ไข้หวัดใหญ่2009คุกคามทั่วไทย

ไข้หวัดใหญ่2009คุกคามทั่วไทย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
ตายเพิ่ม-ป่วยพุ่งไม่หยุด...สุดอันตราย!

นับวันสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ เอช 1 เอ็น 1 หรือไข้หวัดใหญ่ 2009 ยิ่งแพร่ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้นทุกที แต่ละวันปริมาณผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็นทวีคูณ แม้รัฐบาลนำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี หารือถึงแนวทางป้องกันเข้มงวดแค่ไหนหรือร่วมกันรณรงค์ถี่ยิบเพียงใด ดูเหมือนไม่ได้ผลเท่าที่ควร ปริมาณผู้ติดเชื้อไม่มีทีท่าจะลดลงเลยแม้แต่น้อย จนประเทศไทยนำลิ่วสู่อันดับ 1 ในเอเชียที่มีการแพร่ระบาดมากที่สุด

การระบาดของโรคนี้ไม่มีทีท่าจะหยุดยั้งง่าย ๆ จนองค์การอนามัยโลก (ฮู) ต้องออกมาประกาศยกระดับความเสี่ยงภัยของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 พุ่งถึงระดับ 6 ขั้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ไม่ต่างกับโรคร้าย ๆ ที่เคยระบาดมาก่อนหน้านี้ เช่น โรคซาร์ส เป็นต้น

ทั้งนี้ยังไม่สามารถระบุเป็นตัวเลขที่ชัดเจนว่าประชากรทั่วโลกติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ไปแล้วกี่รายกันแน่ แต่ข้อมูลอ้างอิงจากสำนักข่าวต่างประเทศ คาดการณ์กันว่า สหรัฐอเมริกา เป็นแหล่งที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ มีผู้เสียชีวิตไปแล้วไม่ต่ำกว่า 170 ราย จนรัฐบาลสหรัฐไม่สามารถนิ่งเฉยต่อไปได้ ที่ผ่านมา นางแคเธอรีน ซีเบลิอุส รมว.สาธารณสุขและบริการมนุษย์ของสหรัฐ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลสหรัฐจะสนับสนุนเงินประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 35,000 ล้านบาท เพื่อทำการรวบรวมส่วนประกอบในการผลิตวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอช 1 เอ็น 1 โดยบรรจุเรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือชาวอเมริกันให้ปลอดภัยจากโรคร้ายรวม ทั้งประชากรของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกก็หวังจะได้รับอานิสงส์จากการผลิตวัคซีนลอตนี้ด้วย

ปัจจุบันโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ลุกลามขยายวงกว้างมากขึ้นทุกขณะ หลายประเทศล้วนล้มป่วยทั่วหน้าไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ ซาอุดีอาระเบีย สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ บราซิล ชิลี อาร์เจนตินา โคลัมเบีย เม็กซิโก ฯลฯ ประเมินสถานการณ์ว่าทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อเกือบ 100,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 429 ศพ

โรคไข้หวัดใหญ่ 2009 สามารถติดเชื้อกันได้ทุกชนชั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ดี เศรษฐี หรือยาจก ล้วนอยู่ในภาวะเสี่ยงการติดเชื้อทั้งสิ้น แม้แต่นักเรียนนายเรืออากาศชั้นปีที่ 1 ของโรงเรียนนายเรืออากาศกองทัพอากาศสหรัฐจำนวน 121 คน ซึ่งสุขภาพแข็งแรงมาก ๆ ก็มีอาการคล้ายติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ จนต้องถูกคัดกรองแยกจากเพื่อนร่วมชั้นเรียน นำไปพักเฝ้าดูอาการในหอพักที่ฐานทัพใกล้เมืองโคโลราโด สปริงส์

แม้กระทั่ง นายไมเคิล ยาคอปส์ ที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายภาวะโลกร้อนของ นายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก็มีอาการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 ระหว่างเดินทางไปปฏิบัติภารกิจในประเทศเม็กซิโก จนถูกห้ามไม่ให้เดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม จี-8 (กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ) ที่ประเทศอิตาลีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาอีกด้วย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ในประเทศไทยเองก็ย่ำแย่ไม่แพ้ประเทศอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ 2009 อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

ในจำนวนผู้ติดเชื้อมีบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ รวมทั้งศิลปินดารา นักร้องนักแสดงล้วนล้มป่วยกันระนาว เช่น ดาราสาวสวย แอริน- สิริภรณ์ ยุกตะทัต อีฟ-พุทธิดา ศิระฉายา ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของ เศรษฐา ศิระฉายา และ อรัญญา ศิระฉายา ดารานางแบบเซ็กซี่ เป้ย-ปานวาด เหมมณี นักร้องขวัญใจวัยโจ๋ เชน-ธนา ลิมปยารยะ วงไนซ์ทูมีทยู แก้ม เดอะสตาร์ 4 -วิชญาณี เปียกลิ่น และดาราพิธีกรชื่อดัง โอปอลล์-ปาณิสรา พิมพ์ปรุ ล่าสุด นาตญา ดวนจันทึก นักกีฬาฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย ก็ป่วยเป็นไข้หลายวันระหว่างเข้าแคมป์ฝึกซ้อมฟุตบอลจนโค้ชต้องสั่งปิดแคมป์ และประสาน รพ.รับตัวไปพักฟื้นเฝ้ารอดูอาการอย่างใกล้ชิด

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 52 ที่ผ่านมา จากสถิติจะเห็นว่าปริมาณยอดผู้ป่วยสะสมมีจำนวนถึง 1,132 ราย และมีผู้เคราะห์ร้ายประเดิมเสียชีวิตเป็นรายแรก ถัดมาวันที่ 27 มิ.ย. 52 เพียงวันเดียว ยอดผู้ป่วยสะสมเพิ่มเป็น 1,209 ราย มีผู้ติดเชื้อเสียชีวิตเป็นศพที่สอง และวันที่ 28 มิ.ย. ยอดผู้ป่วยสะสมพุ่งเป็น 1,289 ราย แต่ไม่มีใครเสียชีวิต ยอดผู้เสียชีวิตยังอยู่แค่ 2 ราย

ถัดมาวันที่ 29-30 มิ.ย. 52 ปริมาณผู้ติดเชื้อสะสมเป็น 1,330 ราย และ 1,414 ราย ตามลำดับ มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเพียง 1 ราย ทำให้ยอดรวมเป็น 3 ราย แต่แล้ววันที่ 1 ก.ค. 52 ย่างเข้าเดือนใหม่ ยอดผู้ติดเชื้อสะสมพุ่งเป็น 1,473 ราย มีผู้เสียชีวิมอีก 2 ราย ส่งผลยอดเสียชีวิตสะสมเป็น 5 ราย และวันที่ 2 ก.ค. 52 ปริมาณผู้ติดเชื้อเป็น 1,556 ราย ยอดผู้เสียชีวิตเท่าเดิมคือ 5 ราย

ต่อมาวันที่ 3-4 ก.ค. 52 ยอดผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มเป็น 1,710 ราย และ 1,845 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่มวันละ 1 ราย ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมเพิ่มเป็น 7 ราย ส่วนวันที่ 5-6 ก.ค. 52 ยอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมเพิ่มถึง 2,076 ราย และ 2,272 ราย ตามลำดับ ทั้ง 2 วันไม่มีผู้เสียชีวิต แต่อย่างใด ยอดผู้เคราะห์ร้ายยังคงที่คือเสียชีวิต 7 ราย

กระทั่งวันที่ 7 ก.ค. 52 ยอดผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นถึง 2,428 ราย คราวนี้มีผู้ติดเชื้อเสียชีวิตเพิ่ม 4 รายรวด ส่งผลให้ยอดผู้เคราะห์ร้ายพุ่งพรวดเป็น 11 รายในทันที และวันที่ 8 ก.ค. 52 มียอดผู้ป่วยสะสม 2,714 ราย ไม่มีใครเสียชีวิต

วันที่ 9 ก.ค. 52 ไข้หวัดใหญ่ 2009 ยังแพร่เชื้อร้ายไม่หยุด มียอดผู้ติดเชื้อสะสมเป็น 2,925 ราย มีผู้เสียชีวิต เพราะรักษาไม่ทันอีก 3 ราย รวมยอดตายสะสมเป็น 14 ราย และวันที่ 10 ก.ค. 52 ยอดผู้ป่วยสะสมเพิ่มสูงลิ่วเป็น 3,071 ราย มีผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิต 1 ราย ยอดผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิตสะสมเพิ่มเป็น 15 ราย

ไล่เรียงถัดมาวันที่ 11 ก.ค. ยอดผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 3,228 ราย ตายเพิ่มอีก 1 ราย ทำให้ยอดเสียชีวิตสะสมเป็นทั้งหมด 16 ราย วันที่ 12 ก.ค. ผู้ติดเชื้อสะสมทะยานไม่หยุดยั้งอยู่ที่ 3,555 ราย มีตายเพิ่ม 3 ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมรวมเป็น 19 ราย และวันที่ 13 ก.ค. 52 ผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 3,883 ราย มีผู้ติดเชื้อตายอีก 2 ราย ยอดเสียชีวิตสะสมขยับเพิ่มที่ 21 ราย

ตบท้ายด้วยวันที่ 14 ก.ค. 52 ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งพรวดไม่หยุดยั้งเป็น 4,057 ราย ตายเพิ่มอีก 3 ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมกลายเป็น 24 ราย จนกระทรวงสาธารณสุขต้องออกมาประกาศงดแถลงข่าวและแจ้งรายละเอียดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต โดยขอเปลี่ยนไปแถลงข่าวสัปดาห์ละ 1 ครั้งแทน

จากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ พล.ต. สนั่น ขจรประ ศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ไปร่วมทำงานกับ นาวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ดำเนินการแก้ไขและป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ซึ่ง พล.ต.สนั่น มีแนวคิดเสนอของบประมาณ 10 ล้านบาท จัดซื้อหน้ากากจำนวน 10 ล้านชิ้น ไว้แจกให้นักเรียน เยาวชนและประชาชนทั่วไป ส่วน รมว.สาธารณสุข ก็ปิ๊งไอเดียจัดซื้อเทอร์โมมิเตอร์หรือปรอทวัดไข้มาใช้งานเพิ่ม

ในส่วนการป้องกันต่าง ๆ รัฐบาลมอบนโยบายให้หลายหน่วยงาน ทำการสุ่มตรวจหาผู้ติดเชื้อ ป้องกันการแพร่ระบาด รณรงค์ทำความสะอาด หลีกเลี่ยงไปอยู่ในที่ชุมชนหรือคนพลุกพล่านและส่วนกรุงเทพมหานครก็ขานรับนโยบายสั่งปิดโรงเรียนในสังกัดชั่วคราว 15 วัน เร่งทำความสะอาดและฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อโรค โดยมั่นใจระดับหนึ่งว่าหากคนอยู่บ้านจะสามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้ในระดับหนึ่ง แม้ไม่มากแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

อย่างไรก็ตามภายหลังการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 รศ.ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าหน่วยไวรัสวิทยาและจุลชีววิทยาโมเลกุล คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ได้ให้สัมภาษณ์ไว้อย่างน่าสนใจว่า รพ.รามาธิบดี ได้เก็บตัวอย่างที่ส่งตรวจประมาณ 10,000 ตัวอย่าง ในจำนวนนี้ 50% ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ และใน 50% นี้พบว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ถึง 80% ส่วนอีก 20% เป็นไข้หวัดตามฤดูกาล

