะลิ แต่เธอยังมีความหวัง รอวันเวลาที่ลูกชายพ้นโทษออกมา จะกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีของแม่ ตามที่ได้พูดไว้

อย่างไรก็ดี หากวิเคราะห์พฤติกรรม แก๊งปาหิน หรือปาของแข็งใส่ยวดยานพาหนะในพื้นที่ ภาคใต้ นับว่าเกิดขึ้นอย่างถี่ยิบ

โดยเหตุการณ์ลำดับต้น ๆ เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 1 ส.ค. มีรถยนต์ถูกปาหินเสียหายถึง 4 คันรวด บนถนนเพชรเกษม ขาเข้ากรุงเทพฯ บริเวณหลัก กม.ที่ 488-489 ถนนเพชรเกษม ต.นากระตาม อ.ท่าแซะ

ถัดมา วันที่ 5 ส.ค. นายจิตต์กรณ์ มาเห็ม อายุ 27 ปี คนขับรถบรรทุกเทรเลอร์ 22 ล้อ ทะเบียน 81-8771 นนทบุรี แจ้งตำรวจกองกำกับการ 2 ตำรวจทางหลวง 4 ชุมพร ว่า ขณะขับรถบรรทุกปูนซีเมนต์จากจังหวัดสระบุรี เพื่อไปส่งที่จังหวัดระนอง มาตามเส้นทางเพชรเกษม ขาล่องใต้ หลัก กม.472 หมู่ 3 ต.ทรัพย์อนันต์ อ.ท่าแซะ ถูก 2 คนร้าย ขี่ จยย.ย้อนศรและเปิดไฟสูงใช้ก้อนหินขว้างใส่กระจกหน้ารถแตกเสียหาย

นอกจากนี้ ยังมีรถอีกคันถูกปาหิน ห่างจากจุดแรกประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นรถกระบะสีน้ำเงิน ทะเบียน บล 757 อุดรธานี ของ นายนิรันทร์ บุตรอ่อน อายุ 32 ปี ขณะขับรถไปทำธุระที่ จ.ภูเก็ต โดยกระโปรงหน้ารถด้านซ้ายเป็นรอยบุบ และก้อนหินยังกระเด็นไปถูกกระจกหน้ารถด้านซ้ายจนเป็นรอยร้าวเล็กน้อย

ต่อจากนั้นคือวันที่นายบ่าวร่วมกับเพื่อนรวม 3 คน ใช้ขวดน้ำอัดลมขว้างใส่กระจกรถเทร เลอร์ 22 ล้อ เพราะความเมา

ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ส.ค. เกิดเหตุคนร้ายใช้หนังสติ๊กยิงใส่รถ 2 คัน บนถนนเพชรเกษม ช่วงหลัก กม.ที่ 469-470 หมู่ที่ 6 ต.ทรัพย์อนันต์ อ.ท่าแซะ ทำให้รถยนต์โตโยต้า ทะเบียน ก-2346 สมุทรสงคราม มี นายโกศล ล่องแดง อายุ 29 ปี เป็นคนขับ และรถกระบะ ยี่ห้อโตโยต้า ทะเบียน บน 2195 ชุมพร มี นายสมบัติ ขำคารม อายุ 44 ปี เป็นคนขับ

แม้ว่ารถทั้งสองคันจะไม่ได้รับความเสียหาย แต่ก็ทำให้คนขับรถและผู้โดยสารได้รับความหวาดผวา เพราะคนร้ายก่อเหตุอย่างอุกอาจ ด้วยการขี่ จยย.ย้อนศร และใช้หนังสติ๊กยิงใส่รถทั้ง 2 คันในเวลาไล่เลี่ยกัน

