หุ้นร้อน

หุ้นร้อน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
กลุ่มธนาคารพาณิชย์

ไม่ต้องรีบร้อน

จากเศรษฐกิจที่ชะลอในปี 2552 ทำให้สินเชื่อชะลอตัวตาม โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจถดถอยที่สุด ประกอบกับแนวโน้มมาร์จินที่ลดลงในช่วงเริ่มต้นของการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้กลุ่มธนาคารในช่วงไตรมาสแรกปี 2552 ยังไม่น่าสนใจลงทุน

ธนาคารขนาดเล็ก กล่าวคือ ธนาคารเกียรตินาคิน,ธนาคารทิสโก้ และธนาคารธนชาต มีสัดส่วนเงินฝากประจำสูง 77%,65% และ 64% ตามลำดับ นอกจากนี้พอร์ตสินเชื่อกว่า 80% ขึ้นไปเป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ ด้วยโครงสร้างพอร์ตสินเชื่อและเงินฝากดังกล่าวข้างต้น ปกติแล้วธนาคารเหล่านี้จะได้เปรียบธนาคารขนาดกลางและใหญ่ทางด้านมาร์จินภายใต้ทิศทางดอกเบี้ยขาลง หากแต่ปี 2552 มีการคาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์ในประเทศจะหดตัวลงประมาณ 20% ดังนั้นกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์จึงได้รับผลกระทบสูงทั้งทางด้านการขยายตัวของสินเชื่อ และแนวโน้มหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)และขาดทุนจากการขายรถยึดที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง

ไม่แนะนำให้รีบเข้าลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร แต่แนะนำลงทุนระยะยาวหุ้นธนาคารกสิกรไทย เนื่องจากเป็นธนาคารที่มีปัจจัยพื้นฐานค่อนข้างแข็งแกร่งในทุกๆด้าน มีจุดแข็งในหลายเรื่องทั้งด้านการขยายตัวของสินเชื่อ คุณภาพสินทรัพย์ที่ดีโดยมีเอ็นพีแอลต่ำที่สุดในกลุ่ม อีกทั้งโครงสร้างรายได้ที่มีการกระจายมากขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยให้มูลค่าที่เหมาะสมไว้ที่ 63.00 บาท/หุ้น

ที่มา:บล.กิมเอ็งฯ

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์

เป็นบวกระยะสั้น

ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 1.00% เป็น 2.75% เพื่อรับมือกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ได้ตอบรับด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 0.5-1.25% และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.50% ทำให้

MLR ลดลงจาก 7.25% เป็น 6.75% การปรับลดอัตราดอกเบี้ยทำให้กำลังซื้อบ้านเพิ่ม

ขึ้น เนื่องจากทุกๆ 1% ที่อัตราดอกเบี้ยลดลง จะทำให้เงินผ่อนบ้านรายเดือนลดลง 7-

8% นอกจากนี้ยังช่วยลดดอกเบี้ยจ่ายของผู้ประกอบการอีกด้วย จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ จึงคาดว่าจะได้เห็นการลดอัตรา

ดอกเบี้ยอีกหลายครั้งในปี 2552

กรณีการยืดอายุมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นภาคอสังหาฯ ออกไป 1 ปีโดยจะสิ้นสุดในเดือนมี.ค. 2553 โดยลดภาษีธุรกิจเฉพาะเหลือ 0.11% จากเดิม 3.3%

และค่าจดทะเบียนการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% การยืดอายุมาตรการภาษีฯ จะทำให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทอสังหาฯ ยังคงอยู่ในระดับสูงได้ในปี 2552 เนื่องจากมาตรการภาษีนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายของบริษัทอสังหาฯ ลง 4.18% ของยอดรายได้ อย่างไร

ก็ตาม การยืดอายุมาตรการภาษีฯ ทำให้อุปสงค์ของที่อยู่อาศัยในไตรมาส 1/52 ที่ต้องเร่งตัดสินใจซื้อบ้านเพื่อให้ทันรับประโยชน์จากมาตรการ ชะลอออกไป

ปรับมุมมอง เป็นบวก ระยะสั้นสำหรับหุ้นกลุ่มอสังหาฯจากปัจจัยบวกเรื่องการยืดอายุมาตรการภาษีฯและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแรง อย่างไรก็ตาม ยังคงคาดว่าความต้องการบ้านจะชะลอตัวทั้งปี 2552 จึงคงมุมมอง เป็นลบ ในระยะยาว แต่คาดว่าบริษัทอสังหาฯ ขนาดใหญ่ ได้แก่ บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้,บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ,บมจ.แอล.พี.เอ็น,บมจ.พฤกษา และบมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ จะผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้

ที่มา:บล.กิมเอ็งฯ

บมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำ:EASTW

ถือ: ราคาเหมาะสม 3.15 บ.

คาดว่าวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเกิดอยู่ในปัจจุบันจะส่งผลให้ความต้องการน้ำดิบลดลงในปี 2552 โดยในปี 2551 ทาง EASTW มียอดขายน้ำดิบทั้งสิ้น 220 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีรายได้เติบโต 9% จากปีก่อนที่ 1,673 ล้านบาท และทางบริษัทยังคาดว่าจะมีการเติบโตของยอดขายในปี 2552 ที่ระดับ 220 ล้านลูกบาศก์เมตร ดังนั้นฝ่ายวิเคราะห์บล.กิมเอ็งฯ จึงคาดว่ายอดขายน้ำดิบในปี 2552 จะออกมาที่ 200 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือลดลง 9% แต่คาดว่าการปรับราคาน้ำดิบจากเฉลี่ยที่ 9.25 บาท/ลูกบาศก์เมตร เป็น 10.25 บาท/ลูกบาศก์เมตร จะสามารถส่งผลให้รายได้ลดลงเพียง 3% ที่ 1,616 ล้านบาท

ถึงแม้จะมีมุมมองที่ไม่มีการเติบโต EASTW ยังคงแผนการการขยายโครงการต่างๆเอาไว้โดยมียอดการลงทุนทั้งสิ้นที่ 3,800 ล้านบาท โดยโครงการหลักๆได้แก่ การวางท่อความยาว 30 กม. จากหนองปลาไหลไปมาบตาพุดมูลค่า 1,770 ล้านบาท โครงการต่อท่อน้ำจากประแสรไปคลองใหญ่มูลค่า 1,680 ล้านบาท และโครงการน้ำประปามูลค่า 730 ล้านบาท ซึ่งโครงการน้ำประปาหลักได้แก่ โครงการที่จังหวัดระยองมูลค่า 191 ล้านบาท จะสามารถจ่ายน้ำเพิ่มให้กับพื้นที่ที่พัทยา ทาง EASTW คาดว่าโครงการน้ำประปาส่วนใหญ่จะเสร็จสิ้นได้ในปี 2552 นี้ และคาดว่าจะมีรายได้จากการขายน้ำประปาอยู่ที่ 611 ล้านบาท

จากที่คาดว่ากำไรสุทธิจะลดลง 3% ราคาเหมาะสมใหม่โดยวิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) จึงปรับเป็น 3.15 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ตามแม้บริษัทมีรายได้เข้ามาอย่างมั่นคง กำไรเติบโตต่อเนื่องและมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอที่ 8.9% ต่อปี แต่กำไรสุทธิปี 2552 อาจออกมาน่าผิดหวังซึ่งจะกดดันราคาหุ้นต่อไป จึงแนะนำแค่ ถือ หุ้น EASTW

ที่มา:บล.กิมเอ็งฯ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook