ทส.ยอมถอนพื้นที่อช.ให้วัด3แห่ง
สำหรับพื้นที่อุทยานฯ ซึ่งเป็นที่พักของสงฆ์ทั้ง 3 แห่งนั้น ครม.เห็นว่าได้ก่อสร้างอย่างมั่นคงถาวรเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ยังไม่มีสถานภาพเป็นวัด ตามมาตรา 31 แห่งพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ.2535 เนื่องจากสถานที่ตั้งที่พักสงฆ์ อยู่ในพื้นที่ที่ทางราชการกำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งเป็นปัญหายุ่งยากที่ทำให้ยังไม่ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดิน ที่จะใช้ประกอบเรื่องขออนุญาตสร้างวัด ตั้งวัด ตามขั้นตอนและวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวงฉบับที่ 1 (พ.ศ.2507) ที่ออกตามความในพ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 แต่ด้วยเหตุผลและความจำเป็นที่สมควรจะได้ดำเนินการให้ที่พักสงฆ์ดังกล่าวเป็นวัดโดยสมบูรณ์ เพื่อเป็นที่พักอาศัยและประกอบศาสนกิจได้ และเป็นประโยชน์ในการช่วยอนุรักษ์ป้องกันการบุกรุกป่าไม้ และทรัพยากรธรรมชาติได้เป็นอย่างดี จึงจำเป็นต้องขอให้เพิกถอนพื้นที่ที่ตั้งที่พักสงฆ์ ออกจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เพื่อให้สำนักพุทธศาสนาดำเนินการจัดตั้งวัด
น.พ.ภูมินทร์กล่าวว่า ระหว่างการพิจารณานายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ เสนอว่า กระทรวงมีโครงการพุทธอุทยานที่จะให้ศาสนากับป่าอยู่ร่วมกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องขับไล่วัดออกจากป่า หรือให้เพิกถอนพื้นที่อุทยานฯ แต่จะให้วัดกับป่าอยู่ร่วมกัน โดยพระจะดูแลอนุรักษ์พื้นที่ป่า ในส่วนที่เป็นสำนักสงฆ์และบริเวณโดยรอบ ดังนั้นจึงยืนยันว่า ไม่มีการไล่พระออกจากป่าที่ขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานแห่งชาติ ตามที่มีข่าวอย่างแน่นอน
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมครม.ระหว่างการพิจารณาวาระเรื่องการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อจัดตั้งวัดนั้น นายสุวิทย์ได้รายงานให้ครม.ทราบถึงข่าวที่ระบุว่าทส.จะไปไล่พระออกจากป่า โดยการผลักดันสำนักสงฆ์หรือวัดที่อยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ออกไป เพราะถือว่าผิดกฎหมายว่า ยืนยันว่าไม่ใช่การขับไล่ แต่จะทำโครงการให้วัดกับป่าอยู่ด้วยกันได้ ตามโครงการพุทธอุทยาน
ส่วนการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อสร้างวัดนั้น จะเพิกถอนเพียง 3 แห่ง ที่เสนอเข้าครม.ในวันนี้เป็นครั้งสุดท้าย คืออุทยานแห่งชาติผาแต้ม (บางส่วน) เพื่อจัดตั้งวัดบ้านทุ่งนาเมือง จ.อุบลราชธานี อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย (บางส่วน) เพื่อจัดตั้งวัดดอยปุย จ.เชียงใหม่ และพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูซาง (บางส่วน) เพื่อจัดตั้งวัดพระธาตุขุนบง จ.พะเยา
(กรอบบ่าย)
#### ๏ฟฝ ๏ฟฝ ๏ฟฝ ๏ฟฝ ๏ฟฝ ๏ฟฝ