มองผ่านเลนส์คม - ร่วมด้วยช่วย หอหนัง

มองผ่านเลนส์คม - ร่วมด้วยช่วย หอหนัง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากการที่ร่างพระราชกฤษฎีกาตั้งหอภาพยนตร์เป็นองค์การมหาชนได้ผ่านกระบวนการพิจารณาทางด้านกฎหมายเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือเพียงการทูลเกล้าถวายเพื่อให้ลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป แต่ด้วยสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง ทำให้ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งหอภาพยนตร์เป็นองค์การมหาชนนี้ยังคงถูกเก็บอยู่ที่กระทรวงวัฒนธรรมมาเกือบปีแล้ว โดยมิได้รับการเหลียวแล ทำให้ปัจจุบันสถานะของหอภาพยนตร์แห่งชาติยังอยู่ในสภาพลูกผีลูกคน

 

และเนื่องจากข้อจำกัดของการเป็นหน่วยงานรัฐบาล ประกอบกับสถานะของหอภาพยนตร์แห่งชาติเป็นเพียงหน่วยงานรัฐบาลเล็กๆ ที่ได้รับงบประมาณค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะหากเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในการอนุรักษ์ภาพยนตร์ที่ค่อนข้างสูง ทำให้การบริหารงานของหอภาพยนตร์แห่งชาติเป็นไปอย่างอัตคัด และยังคงมีฟิล์มภาพยนตร์จำนวนมากที่ไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะซ่อมแซมและเก็บรักษาให้ถูกต้องตามมาตรฐาน ซึ่งฟิล์มเหล่านี้จะเริ่มเสื่อมสภาพลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดจะอยู่ในสภาพที่เกินจะเยียวยา และนั่นจะเปรียบเสมือนเราได้สูญเสียมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติไปอย่างน่าเสียดาย

 

//

//

 

ดังนั้นกลุ่มเพื่อนหอภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการรวมตัวของคณะบุคคลที่เป็นผู้สนับสนุนและเป็นผู้ใช้บริการและร่วมกิจกรรมของหอภาพยนตร์แห่งชาติในด้านต่างๆ จึงร่างจดหมายและล่ารายชื่อเพื่อยื่นเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อแสดงพลังสนับสนุนการเปลี่ยนหอภาพยนตร์แห่งชาติให้เป็นองค์การมหาชนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

โดยผู้ที่สนใจที่จะลงชื่อเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนสถานะของหอภาพยนตร์แห่งชาติ สามารถดาวน์โหลดใบสนับสนุนและเซ็นชื่อรับรอง ได้ทางเว็บไซต์ < http://www.thaifilm.com > และส่งใบลงชื่อดังกล่าวมาที่ มูลนิธิหนังไทย 50/17 ถ.ศาลายา-นครชัยศรี อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม 73170

 

สอบถามรายละเอียดได้ที่มูลนิธิหนังไทย 0-2800-2716, 08-0557-9709 หรืออีเมล thaifilmfoundation@gmail.com

 

 

การร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาศิลปะบนแผ่นฟิล์ม ให้มีที่ทางอย่างสง่างาม จะเป็นดอกผลให้ลูกหลานซึมซับประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่งด้วย

 

นันทพร ไวศยะสุวรรณ์

 

 

 

 

ตะลุยข่าว - 388 ศพสึนามิ...ยังไม่ได้กลับบ้าน

 

แม้พิบัติภัยสึนามิจะผ่านพ้นไปแล้ว 4 ปี ทว่าภาพความเสียหาย การล้มตาย และสูญหายไปของคนอันเป็นที่รัก ยังคงติดตรึงอยู่ในใจเหมือนภาพฝันร้ายในคืนที่แสนยุ่งเหยิง หลายครอบครัวยังทำใจไม่ได้กับมหันตภัยที่เกิดขึ้นกับตนเอง ครอบครัว และธุรกิจ เสียงหวีดร้องโหยหวนและร่ำไห้เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ยังคงก้องอยู่ในมโนสำนึก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook