ประวิตรห่วงม็อบต้านท่าเรือปากบาราแรงให้มทภ.4ดู

พล.อ.ประวิตร รับเป็นห่วงม็อบต้านท่าเรือปากบารา กำชับแม่ทัพภาค 4 ดูแล พร้อมตั้งอนุกรรมการลงพื้นที่ทำความเข้าใจประชาชน ขณะ ตั้ง กก.สอบดูงาน นศ. เสธ.ทหาร แล้ว ยันคดีหุ้นชินไม่ใช่ไล่ล่าทางการเมือง
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีการจัดเวทีแสดงความคิดเห็นการสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูล ที่มีมวลชนออกมาคัดค้านการเปิดเวที ว่า ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับท่าเรือน้ำลึก เพื่อไปรับฟังและลงพื้นที่เพื่อหารือพูดคุยกับแกนนำหลัก เพื่อทำการแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด ซึ่งแนวทางการแก้ปัญหานั้นจะให้เชิญบุคคลในพื้นที่เข้าร่วมเป็นคณะอนุกรรมการเพื่อให้มีส่วนร่วมในการดำเนินการต่างๆ
ขณะเดียวกันได้สั่งการให้แม่ทัพภาคที่ 4 ดูแลเกี่ยวกับความปลอดภัยและรักษาความสงบเรียบร้อยทั้งหมด เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย ซึ่งหากสถานการณ์ต่างๆ มีแนวโน้มมีความวุ่นวายมากขึ้น ก็จะให้เลื่อนการพิจารณาออกไปก่อน และเชื่อว่าหลังจากส่งคณะอนุกรรมการลงไปพูดคุยกับแกนนำกลุ่มคัดค้านแล้วนั้น ทุกอย่างจะมีทิศทางที่ดีขึ้น
ขณะที่ปัญหากรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินจังหวัดกระบี่นั้น ก็จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพร้อมจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นขึ้นมาสามเวทีเพื่อให้ประชาชนและผู้ที่ได้รับผลกระทบมาแลกเปลี่ยนแนวคิดและข้อเสนอ พร้อมจะต้องทำให้มีความชัดเจนเกิดขึ้นในทุกด้าน ขณะเดียวกันการที่หลายฝ่ายมองว่าการคัดค้านโครงการของรัฐส่วนใหญ่มาจากกลุ่ม NGO ในพื้นที่นั้น พล.อ.ประวิตร ระบุว่า กรณีดังกล่าวปัญหาได้เกิดจากหลายฝ่าย ไม่ใช่เกิดจาก NGO เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งสิ่งสำคัญ คือ รัฐบาลได้พยายามที่จะหาแนวทางเพื่อไม่ให้เกิดการคัดค้าน โดยยืนยันว่ารัฐบาลได้ทำทุกโครงการด้วยความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ แต่ในบางโครงการอาจมีความล้าช้าเพราะจะต้องใช้เวลา
พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวถึงกรณีกระแสข่าววิพากษ์วิจารย์การเดินทางไปดูงานที่ทวีปยุโรป นักศึกษาหลักสูตรวิทยาลัยเสนาธิการทหาร รุ่นที่ 57 ซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงกลาโหม ว่า ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จ ขึ้นมาเพื่อทำการตรวจสอบการใช้งบประมาณแล้ว และเบื้องต้นไม่กำหนดโซนทวีปในการเดินไปดูงาน แต่ในส่วนของทุกหน่วยงานที่อยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงกลาโหม หากจะมีการเดินทางไปศึกษาดูงานในต่างประเทศ จะต้องให้มีการจัดทำรายละเอียดร่างแผนกำหนดการอย่างชัดเจน ว่า จะไปศึกษาดูงานด้านใด ให้ประโยชน์อย่างไร พร้อมมีแนวคิดที่จะให้กำหนดเป็นระเบียบของกระทรวงกลาโหม โดยจะให้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นผู้รวบรวมรายละเอียด เพื่อร่างเป็นคำสั่งและแนวปฏิบัติ ก่อนส่งไปให้ทุกหน่วงงานในสังกัดกระทรวงกลาโหมเป็นแนวทางการปฏิบัติ
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประวิตร ยังระบุถึง กรณีการเรียกคืนภาษีจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขายหุ้นชินคอร์ป ที่คดีจะหมดอายุความในวันที่ 31 มี.ค. ว่า เป็นเรื่องของหน่วยงานที่ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล และได้ขอให้ไปถามรายละเอียดกับกระทรวงการคลัง ที่ดูในเรื่องนี้ พร้อมระบุว่า กรณีดังกล่าวไม่เกี่ยวกับไล่บี้ทางการเมือง