นั่นหมายความว่าวันนี้มาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ไม่สามารถทำได้ พูดง่าย ๆ ว่านโยบายไม่ทะลุเป้า โรคนี้ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งได้ง่าย ๆ เสียด้วย ดังนั้นฝากเตือนประชาชนคนไทยคงต้องระมัดระวังตัวเองให้ปลอดภัยจากโรคร้ายเอาเอง จะหวังพึ่งใครไม่ได้ทั้งนั้น

สงสัยว่าติดเชื้อรีบไปพบแพทย์ในทันที อย่ารอช้าหรือชะล่าใจ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองและคนในครอบครัว.

''ดารา-นักร้อง'' พาเหรดแนะดูแลสุขภาพ

แอริน-สิริภรณ์ ยุกตะทัต ดาราสาวอีกผู้หนึ่งที่ติดเชื้อไข้หวัด 2009 กล่าวว่า ตนไม่ได้ดูแลตัวเองมาตั้งแต่ต้น เพราะที่ผ่านมาถ่ายละคร ฮีโร่ 1000 รัก ตลอด แม้กระทั่งป่วยก็ไม่รู้ตัวว่าเป็นไข้หวัด 2009 จนมีอยู่วันหนึ่งทนไม่ไหวต้องไปหาหมอทั้ง ๆ ที่ยังอยู่กองถ่าย อย่างช่วงที่ไม่สบายก็พักรักษาตัวไม่กี่วัน จริง ๆ ถึงแม้ตอนนี้จะหายแล้ว แต่คุณหมอก็สั่งให้พักรักษาตัวที่บ้านเป็นเวลา 10 วัน แต่ด้วยความที่ตนต้องถ่ายละคร ฮีโร่ 1000 รัก เพราะละครเรื่องนี้ถ่ายไปออนแอร์ไป เลยพักไม่ได้ ตนเลยต้องทำงานไม่ได้พักรักษาตัวเลย ช่วงทำงานตนก็จะไม่อยู่ใกล้กลุ่มคนมากนัก เพราะกลัวว่าจะไปแพร่เชื้อให้พวกเขา อย่างเวลาทานข้าวก็จะมีสำรับส่วนตัวนั่งทานแยกกับคนอื่น เครื่องสำอางที่ใช้แต่งหน้าแต่ก่อนก็จะใช้ของทีมงาน แต่ตอนนี้จะพกของมาใช้ เพราะไม่อยากไปติดคนอื่นค่ะ

อีฟ-พุทธิดา ศิระฉายา เปิดเผยว่า หลังจากออกจาก รพ.ก็ต้องอยู่เก็บตัวอยู่บ้านไม่ออกไปไหน 3 วัน แล้วก็ทานยาให้หมดตามที่หมอสั่ง ตอนนี้อีฟก็กลับมาทำงานตามปกติได้หลายวันแล้ว ช่วงที่ป่วยยอมรับว่าพักผ่อนน้อย ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง ทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายลดลงเลยติดเชื้อง่าย พอหายแล้วอีฟก็เลยพยายามพักผ่อนให้เยอะ และพยายามไม่ไปอยู่ในที่ที่มีคนเยอะ เพราะถึงตอนนี้อีฟจะมีภูมิคุ้มกัน ไม่มีโอกาสกลับไปเป็นไข้หวัด 2009 ได้อีก แต่เชื้อมันก็มีโอกาสกลายพันธุ์ เพราะล่าสุดได้ยินมาว่าต่างประเทศเชื้อมันกลายพันธุ์เป็น H2N3 แล้ว อีฟ ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่แพร่เข้ามาในเมืองไทย ขณะเดียวกันช่วงนี้ก็พยายามดูแลตัวเองเยอะ ๆ พักผ่อนและทานอาหารที่มีประโยชน์ค่ะ

เป้ย-ปานวาด เหมมณี กล่าวว่า ถึงแม้ว่าตนจะหายจากโรคไข้หวัด 2009 แล้ว และถึงจะไม่มีโอกาสกลับไปเป็นอีก เพราะร่างกาย มีภูมิคุ้มกัน แต่คุณหมอก็เตือนว่าให้ดูแลตัวเองให้ดี เพราะเชื้ออาจจะกลายพันธุ์ได้ เพราะตอนนี้ที่เมืองนอกก็มีคนเป็นแล้ว ก็รู้สึกกลัวนะ พอออกจาก รพ.ปุ๊บเลยรีบดูแลตัวเองด้วยการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เยอะ ที่สุดและซื้อ เจลล้างมือพกติดตัวด้วย อย่างเวลาไปกองถ่ายก็จะพกเครื่องสำอางอุปกรณ์แต่งหน้าไปเอง แล้วก็หลีกเลี่ยงไปในที่ที่มีคนอยู่เยอะ ๆ เพราะเราก็ไม่รู้ว่ามีใครเป็นอะไรบ้าง ก็ต้องดูแลตัวเองให้ปลอดภัยเอาไว้ก่อนค่ะ

เชน-ธนา ลิมปยารยะ วงไนซ์ทูมีทยู เผยว่า จากที่เชนเคยติดไข้หวัด 2009 ไป ก็เลยอยากจะเชิญชวนให้ทุกคนหันมาดูแล ตัวเองกันให้มากขึ้นครับ ตอนที่เชนติดเนี่ยคือเราไม่รู้ตัวเลยใช้ชีวิตปกติ แต่พอเป็นแล้วอาการก็จะเป็นเหมือนกับที่ทางการแพทย์ได้แจ้งไว้ เชนจะมีน้ำมูก รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ปวดศีรษะ และก็ปวดเมื่อยเนื้อตัว คืออาการเหมือนเป็นไข้หวัดเลยครับ ซึ่งเชนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะไปหาหมอและก็ฉีดยาแล้ว แต่อาการไม่หายและแย่ลง ก็เลยไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจซ้ำ และนอนโรงพยาบาลอย่างที่ทราบกัน ระหว่างนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เชนก็ใส่หน้ากาก อนามัยตลอด ยอมรับว่าอึดอัด แต่เพราะเราต้องแสดงความรับผิดชอบต่อตัวเองและผู้อื่น สำหรับวิธีป้องกันตัวเองในเบื้องต้น เชนอยากฝากถึงผู้ที่รู้ตัวว่าตนเองมีอาการเป็นไข้หวัด แม้จะยังไม่ได้ตรวจว่าตัวเองติดหวัด 2009 หรือไม่ ก็ขอให้สวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคไปยังผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณต้องไปอยู่ในที่ที่มีคนเยอะ ๆ แต่ทางที่ดีที่สุด ควรจะหยุดพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน หยุดไปเลยครับ 1 อาทิตย์ เพราะทางรัฐบาลจะประกาศว่าหากคุณป่วยเป็นไข้หวัด 2009 คุณจะหยุดเรียนหรือหยุดงานได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการลา ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้เป็น หากคุณต้องไปอยู่ในที่สาธารณะ และพบปะผู้คนเป็นจำนวนมาก หากสวมหน้ากากอนามัยก็จะเป็นการป้องกันตนเองในทางหนึ่ง และก็อยากให้ทุกคนรักษาความสะอาด ล้างมือบ่อย ๆ ทานอาหารร้อน ใช้ช้อนกลาง และหากมีอาการจามต้องจามแบบปิดปากให้สนิทที่สุดครับ ที่สำคัญที่สุด อย่าวิตกกันจนเกินไปนะครับ หากมีอาการต้องไปหาหมอทันที ตรวจเร็ว รู้เร็ว ก็รักษาทันเหมือนเชนนะครับ.

วัลภา ธีรสุขยอดยิ่ง : รายงาน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook