รีวิว BURNING มือเพลิง สำรวจลึกในตัวละคร เพื่อเรียนรู้หัวใจเรา

รีวิว BURNING มือเพลิง สำรวจลึกในตัวละคร เพื่อเรียนรู้หัวใจเรา

รีวิว BURNING มือเพลิง สำรวจลึกในตัวละคร เพื่อเรียนรู้หัวใจเรา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

อีจงซู (ยูอาอิน) ชายหนุ่มผู้ยากไร้ผู้มีอดีตอันซับซ้อนได้ไปพบกับ ชินแฮมี (ชอนจงซอ) หญิงสาวแปลกประหลาดที่กลายเป็นว่าเธอคืออดีตเพื่อนบ้านที่เขาห่างเหินไปนาน ทั้งสองกลับมาสานสัมพันธ์เพราะหญิงสาวอยากให้ชายหนุ่มดูแลแมวที่เธอเลี้ยงไว้ระหว่างที่เธอเดินทางไปต่างประเทศ เวลาผ่านไป ชินแฮมี เดินทางกลับมาเกาหลีและร้องขอให้อีจงชูมารับ แต่ครั้งนี้เธอกลับมาพร้อมกับ เบน (สตีเฟน ยอน) ชายหนุ่มลึกลับผู้ร่ำรวยที่หญิงสาวบอกว่าพบเจอระหว่างการเดินทาง เมื่อตัวละครครบ เรื่องราวของหัวใจ ด้านความหวังและด้านมืดของตัวละครสุดแสนซับซ้อนก็ได้เริ่มขึ้น

ก่อนไปชมหนังเรื่องนี้ก็ไม่แน่ใจว่าเคยอ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้ของมูราคามิหรือยัง เพราะความที่มูราคามิมีผลงานเขียนทั้งเรื่องสั้นเรื่องยาวมากมาย ด้วยความที่มีผลงานเรื่องแรกตั้งแต่ปี 1979 แล้วยังขยันเขียนมาจนถึงปัจจุบัน เอาแค่เฉพาะรวมเรื่องสั้นก็มีถึง 5 เล่มเข้าไปแล้ว ปัญหานี้แก้ง่าย ๆ ด้วยการแวะร้านหนังสือสักร้านแล้วเปิดอ่านดู ด้วยความที่เรื่องสั้นนี้ความยาวไม่มากนักก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็สามารถจบความได้แล้ว แต่ปัญหาถัดมา ก็เช่นเดียวกับเวลาที่อ่านงานของมูราคามิหลาย ๆ ครั้งที่เราจะเพลิดเพลินตากับรสทางภาษาที่แปลกประหลาด ทั้งสำคัญว่าหลายทีเรื่องราวถูกเขียนราวงานแฟนตาซีปลายเปิด ที่เรียกร้องการแสวงหาการขุดคุ้ยด้วยปัญญาและประสบการณ์อันแตกต่างของแต่ละบุคคล กับเรื่องนี้ก็เช่นกัน

ความลำบากใจต่อมาคือ แล้วเราจะดูหนัง หรือตีความเรื่องเล่าของนักเขียน ตลอดจนผู้กำกับที่รับไม้ต่อนี้มาได้ หรือเปล่าหว่า?

Burning มือเพลิง ดัดแปลงจากเรื่องสั้นชื่อ Barn Burning แปลเป็นไทยในชื่อ มือเพลิง โดย วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา อยู่ในรวมเรื่องสั้นชุด เส้นแสงที่สูญหาย เราร้องไห้เงียบงัน ผลงานของ ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนชื่อดังระดับโลกที่ผลงานเคยถูกถ่ายทอดบนจอเงินมาแล้วถึง 11 เรื่อง ผ่านวิสัยทัศน์ของทั้งผู้กำกับญี่ปุ่นเองและต่างชาติ หนังจากนิยายของมูราคามิที่คอหนังคอหนังสือบ้านเราน่าจะคุ้นหูคุ้นตาสุดคงเป็น Norwegian Wood (2010) หนังญี่ปุ่นที่ได้ผู้กำกับชาวเวียดนาม อันห์หงตราน มากุมบังเหียน และสร้างจากนิยายที่ดังที่สุดเรื่องหนึ่งของมูราคามิด้วยนั่นเอง ซึ่งก็มีรสประหลาดตามลักษณะงานเขียนของมูราคามิที่ค่อนข้างเฉพาะตัวอยู่มาก ทำให้หนังจากหนังสือของมูราคามิ มักแปลงสภาพเป็นหนังเฉพาะทางอยู่กลาย ๆ เสมอ

ฮารูกิ มูราคามิ

เส้นแสงที่สูญหาย เราร้องไห้เงียบงัน ฉบับภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์กำมะหยี่

ผลงานเรื่องนี้ ได้ผู้กำกับเกาหลีชื่อดังอย่าง อีชางดง ผู้กำกับระดับบรมครูชาวเกาหลีที่เข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำจาก Secret Sunshine และ Poetry รวมถึงล่าสุดกับเรื่องนี้ด้วย มาถ่ายทอดแก่นของงานมูราคามิ โดยมีการแสดงอันน่าตื่นตะลึงของ สตีเฟน ยอน จากซีรีส์ Walking Dead มาปะทะกับหนุ่ม ยูอาอิน นักแสดงเกาหลีชื่อดัง รวมถึงขอแนะนำ ชอนจงซอ นักแสดงสาวหน้าใหม่ที่ดังชั่วข้ามคืนจากการร่วมงานกับบรมครูของเกาหลีเรื่องนี้

อีชางดง

สตีเฟน ยอน

ยูอาอิน

ชอนจงซอ

แค่คนๆ หนึ่งตรงหน้าก็มีเรื่องราวให้เรียนรู้ไม่สิ้นสุด

หนังเล่าเรื่องผ่าน 3 ตัวละครหลัก ซึ่งแต่ละคนจะเริ่มจากความธรรมดาเหมือนไม่มีอะไร เช่นเดียวกับเวลาที่เราเริ่มรู้จักใครสักคนมันผิวเผินขนาดนั้น เราตัดสินเขาจากรูปลักษณ์ จากงานการ จากบุคลิกท่าทาง แต่เมื่อหนังเดินทางไป เราก็ได้เริ่มรู้แง่มุมบางอย่างของแต่ละตัวละครมากขึ้น ไม่ใช่เพราะตัวละครเติบโตขึ้นหรือเปลี่ยนความคิดไปอย่างที่หนังอื่น ๆ เป็น หากแต่เป็นเช่นมนุษย์ทั่วไปในชีวิตจริงของเรา ที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง แค่ตัวตนภาคที่เลือกแสดงออกและภาคที่เก็บงำ ก็มากมายพอให้เรารู้จักและตื่นตาตื่นใจกับ คนตรงหน้า ว่าแท้จริงมันเป็นคนแบบนี้เองเหรอ

แม้ตัวละคร เบน (สตีเฟน ยอน) อาจเป็นคนที่ดูลึกลับที่สุด แต่เมื่อเราดูไปเรื่อยๆ แล้ว คนที่คิดว่าเข้าใจง่ายสุดอย่าง พระ-นางนั้นล่ะที่ซับซ้อนเสียยิ่งกว่า

ที่สำคัญหนังทำให้เรารู้สึกเช่นนี้หลายครั้งหลายครา คิดว่าเข้าใจดีแล้วก็มีอะไรให้พบอีกว่ายังมีอะไรมากกว่านั้น มันคือความรู้สึกหลายต่อหลายครั้งที่เราอ่านงานของมูราคามิที่เราจะค่อย ๆ รู้จักตัวละครจริง ๆ ก็ต้องผ่านสถานการณ์และบทสนทนาที่ไม่คิดว่าคนอย่างนี้จะพูดจะทำนั่นล่ะ การดูหนังเรื่องนี้จึงมีแก่นแท้คือการสำรวจตัวตนที่แท้จริงของตัวละคร สำรวจเขาและเรียนรู้ตัวเราไปด้วย ว่าจริง ๆ แล้วก็มีด้านแบบนี้ ด้านที่ปิด ด้านที่เผย แล้วมันส่งผลต่อคนรอบข้างต่อตัวเราอย่างไร ซึ่งไม่เพียงเราที่สำรวจตัวละคร ตัวละครเองก็สำรวจและค่อย ๆ เรียนรู้ตัวละครอื่น ซึ่งตรงนี้คือพลอตที่นำไปสู่จุดปะทุและโศกนาฎกรรมของหัวใจในช่วงครึ่งหลัง

จริงแล้วเนื้อหาของหนัง มือเพลิง นั้นก็ไม่ต่างจากหนังดราม่าความรักของชายหญิงทั่วไปในสากลโลกเลย ในช่วงชีวิตเราพบคนบางคน เราแอบรัก เขาอาจรู้ เขาอาจไม่รู้ เราอาจอยากบอก หรืออยากเก็บงำ การตัดสินใจใด ๆ เกี่ยวกับหัวใจของหนุ่มสาวเช่นนี้ จึงนำพาไปได้ทั้งบทสรุปที่แสนสะท้านหัวใจอย่างง่ายดาย เพราะทุกคนบนโลกล้วนเคยผ่านความรู้สึกนี้ และเรียนรู้คำว่า น่าเสียดาย ถ้าตอนนั้น.. มาแล้วทั้งสิ้น

ชินแฮมี ปอกเปลือกส้มและทานแต่ละกลีบอย่างบรรจง จนเรารู้สึกเอร็ดอร่อย เพียงแต่ว่าทั้งหมดเป็นเพียงการสมมติ ไม่มีส้มอยู่ตรงนั้น เธอบอกอีจงซูว่า หลักสำคัญคือไม่ใช่การเชื่อว่ามันมี แต่คือการต้องลืมว่ามันไม่มีอยู่ต่างหาก

แต่ด้วยกลการเล่าเรื่องที่ฉลาดและเปี่ยมศิลปะในการซ่อนและเผย ทำให้ความสัมพันธ์ของคน 3 คนนี้ไม่ง่ายเลย ที่เราจะเข้าใจในทันที ความสนุกที่ทำให้เราหมกมุ่นดำดิ่งกับเรื่องราวจึงมากมายทวีคูณ ไปพร้อมกับปริศนาของหัวใจที่ทั้งคลี่คลายและตั้งคำถามใหม่อยู่เป็นระยะ

อ่านถึงตรงนี้บางคนอาจตัดสินว่ามันคงเป็นหนังรักชวนเศร้าใจอย่างประสบการณ์ที่ใครบางคนเคยดูมาก่อนหน้า แต่ต้องบอกว่าระดับมูราคามิ และยิ่งได้ อีชางดง กับทีมงานสายเกาหลีที่เข้มข้นทางดราม่าดาร์ก ๆ มาปรุงแต่งด้วยแล้ว ต้องบอกว่าหนังขยายจากเรื่องสั้นไปอีกไกล ในขณะที่งานของมูราคามิทิ้งอารมณ์ค้างไว้ด้วยปริศนาปลายเปิดถึงชะตากรรมของหญิงสาว แต่อีชางดงทำให้ทุกอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นข้อดีคนละอย่าง งานมูราคามิทำให้เราฉงน เหมือนโดนพาไปเกาะสวรรค์แต่ทิ้งให้ลอยค้างอยู่กลางทะเลเดือนมืด เพื่อจะอยู่กับตัวเองและค่อย ๆ คิดเองว่าแท้จริงแล้วเกาะสวรรค์กับกลางน้ำนี้คือสิ่งใด อาจคือสิ่งเดียวกันหรือไม่? และคือสิ่งที่เราเคยผ่านพบในชีวิตเรามาก่อนหรือไม่? แต่สำหรับฉบับหนังของอีชางดง เขาเลือกที่จะเล่าไปจนฟ้าสาง เพื่อให้เห็นทุกอย่างกระจ่างตาว่านำพามาสู่ที่ใด มันอาจไม่เรียกร้องปัญญามากเท่างานเขียน แต่มันตอกลิ่มเข้าหัวใจได้ไวและรุนแรงกว่าอย่างแน่นอน

