อย่ามือเติบ
นายมหาเศรษฐี
ถ้าเปรียบการบริหารประเทศเป็นรถยนต์ ขณะนี้ก็ต้องถือว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พร้อมเต็มที่แล้วที่จะทะยานออกจากจุดสตาร์ตเพื่อภารกิจกอบกู้วิกฤตให้กับบ้านเมือง
ปัจจัยภายนอกเริ่มนิ่งด้วยข่าวร้ายทางเศรษฐกิจสารพันจากนานาประเทศ ได้ทยอยออกมาเกือบหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปราสาททรายของสถาบันการเงิน อุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดยักษ์ของโลก ฯลฯ ที่ถูกคลื่นสาดซัดจนละลายกลาย เป็นเม็ดทรายเกลื่อนหาด
ที่เหลือก็มีเพียงผลพวงตามมาหลังการล่มสลายของปราสาททรายเท่านั้นซึ่งก็อยู่ในวิสัยที่สามารถประเมินผลกระทบล่วงหน้าได้ว่าจะมีอะไรบ้าง
ปัจจัยภายในโดยเฉพาะวิกฤตความแตกแยกทางการเมืองของผู้คนที่แกว่งไกวมานานหลายปีก็เริ่มนิ่ง รัฐบาลมีเสถียรภาพด้วยเสียงข้างมากในสภาชนิดท่วมท้น ขณะกลุ่มเสื้อแดงไร้เรี่ยวแรงออกอาการป้อแป้เข้าไปทุกที
คราวนี้อนาคตของชาติก็ต้องฝากไว้กับฝีมือของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เท่านั้นว่าจะมีความสามารถขนาดไหน
มองแผนกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศที่รัฐบาลทยอยปล่อยข่าวออกมาตลอดแทบทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องโครงการประชานิยมซึ่งต้องใช้เงินหลายแสนล้านจนถึงล้านล้านขึ้นไป
เป็นประชานิยมคูณ 2 ของประชานิยมจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา
เรื่องการใช้เงินจะตรงเป้าหรือไม่ยังเป็นหัวข้อที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ โดยเฉพาะการส่งเสริมสนับสนุนให้ภาคเอกชนสร้างหนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้านแบบไม่ต้องวางเงินดาวน์ หรือการให้สถาบันการเงินของรัฐเร่งปล่อยกู้แก่ลูกค้าโดยลดหย่อนเงื่อนไขให้น้อยลง เป็นต้น
แต่ที่ยังเป็นคำถามอยู่ก็คือแล้วรัฐบาลจะไปหาเงินจากที่ไหนมาใช้ในโครง การประชานิยมคูณ 2 ดังกล่าวเพราะมันไม่ใช่แค่บาทสองบาท
เงินหลวงนั้นมีที่มาจากไม่กี่แหล่ง ถ้าไม่เป็นเงินภาษีที่เรียกเก็บจากชาวบ้านก็ต้องเป็นเงินที่กู้หนี้ยืมสินคนอื่นเขามาใช้ก่อน
โดยสภาพของเศรษฐกิจประเทศที่วิกฤตสุดๆ เช่นยามนี้ โอกาสที่รัฐบาลจะหวังพึ่งเงินจากภาษีอากรคงเป็นเรื่องยากเพราะธุรกิจการค้าซบเซา ก็เหลือแต่การกู้เงินมาใช้ล่วงหน้าเท่านั้น
ที่เกริ่นๆ กันว่าประเทศไทยยังมีความสามารถที่จะสร้างหนี้ได้อีกเยอะนั้นแม้จะคือความจริง แต่ก็ควรเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะทำ
การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ สุภาษิตของการทำธุรกิจแบบโบราณเขาเตือนไว้
แม้วิธีคิดจะไม่สอดคล้องกับยุคสมัยแต่ก็สร้างความมั่นคงปลอดภัยให้กับประเทศเสมอ