อดีตนักโทษกลับใจขอทำดี ตัดผมนักเรียนฟรีๆ ตอบแทนสังคม
การเปิดโอกาสให้คนทำผิด แต่กลับตัวกลับใจ มาทำความดีให้กลับสังคม เพื่อทดแทนสิ่งที่เคยทำผิดมาในชีวิต เป็นสิ่งที่ควรต้องส่งเสริมเป็นอย่างยิ่ง อย่างกรณีของนายสาริศ อายุ 42 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ หมู่ 11 ต.หนองบัว อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ อดีตนักโทษคดียาเสพติด ที่คิดกลับตัวกลับใจ นำวิชาความรู้จากการฝึกอาชีพอยู่ในเรือนจำ มาทำประโยชน์ให้สังคม โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ
คือ การเปิดร้านตัดผมให้กับเด็กนักเรียนตั้งแต่รับดับชั้นอนุบาล จนถึงชั้นมัธยมต้น ให้แบบฟรีๆ ไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด อีกทั้ง ยังให้บริการรับตัดผมให้กับผู้ใหญ่ นำเงินที่ได้จากค่าตัดผม ไปทำบุญมอบให้กับเด็กผู้ยากไร้อีกด้วย
"นายสาริศ" จากอดีตที่เป็นเกษตรกร ทำไร่ทำนา เหมือนกับเกษตรกรทั่วไปใน อ.หนองบัว แต่เกิดหลงผิด เพราะการเป็นหนี้ ที่เกิดจากการทำการเกษตร จึงหันไปค้ายาเสพติด จนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว และถูกส่งไปทำเนินคดีกับความผิดที่ได้ก่อไว้ อยู่ภายในเรือน จ.นครสวรรค์ จำนวนกว่า 4 ปี
ซึ่งชีวิตในช่วงเวลานั้น นายสาริศ รู้สึกสำนึกผิดกับครอบครัวเป็นอย่างมาก ที่ต้องปล่อยให้ภรรยาเลี้ยงดูลูกน้อยอยู่ตามลำพัง และทำให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อน จึงหมั่นเพียรกระทำแต่ความดีตั้งแต่อยู่ภายในเรือนจำ โดยสัญญากับภรรยา และพ่อแม่ ว่า เมื่อพ้นโทษออกมา จะไม่หันกลับไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด
นายสาริศ เล่าว่า ช่วงที่อยู่ในเรือนจำ ได้มีการเปิดสอนฝึกอาชีพ ซึ่งมีหลากหลาย ทั้งช่างไม้ ช่างยนต์ ช่างโลหะ ช่างจักรสาน แต่ตนขอเลือกไปฝึกอาชีพเป็นช่างตัดผม เนื่องจากเคยมีความรู้ในด้านดังกล่าวมาบ้าง และก่อนหน้าที่จะถูกจองจำ เคยมีความคิดว่าจะเปิดร้านตัดผมอยู่ก่อนแล้ว จึงให้ความสนใจด้านนี้เป็นพิเศษ
จากนั้นได้ฝึกอาชีพเป็นช่างตัดผมอยู่นานกว่า 8 เดือน จนเกิดความชำนาญ ถึงขั้นถูกยกให้เป็นช่างตัดผมประจำเรือนจำเลยทีเดียว โดยนักโทษในเรือนจำมีรวมกันกว่า 2,000 คน ผ่านคมแบตเตอร์เลี่ยนของตนมาแล้วทั้งสิ้น และทรงผมที่ตนตัดถนัดที่สุด คือการตัดทรงนักเรียน แต่ผมรองทรงสูง รองทรงสั้น ตนก็ตัดได้ดีไม่แพ้กัน
หลังจากที่ที่พ้นโทษออกมาแล้ว ตนก็กลับมาอยู่กินและอาศัยอยู่กับภรรยาเหมือนเดิม ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณและชื่นชมภรรยา ที่ให้อภัยกับสิ่งที่ตนทำผิดพลาดไป โดยตนกลับมาอยู่บ้าน ก็มาประกอบอาชีพเลี้ยงสุกร แต่กลับรู้สึกว่า มีเวลาว่างเยอะ เพราะการเลี้ยงสุกร ก็แค่ดูแลให้อาหารช่วงเช้ากับช่วงเย็น ส่วนเวลาที่เหลือ ก็นั่งกินนอนอยู่ในบ้าน จึงรู้สึกว่า อยากจะหาอะไรทำที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม
อีกทั้ง ยังมองว่า การที่เราฝึกฝนอาชีพเป็นช่างตัดผมมาแล้ว แต่ไม่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ก็เท่ากับว่าไม่มีคุณค่าอะไร จึงตัดสินใจไปซื้อปัตตาเลี่ยน กรรไกรตัดผม พร้อมกับซื้อเก้าอี้ตัดผม สีขาว สภาพเก่าๆ นำมาตั้งวางไว้ที่ใต้มะม่วงบริเวณหน้าบ้าน โดยมีการทำป้ายขนาดใหญ่ติดตั้งไว้เพื่อให้ชาวบ้านได้รับทราบ ด้วยการระบุข้อความ "ตัดผมน้องฟรี ทำดีเพื่อน้อง ตอบแทนสังคม" รับตัดผมให้นักเรียนระดับชั้นอนุบาลไปจนถึงชั้นมัธยมปลายฟรี โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
นายสาริศ เล่าต่อไปว่า ในช่วงแรก ที่เปิดบริการตัดผมให้ฟรี ปรากฏว่า กระแสตอบรับไม่ค่อยดีนัก เพราะนักเรียนหลายรายต่างไม่ค่อยเชื่อในฝีมือตน กลัวว่าตนจะตัดไม่ดี แต่ก็มีผู้ปกครองบางราย นำลูกหลานมาให้ตนตัดผมให้ แล้วเกิดการพูดกันปากต่อปาก บวกกับผลงานทรงผมนักเรียนที่ได้ตัดให้ จึงทำให้เริ่มมีกระแสตอบรับที่ดีเข้ามาเรื่อยๆ
จนถึงปัจจุบันนี้ ตนเปิดให้บริการตัดผมฟรีมานานกว่า 2 เดือนแล้ว มีเด็กนักเรียนมาตัดผมกับตน เฉลี่ยวันละ 2-3 ราย และนอกจากนี้ ยังมีผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ภายในหมู่บ้าน ไว้ใจตน มาใช้บริการให้ตนตัดผมให้อีกด้วย ซึ่งตนก็ไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เพียงแต่จะมีถังใส่เงินวางไว้ มีข้อความแปะไว้ว่า ตามกำลังที่จะให้เงินบริจาค (เฉพาะผู้ใหญ่)
และเงินที่ได้จากการบริจาคนี้ ตนจะเก็บรวบรวมไว้ นำไปบริจาคให้กับเด็กผู้ยากไร้ต่อไป ส่วนร้านขณะนี้ ยังเป็นพื้นว่างป่าว มีเพียงแค่ต้นมะม่วงปกคุมบังแดดและฝนเพียงเท่านั้น ซึ่งก็อยากต้องการความช่วยเหลือ ขอรับบริจาค อิฐ ปูนซีเมนต์ ไม้ และสังกะสี นำมาสร้างทำเป็นร้านตัดผม
ทั้งนี้ สำหรับการทำความดีให้กับสังคมของนายสาริศ เจ้าตัวบอกว่า มีความตั้งใจดี ที่อยากช่วยเหลือคนในชุมชน และเด็กผู้ยากไร้ รวมถึง อยากจะมอบโอกาสสอนวิชาตัดผมฟรีให้กับคนที่ว่างงานในชุมชนด้วย ซึ่งตอนนี้ เริ่มมีทั้งเด็กนักเรียน และผู้ใหญ่ มาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น จึงได้มีการเสริมผู้ช่วยไว้อีกคน คือ นายพิพัฒน์ อายุ 38 ปี มาร่ำเรียนฝึกตัดผมกับนายสาริศ ตั้งแต่ตอนเริ่มเปิดให้บริการ
และทั้งคู่ต่างก็มีอุดมการณ์เดียวกัน คือ ทำประโยชน์ให้กับสังคม โดยไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งหากใคร ต้องการจะเรียนรู้วิชาชีพด้านการตัดผมกับนายสาริศ สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 061-265-0238 นายสาริศ บอกว่ายินดีสอนให้ฟรี เพื่อให้ผู้ที่เรียน นำวิชาความรู้ไปประกอบอาชีพเลี้ยงตัวต่อไป