ที่สำคัญ คดีนี้เกิดขึ้นได้เพียง 2 วัน หลังจาก นายการันย์ ศุภกิจวิเลขการ ผวจ.ชุมพร นายเหนือชาย จีระอภิรักษ์ รอง ผวจ.ชุมพร พล.ต.ต.อภิชาติ เชื้อเทศ ผบก.ภ.จว.ชุมพร พ.ต.อ.ชำนาญ แทนม้วน ผกก.สภ.ท่าแซะ พ.ต.ท.ธานี นาค รอง ผกก.สส.ฯ ได้ร่วมกันจับกุม นายสิทธิ อายุ 16 ปี และ นายชัย อายุ 17 ปี (ทั้งสองนามสมมุติ) ผู้ต้องหาในคดีปาหินพื้นที่ สภ.ท่าแซะ โดยจับกุมได้ที่หน้าบ้านพักของผู้ต้องหาทั้งสองราย ใน ต.ทรัพย์อนันต์ อ.ท่าแซะ ซึ่งทั้งคู่ยอมรับว่าทำไปเพราะความเมาและคึกคะนอง

ท้ายที่สุดแล้ว จากคดีของนายบ่าวและ

ผู้ต้องหาคนอื่น ๆ คงพอเป็นอุทาหรณ์ ให้วัยรุ่นที่คึกคะนองทั้งหลาย ได้ฉุกคิดเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะก่อเหตุขึ้น ว่าหากพลั้งพลาดลงมือทำผิดไป จะทำให้คนที่อยู่ข้างหลัง โดยเฉพาะพ่อแม่เสียใจมากเพียงไหน และที่สำคัญอาจไม่มีโอกาส แก้ตัวได้

เชื่อว่าเมื่อคิดได้แล้ว คดีอุกฉกรรจ์ปาหินคงลดลงได้บ้าง ไม่มากก็น้อย.

พ.ต.ต.สุรพงษ์ ชาติสุทธิ์ สว. ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร.สน. จว.ยะลา นักสืบหนุ่มไฟแรง กล่าวถึงกรณี คนร้ายปาหิน ว่ามีการพัฒนาเป็นลำดับ พอจะแยกตามลำดับเวลา และแรงจูงใจในการก่อเหตุได้ดังนี้ คือ

1.คดีถูกก่อขึ้นเพราะคนร้ายมีแรงจูงใจประสงค์ต่อทรัพย์ โดยปาหินใส่รถที่ใช้ความเร็ว ทำให้เกิดอุบัติเหตุ จากนั้นจะฉวยโอกาสเข้าไปลักทรัพย์สินของผู้เสียหายขณะที่เกิดเหตุชุลมุน มีข้อสังเกต คือ คนร้ายจะเลือกก่อเหตุบนถนนสายหลัก ที่รถใช้ความเร็วสูง เช่นถนนสาย เอเซีย หรือถนนสายมิตรภาพ

2.คดีที่เกิดขึ้นจากอารมณ์ กรณีนี้มักจะเกิดขึ้นในสภาพการที่บีบบังคับให้ จยย.ต้องวิ่งสวนทางเพราะไม่มีจุดกลับรถหรือมีแต่ไกลมาก ๆ เมื่อ จยย.วิ่งย้อนมา รถยนต์ทางตรงไม่ยอมลดไฟให้ เปิดไฟสูงใส่ตากัน เลยเกิดอารมณ์ ขว้างปาสิ่งของใส่กัน เหตุการณ์ปาหินจึงเกิดขึ้นให้เห็นประจำ

3.คดีที่เกิดขึ้นด้วยความคึกคะนอง ก่อเหตุโดยไม่หวังต่อทรัพย์ อาจเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่เมาสุราและชักชวนกันไปก่อเหตุขึ้น จากนั้นจะนอนรอฟังผลงานตัวเองจากสื่อต่าง ๆ ที่นำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือน ดาบสองคม ดังนั้นสื่อควรนำเสนอคดีอาชญากรรมดังกล่าว ที่มีคมอันตรายอีกด้านหนึ่งอย่างระมัดระวัง.

พงษ์พิพัฒน์ จินดาศรี

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook