ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ชี้ ภาคเอกชนไทยแข็งแกร่ง

หม่อมราชวงศ์ ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ ความเข้มแข็งในภาคเอกชน ทางออกประเทศไทย ว่า ภาคเอกชนของไทยในขณะนี้ถือว่า สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ แม้แนวโน้มอัตราค่าจ้างในประเทศไทยจะปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอด แต่จากการสอบถามผู้ประกอบการทั้งในและนอกประเทศ มองว่า จะไม่มีการย้ายฐานการผลิตออกไปอย่างที่หลาย ๆ ฝ่ายคาดการณ์ เนื่องจาก แรงงานไทย เป็นแรงงานที่มีวินัยในการทำงานสูงกว่าในหลาย ๆ ประเทศ รวมไปถึงมีการพัฒนาในด้านทักษะได้รวดเร็วกว่า ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งในนักลงทุนเลือกไทยเป็นฐานการผลิต

ส่วนกรณีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เป็น 300 บาทต่อวันนั้น หม่อมราชวงศ์ ปรีดิยาธร ไม่ขอออกความคิดเห็นในเรื่องนี้ เนื่องจากมองว่า ยังไม่ได้มีการปรับขึ้นจริงและเป็นเพียงนโยบายในขณะนี้เท่านั้น

ทั้งนี้หม่อมราชวงศ์ ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อความแข็งแกร่งของภาคเอกชนทางออกของประเทศไทย ว่าในปัจจุบันภาคเอกชนของไทย มีความสำคัญในการเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจาก การลงทุนของภาคเอกชน หากเปรียบเทียบอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP สูงถึงกว่า ร้อยละ 70 ซึ่งภาครัฐบาล มีการลงทุนเพียงร้อยละ 28 เท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า หากภาคเอกชนมีความแข็งแกร่งเศรษฐกิจของประเทศก็จะดีตามไปด้วย ซึ่งจากวิกฤติที่ผ่านมาที่เกิดขึ้น ในช่วงปี 2550 ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า ภาคเอกชน จะมีความแข็งแกร่งทำให้ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นกระทบต่อประเทศไทยน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนในปัจจุบัน หากเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนที่ผ่านมานั้น ถือว่ามีจุดที่เข้มแข็งกว่า ซึ่งหากรัฐบาลจะตัดสินใจผลักดันให้ประเทศไทย เป็นจุดศูนย์กลางทางค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ซึ่งทั้งหมดคงขึ้นอยู่กับควากล้าตัดสินใจของรัฐบาล ในการขยายการลงทุนให้ภาคเอกชน ทั้งการเปิดท่าเรือน้ำลึกในฝั่งอันดามัน และการขยายนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่

หม่อมราชวงศ์ ปรีดิยาธร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากนี้ ผู้นำรัฐบาล ต้องมีวิสัยทัศที่กว้างไกล และเร่งลงทุนระะบบโลจิติกส์ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการขายส่งสินค้า