กอ.รมน.เชื่อป่วนใต้ไม่โยงถกสันติสุขรับการข่าวเตือน

กอ.รมน.เชื่อป่วนใต้ไม่โยงถกสันติสุขรับการข่าวเตือน

กอ.รมน.เชื่อป่วนใต้ไม่โยงถกสันติสุขรับการข่าวเตือน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

'พ.อ.ปราโมทย์' เชื่อป่วนใต้ 13 จุด ใน จังหวัดปัตตานี นราธิวาส สงขลา ไม่เชื่อมโยงพูดคุยสันติสุข ขณะได้รับการแจ้งเตือนก่อนหน้านี้แล้ว เร่งล่าผู้กระทำผิด พร้อมเข้มรปภ.พื้นที่เสี่ยง

พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า(กอ.รมน.ภาค 4 สน.) เปิดเผยกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. กรณีคนร้ายลอบก่อเหตุป่วนในพื้นที่ จ.ปัตตานี นราธิวาส และ สงขลา รวม 13 จุด ว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานการณ์ให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติได้แล้ว ซึ่งจากการประเมินลักษณะของการก่อเหตุคาดว่าเป้าประสงค์ของคนร้าย คือต้องการสร้างความวุ่นวาย เหมือนเช่นที่พยายามกระทำมาตลอดระยะเวลา 13 ปี เนื่องจากอาวุธที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นระเบิดขนาดเล็ก ประกอบกับผู้ก่อเหตุเลือกที่จะลงมือกับฐานปฏิบัติการย่อย ส่วนประเด็นที่จะเชื่อมโยงกับการพูดคุยสันติสุขหรือไม่นั้น เชื่อว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันเพราะสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่เกิดขึ้นมานานแล้วแต่กระบวนการพูดคุยสันติสุขเพิ่งจะเริ่มต้นไม่นาน สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ได้รับการแจ้งเตือนก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่สามารถใช้มาตรการด้านความรุนแรง เข้าไปควบคุมได้ โดยสิ่งที่ทำได้คือการจัดกำลังเข้าไปคุ้มครองพื้นที่เสี่ยง และ ใช้มาตรการทางกฎหมายในการเร่งติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี เพียงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุรุนแรงขึ้น ล่าสุด เจ้าหน้าที่ยังคงตรึงกำลังรักษาความปลอดภัยพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามมาตรการเดิมที่ได้วางแผนไว้ แต่จะเน้นการดูแลจุดเสี่ยง คือ บริเวณที่มีเป้าหมายอ่อนแอ (พื้นที่ที่มีชาวไทยพุทธอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก) รวมถึง เขตเมือง เพิ่มขึ้น


สรุปป่วนสงขลาจนท.ทราบชื่อแนวร่วมเร่งล่าตัว

ความคืบหน้าเหตุความไม่สงบในพื้นที่จ.สงขลา ซึ่งคนร้ายได้ก่อเหตุสร้างสถานการณ์ในเวลาไล่เลี่ยกัน 3 จุด ใน 3 อำเภอเริ่มจากเหตุที่ 2 คนร้าย ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ขว้างระเบิดใส่ป้อมตำรวจประตูทางเข้าหน้า สภ.จะนะ แต่โชคดีที่พลาดเป้าระเบิดตกบริเวณข้างป้อมทำให้ตำรวจ 2 นายซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในป้อมปลอดภัยและได้ยิงตอบโต้กับคนร้ายก่อนที่คนร้ายจะขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปได้ ต่อมาได้เกิดเหตุคนร้ายใช้เครื่องยิงลูกระเบิดวิถีโค้ง เอ็ม 79 จำนวน 2 ลูก ใส่จุดตรวจร่วม 3 ฝ่ายบ้านนาจวก หมู่ 2 ต.ท่าม่วง อ.เทพา ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คน คือ น.ส.คอดีเย๊าะ ชีตือโม อายุ 28 ปี เป็นชาวบ้านและที่หนักสุดคือในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย เกิดเหตุระเบิดขึ้นบนถนนเส้นทางระหว่างหมู่ 5 ต.สะบ้าย้อยกับหมู่ 1 ต.ธารคีรี ห่างจากฐานชุดคุ้มครองตำบลธารคีรีประมาณ 200 เมตร หลังจากเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบรถจักรยานยนต์ที่บริเวณเบาะที่นั่งฉีกขาดจากแรงระเบิดและจุดนี้พบผู้เสียชีวิต 2 คน ซึ่งเป็นคนร้ายที่พยายามก่อเหตุ 

จากการประเมินเหตุการณ์คาดว่าทั้ง 2 คน กำลังนำระเบิดไปป์บอม ไปขว้างใส่อาสาสมัคร(อส.)ที่ฐานคุ้มครองตำบลซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 200 เมตรโดยวางระเบิดไว้ที่ตรงกลางระหว่างคนขับกับคนซ้อนท้ายแต่เกิดผิดพลาดระเบิดทำงานขึ้นก่อนทำให้ทั้งสองคนเสียชีวิตคาที่ ส่วนรถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ มีนายมือลี อายุ 54 ปี เป็นเจ้าของมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 ต.ธารคีรี อ.สะบ้าย้อย รวมทั้งยังมีประวัติเป็นสมาชิกกลุ่มก่อเหตุรุนแรงระดับแนวร่วม ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังติดตามตัวมาสอบสวนและเชื่อว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างสถานการณ์ในครั้งนี้ โดยหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้วและจะเข้าตรวจสอบเก็บหลักฐานอย่างละเอียดอีกครั้ง


'ยุทธนาม'เผย2ศพที่สะบ้าย้อยโยงกลุ่มรุนแรง-เร่งสืบ

พ.อ.ยุทธนาม เพชรม่วง รองโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า(กอ.รมน.ภาค 4 สน.) เปิดเผยกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. เกี่ยวกับกรณีที่คนร้ายลอบสร้างสถานการณ์ในพื้นที่ จ.ปัตตานี นราธิวาส และ สงขลา ว่า จากการตรวจสอบขณะนี้ เจ้าหน้าที่พอจะทราบกลุ่มผู้ก่อเหตุแล้วว่าเป็นกลุ่มใด เบื้องต้นพบมีผู้เสียชีวิต 2 คน ที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา คาดว่าน่าจะเป็นคนร้ายที่ต้องการนำระเบิดมาใช้ก่อเหตุ เนื่องจากเมื่อสืบประวัติแล้วพบเคยเป็นสมาชิกกลุ่มแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบ ซึ่งส่วนนี้จะได้มีการตรวจสอบเพิ่มเติมต่อไป 

สำหรับเป้าหมายของการก่อเหตุนั้นเชื่อว่าเป็นความต้องการที่จะแสดงตัวตนของคนร้ายเหมือนเช่นเคย แต่ส่วนตัวเชื่อว่าไม่น่าจะเชื่อมโยงกับการสร้างสถานการณ์ก่อกวนในพื้นที่ 4 จังหวัด ประกอบด้วย จ.ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ สงขลา ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้แน่นอน ขณะที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าระยะหลังคนร้ายเริ่มขยายพื้นที่มายังจ.สงขลา ซึ่งประเด็นนี้ พ.อ.ยุทธนาม มองว่าไม่น่าจะเป็นการเพิ่มพื้นที่ของคนร้าย และเป็นเหตุที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว 

อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปเจ้าหน้าที่อาจจะมีการปรับแผนดำเนินงานด้านการข่าว ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ เพื่อลดเหตุรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
กำลังโหลดข้อมูล