การแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรม ต้องทำให้เป็นจริง
เมื่อวานนี้ในการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มีการพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชย์ การท่องเที่ยวและบริการ ในประเด็น การผูกขาดและการแข่งขันที่เป็นธรรม ปฏิรูปภาคเกษตร การสร้างสังคมผู้ประกอบการ
โดย นายเกริกไกร จีระแพทย์ อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมาธิการปฏิรูปการเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชย์ การท่องเที่ยวและบริการ เป็นผู้รายงานโดยชี้ให้เห็นว่า ในเรื่องการผูกขาดและการแข่งขันที่เป็นธรรม ไทยมีกฎหมายแข่งขันการค้าครั้งแรก เมื่อปี 2542 แม้ว่าจะมีกฎหมายทางการแข่งขันทางการค้าแต่ก็ไม่อาจบังคับใช้ได้จริงในช่วงที่ผ่านมา
ดังนั้นข้อเสนอก็คือให้กำหนดนิยาม "ผู้ประกอบธุรกิจ" ให้รวมถึงธุรกิจในเครือเพื่อให้เกิดความครอบคลุม กำหนดหลักเกณฑ์ ระเบียบ และแนวปฏิบัติในเรื่องต่างๆ ให้ชัดเจนครบถ้วน มีสภาพบังคับตามกฎหมายและมีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน
และกำหนดให้รัฐวิสาหกิจที่ประกอบธุรกิจเป็นทางการค้าปกติแข่งขันกับเอกชนอยู่ภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า รวมทั้งขยายขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายให้ครอบคลุมนโยบายหรือมาตรการของรัฐที่ลดหรือจำกัดการแข่งขันและพฤติกรรมไม่เป็นธรรมที่ส่งผลต่อผู้บริโภค ตลอดจนให้มีอำนาจการบังคับใช้นอกราชอาณาจักร หรือ สิทธิสภาพนอกอนาเขต และปรับโครงสร้างคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าให้ปลอดจากการครอบงำทางการเมือง กลุ่มผลประโยชน์
ทั้งนี้หลังการนำเสนอมีสมาชิกหลายคนอภิปรายสนับสนุนการปรับปรุงกฎหมาย โดยชี้ให้เห็นว่า ปัญหาของ กฎหมายที่มีแต่ไม่สามารถนำมาใช้บังคับได้เกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ การเมือง ข้าราชการ และทุน
ซึ่งที่ผ่านมาทั้ง 3 ส่วนให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทุนให้การสนับสนุนการเมือง และข้าราชการ จนไม่สามารถหรือนำกฎหมายมาบังคับใช้ได้
ในประเด็นการค้าที่เป็นธรรม เป็นประเด็นที่พูดกันมานานพอสมควร แต่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนเข้ามาแก้ไข และใช้กฎหมายฉบับนี้ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างที่มีการนำเสนอและอภิปรายกัน ทุกวันนี้ อย่างที่ทราบกันร้านค้าปลีกรายเล็ก ล้มหายตายจากไปจำนวนมาก ก็ด้วยการปล่อยปละละเลยให้ร้านค้าปลีกของทุนใหญ่ ขยายสาขาได้อย่างกว้างขวางและลงลึกไปทุกขณะ
อย่างทุกวันนี้เป็นไปได้อย่างไรรัฐบาลที่ผ่านๆ มาปล่อยให้ทุนใหญ่ ซึ่งมีบริษัทในเครือสนับสนุนในทุกๆด้าน บริษัทในเครือผลิตสินค้าป้อนให้กับร้านค้าปลีกของตัวเอง เรียกว่าตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ สามารถขยายสาขาครอบคลุมจำนวนมากมายเป็นหมื่นสาขา
และในอนาคตหากไม่สามารถหยุดยั้ง เชื่อได้ว่า ทุกหัวระแหงจะถูกร้านค้าปลีกของทุนใหญ่ปักหลักยึดกุมแทบหมดสิ้น
เรียกว่าอาชีพดังเดิมของชุมชนร้านค้าปลีกที่เต็มไปด้วยสีสัน เป็นที่พบปะของผู้คนในวิถีเดิมๆที่ร้านค้าเหล่านี้มักจะมีกิจการน้ำชากาแฟ ทำให้ผู้คนในชุมชน มาดื่มกินแลกเปลี่ยนทัศนะ ในเรื่องราวต่างๆของสังคม หรือที่รู้จักกันดีว่า สภากาแฟ จะหมดไปในไม่ช้า ที่จริงทุกวันนี้ก็เหลือน้อยเต็มทีอยู่แล้ว
การนำเสนอของสปช. ในเรื่องการค้าที่เป็นธรรม นี้จึงน่าติดตามอย่างยิ่งว่า ถึงที่สุดจะสามารถยับยั้ง การรุกคืบของทุนใหญ่ ที่โอบล้อมสังคมไทยไว้นานปีได้อย่างไร การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ สังคมที่กำลังถก แก้กันนั้นจะเป็นผลในทางปฏิบัติ เป็นรูปธรรมได้หรือไม่ หรือ เป็นเพียงเวทีถกหลักการแล้วถึงเวลาก็เหมือนเดิม ไม่สามารถทานกระแสความเชี่ยวกรากของสายธารแห่งทุน ที่มีเม็ดเงินจำนวนมหาศาล กวาดต้อนเข้าไปในกระแสไหลบ่าต่อไปอย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลง............
...เปลวไฟน้อย