เลขาสมช.บินจีนดูอุยกูร์-ปัดตอบการเมืองโยงไฟใต้
เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เดินทางเยือนประเทศจีน ติดตามอุยกูร์ เชื่อ นานาชาติจะเข้าใจสถานการณ์ของไทย ขณะมอบ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เฝ้าระวังความปลอดภัย เหตรุนแรง ภาคใต้ ขอ ปชช.ร่วมมือแจ้งเบาะแส
นายอนุสิษฐ คุณากร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. กล่าวก่อนการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อติดตามความเป็นอยู่ของอุยกุร์ 109 คน ที่ไทยได้ส่งตัวกลับไปว่า การเดินทางไปในครั้งนี้ตนจะไปพบกับผู้นำสำคัญของจีน อาทิ เมิ่ง เจี้ยน จู เลขาธิการคณะกรรมาธิการด้านการเมืองของจีน นายหวัง หย่ง ชิง รองเลขาธิการคณะมนตรีแห่งรัฐที่ดูแลด้านความมั่นคง และหลังจากนั้นตนจะเดินทางไปดูความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ ที่เมืองอูรูมูฉี เมืองหลวงของมณฑลซินเจียง ส่วนจะมีการรายงานผลไปยังประเทศตุรกี ทราบหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ จะพิจารณาว่าจะสมควรหรือไม่ ซึ่งตนเชื่อว่า นานาชาติจะเข้าใจถึงสถานการณ์ของไทย
อย่างไรก็ตาม นายอนุสิษฐ ยืนยันว่า การเดินทางเยือนจีนในครั้งนี้ เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและจีน ที่ได้พูดคุยไว้ล่วงหน้าอนุญาตให้ไทยสามารถเข้าติดตามการดำเนินการกับชาวอุยกูร์ได้
นายอนุสิษฐ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. และอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ออกมาระบุว่า การก่อเหตุความรุนแรงในภาคใต้ มีพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่ อยู่เบื้องหลัง และจะมีการก่อเหตุรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ในระหว่างวันที่ 15 - 17 กรกฎาคม ว่า เรื่องนี้ตนไม่มีข้อมูล ให้ไปสอบถามกับ พล.อ.ธวัชชัย เอง ว่าเป็นพรรคการเมืองใด แต่ทั้งนี้ ทาง สมช. และฝ่ายความมั่นคง ได้เฝ้าติดตามสถานการณ์อยู่ตลอด ว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มใด ซึ่งปัญหาภาคใต้เกิดจากกลุ่มที่มีความเห็นต่างเป็นผู้ก่อเหตุ ซึ่งพรรคการเมืองอาจเป็นส่วนหนึ่งให้ความรุนแรงยังคงอยู่ ทั้งนี้ ได้มอบให้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และแม่ทัพภาคที่ 4 เฝ้าระวังความปลอดภัย รวมถึงขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสต่อเจ้าหน้าที่
นายอนุสิษฐ ยังกล่าวถึงกรณีที่องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นเอสซีอาร์ กำหนดให้ระดับการค้ามนุษย์ของประเทศไทย อยู่ในระดับ เทียร์ 3 หรือต่ำสุด ว่า ต้องยอมรับว่านี่คือข้อบกพร่องในอดีตที่ไทยละเลยการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาการค้ามนุษย์ จนถูกลดระดับเป็นเทียร์ 3 ซึ่งส่วนตัวก็เห็นด้วยที่ไทยถูกลดระดับ เพราะถือว่าเป็นโอกาสที่ดี ให้ไทยได้ปรับตัวแก้ไขในการทำงานของระบบข้าราชการ