เดี่ยว ชูพงษ์ ไม่สนคนมองลดเกรดคงสไตล์การบู๊

เดี่ยว ชูพงษ์ ไม่สนคนมองลดเกรดคงสไตล์การบู๊

เดี่ยว ชูพงษ์ ไม่สนคนมองลดเกรดคงสไตล์การบู๊
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นักแสดง 'เดี่ยว-ชูพงษ์' ไม่สนคนมองลดเกรด คงสไตล์การบู๊ ในแบบของตัวเองใน “ขุนกระทิง”

เพราะเคยผ่านงานภาพยนตร์แอ็คชั่นอย่าง องค์บาก, เกิดมาลุย, เสือร้องไห้, คนไฟบิน, ส้มตำ, ปืนใหญ่โจรสลัด, องค์บาก 2-3, เร็วทะลุเร็ว, และ ขุนพันธ์ แถมยังหมดสัญญากับต้นสังกัด ทำให้ผู้จัดฯ ผู้กำกับฯ ไฟแรง โอริเวอร์ บีเวอร์ ส่งเทียบเชิญให้พระเอกและนักแสดงภาพยนตร์แอ็คชั่นมากฝีมือดีอย่าง เดี่ยว-ชูพงษ์ ช่างปรุง ศิษย์เอกของ อาจารย์พันนา ฤทธิไกร โดดรับงานละครเรื่องแรก “ขุนกระทิง” ของค่ายไนน์บีเวอร์ฟิล์ม โดยให้มารับบทเป็น “เลกงวิน” บอดี้การ์ดประจำตระกูลเมฆิน อดีตทหารรับจ้างฝีมือดี เชี่ยวชาญการต่อสู้เป็นที่สุด 

เพราะเคยเป็น “พระเอก” ในภาพยนตร์ พอมาถึงงานละคร หลาย ๆ มักมองว่าโดดลดเกรด แต่ เดี่ยว ชูพงษ์ กลับตอบได้อย่างน่าคิดว่า

“ผมว่ามันก็แล้วแต่บุคคล ส่วนตัวผมก็มองว่ามันเป็นงาน เรายังใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ในสังคมที่มีเงินเป็นอันดับหนึ่งของการใช้ชีวิต เราก็ต้องหาเงินครับ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ต้องทำ และอีกอย่างหนึ่งคือมันเป็นงานที่เรารัก เรากำเนิดมาจากสายบันเทิงอยู่แล้ว ผมไม่ได้ซีเรียสเลยมันเป็นงานที่เราสามารถพัฒนาและหาเลี้ยงชีพตัวเองได้ ผมไม่ได้คิดว่า เรตติ้งเราจะตก เหมือนคนบางคนทำงานแบบนี้ตำแหน่งนี้แล้ว รู้สึกว่ามันไม่สนุกเลยเปลี่ยนไปทำอีกแบบ หรือบางทีงานที่ตัวเองไม่ได้ชอบแต่เราต้องทำเพื่อความอยู่รอดเราก็ต้องทำ อย่างฮอลลีวูด เล่นเรื่องหนึ่งเราได้สิบล้าน ชาตินี้ก็ไม่ต้องทำอะไรใช้ชีวิตสบาย แต่เราไม่ได้นับเงินดอลล่าอย่างเค้า เรานับเงินบาทอยู่ ก็ต้องทำงานเท่าที่เราจะหาได้

ผมไม่ซีเรียสเลย แล้วคนที่เค้าดูหนังกับดูละครเค้าเลือกบริโภคอยู่แล้ว ถ้าทำละครแล้วมันเหมือนหนังก็ดีนะ ทำให้คนที่ไม่เคยดูละครเลยอาจจะกลับมาดูละครก็ได้ มันอยู่ที่ว่าเราทำ เราใส่ใจและเอางานยังไงมาให้แฟนคลับดู อย่างผมอยู่ในวงการหนังมาเป็นสิบปี ส่วนมากคนก็จำผมไม่ค่อยได้ เริ่มมาจำได้ก็ตอนที่มีเคเบิ้ล ที่มีหนังเราไปฉายในเคเบิ้ลคนถึงจำได้ อย่างผมกลับบ้าน บางคนก็ไม่รู้นะว่าผมเล่นหนัง คนแก่คนในชนบทเค้าไม่ดูหนังกันหรอก แต่พอมันมาอยู่ในทีวี เค้าได้นั่งดูที่บ้าน เค้าก็จำได้ ว่านี่หลานเรานี่ ญาติเรานี่ ก็จะเป็นอารมณ์นี้ครับ ก็เลยหวังว่าพอเรามาเล่นเรื่องนี้คนก็น่าจะรู้จักเรามากขึ้นครับ คนน่าจะดูทีวีมากกว่าดูหนัง

ตอนนี้ทางผู้จัดฯ ผู้สร้างละครก็พอจะรู้แล้วครับว่า เรามารับงานละครแล้ว และมีติดต่อมาหลายเรื่องที่อาจจะไปรับเชิญบ้าง และมีเล่นทั้งเรื่อง ก็รู้สึกดีใจครับ เหมือนตอนที่เราทำหนังเราก็ห่างไป 3-4 ปี กว่าจะได้ฉาย เราซ้อมแล้วซ้อมอีก ก็รู้สึกว่ามันเบื่อ เหมือนนักมวยครับ ซ้อมทุกวันก็อยากลงชกจริง ๆ บ้างอยากปล่อยของแล้ว พอมาทำละครแล้วได้ทำงานทุกวันก็รู้สึกว่าวันหนึ่ง ๆ เราไม่ได้ปล่อยเวลาไปเฉย ๆ รู้สึกสนุกกับงาน แม้จะเหนื่อยมากก็ตาม”


แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
กำลังโหลดข้อมูล