สปท.เร่งรัดปฏิรูปปัดล็อบบี้ตั้งกมธ.นายกจ่อมาฟังแผนเอง

'อลงกรณ์ พลบุตร' ย้ำ สปท. เร่งรัดปฏิรูป ปัดล็อบบี้ตั้งกมธ. พร้อมระบุ นายกฯ จ่อมาฟังแผนเอง เห็นด้วย 'มีชัย' ร่าง รธน.กระชับ ยัน สปท. เป็นสัญลักษณ์ปรองดอง
นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หรือ สปท. คนที่หนึ่ง เปิดเผยถึงการดำเนินการของ สปท. ว่า กรอบการดำเนินการของ สปท. นั้น จะเป็นการเร่งรัดแผนปฏิรูป ซึ่งจะไม่ผ่านกระบวนการศึกษาอีก เนื่องจาก สภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ได้ศึกษาไว้ครบถ้วนแล้ว ซึ่งตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป จนถึงเดือนพฤศจิกายน จะมีการยกร่างข้อบังคับการประชุม และตั้งคณะกรรมาธิการชุดต่าง ๆ ร่วมดำเนินการแผนปฏิรูป ก่อนเริ่มปฏิบัติงานจริง และตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมเป็นต้นไป จะเริ่มพิจารณารายงานแผนงานปฏิรูปต่าง ๆ เพื่อส่งให้ คณะรัฐมนตรี และ คสช. พิจารณาดำเนินการ ซึ่งในช่วงระยะเวลาการดำเนินการของ สปท. นั้น จะต้องมีการประเมินผลการทำงาน โดยเแบ่งเป็น 3 เดือน, 6 เดือน และ 1 ปี เพื่อรายงานให้ประชาชนและแม่น้ำ 5 สาย ทราบ ซึ่งระบุว่า การทำงานในครั้งนี้ การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ
นอกจากนั้น รองประธาน สปท. กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. จะมีกำหนดเดินทางมารับฟังแผนดำเนินการปฏิรูปประเทศของ สปท. ด้วยตัวเอง
นายอลงกรณ์ ยังเปิดเผยถึงแผนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ ว่า การทำงานของ สปท. นั้น จะแตกต่างจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. หรือ สภาผู้แทนราษฎรทั่วไป แม้จะมีลักษณะสภาเหมือนกัน แต่จะไม่ยึดติดกับรูปแบบการทำงานแบบเก่า โดยจะต้องเป็นการดำเนินการดำเนินการแบบใหม่ให้เกิดความคุ้มค่าและสอดคล้องกับภารกิจ
ส่วนการแต่งตั้งกรรมาธิการชุดต่าง ๆ นั้น จะต้องมีเท่าที่จำเป็น พร้อมยืนยันว่า ไม่มีการแบ่งโควตา หรือการวิ่งเต้นเพื่อให้เป็นประธานกรรมาธิการ หรือการรวมกลุ่มกันเอง โดยจะมีกระบวนการสรรหาตามข้อบังคับ และต้องมีคณะกรรมการกลั่นกรอง รวมถึงจะไม่ใช้วิธีการสมัคร แต่จะต้องสรรหาบุคคลที่มีความสามารถที่แท้จริง
พร้อมกันนี้ นายอลงกรณ์ ยังกล่าวถึง การดำเนินการของ สปท. ว่า แม้ สปท. จะไม่มีอำนาจในการเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ สปท. จะต้องร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ที่เกี่ยวข้องกับ สปท. ขึ้นมา ดังนั้น การทำงานระหว่าง สปท. และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. จะต้องมีความใกล้ชิดกัน ซึ่งการจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญนั้น จะต้องมีการจัดหมวดหมู่แผนการปฏิรูปทั้งหมดให้เข้ากัน และอาจจะต้อง
แต่งตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาเพื่อยกร่างกฎหมาย ตามการศึกษาแผนการปฏิรูป ที่ สภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ศึกษาไว้ เพื่อเป็นข้อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการ นอกจากนั้น ยังจะต้องมีการประสานงานกับเอกชน ส่วนราชการ และส่วนวิชาการ เพื่อให้สามารถนำแผนปฏิรูปดังกล่าวไปดำเนินการได้จริง และมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ รองประธาน สปท. เห็นด้วยที่ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ระบุว่า รัฐธรรมนูญ จะต้องสั้นและกระชับ
นอกจากนี้ นายอลงกรณ์ ยังเปิดเผยถึงการดำเนินการสร้างความปรองดองของ สปท. ว่า เป็นนโยบายที่สำคัญ แต่เบื้องต้นจะต้องขึ้นอยู่กับข้อบังคับและนโยบายของ ประธาน สปท. โดย ยืนยันว่า สปท. จะเป็นสัญลักษณ์ของการปรองดอง ซึ่ง สปท. นั้น ได้รับเกียรติจากตัวแทนพรรคการเมือง และกลุ่มการเมืองต่าง ๆ เข้าร่วม
ดังนั้น สปท. จะเป็นจุดเริ่มต้นของการปรองดอง เนื่องจาก เมื่อมีสมาชิกจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีความคิดแตกต่างกันไป มาทำงานร่วมกันในบริบทเดียวกัน เชื่อว่าการปรองดองจะเกิดขึ้น และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ต้องการเห็นความแตกแยก หรือการรัฐประหารเกิดขึ้นอีก จึงจะเป็นหนทางให้ สปท. สร้างความปรองดองได้สะดวกขึ้น
ทั้งนี้ ในวันที่ 28 ตุลาคม นี้ จะมีการหารือกับสมาชิกอีกครั้ง ในการพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมาธิการชุดหนึ่ง เพื่อสานต่องานด้านการสร้างความปรองดอง ตามที่ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ เคยศึกษาและวางแผนการดำเนินการไว้