เบน เผลอหลุดปากถึงงานอดิเรกของคนสมบูรณ์พร้อมเช่นเขาต่ออีจงซู ว่ามันคือการเผาโรงเพาะชำที่ถูกทิ้งร้าง สิ่งที่ไร้ประโยชน์บนโลกนี้ ที่เหมือนเรียกหาคนเช่นเขาให้เข้าไปเผามัน เพื่อปลดปล่อยมันไป

สิ่งที่ยอดเยี่ยมนอกจากเรื่องเล่าที่ดึงความเป็นมูราคามิมาได้อย่างบริบูรณ์แล้ว ต้องยอมรับว่างานภาพที่เหมือนดูไม่โดดเด่นอะไรมาก กลับสวยงามอย่างประหลาด ทั้งรสแห่งความงามด้านองค์ประกอบ สี แสง มุมกล้อง และรสแห่งสัญญะการตีความที่บางทีสร้างกรอบ บางทีสร้างระยะห่าง เกิดความหมายซ้อนลงไปอธิบายเรื่องราวได้อย่างน่าชื่นชม ที่ไม่ทันรู้สึกถึงมันอาจเพราะเราถูกดึงให้จดจ้องกับตัวละครจนบางทีก็ลืมมองว่างานโปรดักชั่นเองก็ดีงามไม่แพ้กัน เสียงประกอบนั้นทำหน้าที่ได้อย่างสั่นสะเทือน ในฉากหนึ่งที่ตัวละครไล่ตามกันมันสั่นประสาทอย่างที่เรารู้สึกหวาดหวั่นและขอร้องให้เสียงนี้หยุดลงเสียที ในขณะที่ซับไทยเองก็ได้ วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา ผู้แปลเรื่องสั้น มือเพลิง มารับหน้าที่เอง ก็ทำให้ได้รสชาติคุ้นเคยสำหรับคอหนังสือเช่นกัน

อีจงซู อาจเหมือนคนที่ล่องลอยมากที่สุดคนหนึ่งของโลก เขาเดินออกจากการสัมภาษณ์งาน หรือการนั่งฟังคดีสำคัญในศาลได้อย่างเฉยเมย แต่แท้จริงคนเราทุกคนต่างมีโรงเพาะชำที่สำคัญที่ต้องดุแลรักษา และโรงเพาะชำที่ไร้ประโยชน์จนอยากเผามันอยู่ทั้งนั้น

สิ่งที่นึกติก็มีอยู่ ระหว่างที่ดูเราหงุดหงิดกับท่าทีของตัวละครของยูอาอิน เราไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงล่องลอยและไม่ได้ความได้ขนาดนั้น แต่ถึงจุดหนึ่งความหงุดหงิดก็เป็นความเข้าใจขึ้นมา อ่อ เขามีเหตุที่เป็นแบบนี้นี่เอง เหตุที่บางทีหนังโปรยมาไม่รู้ตัวตั้งแต่แรก แต่เราเพิ่งมาตรึกนึกได้ เมื่อพิจารณาแล้วยิ่งพบว่า หนังสมบูรณ์ในการสร้างตัวละครจนเราไม่อาจติได้เลย

นี่คืองานที่เรารักเรื่องหนึ่งเลย มันเหมือนไม่มีอะไร แต่โคตรมีอะไรให้ค้นหาจับต้อง และเรียกร้องการเข้าใจอย่างสุดซึ้ง มันสอนเราให้กลับมาทำเช่นเดียวกันกับคนที่อยู่รอบตัว คนที่เราอาจให้ความสำคัญน้อยไป คนที่ตัดสินเขาเร็วไป คนที่เราอาจผ่านเลยเขาไปอย่างน่าเสียดาย บางทีถ้าตอนนี้เราให้เวลารู้จักเขามากขึ้น เราอาจตัดเรื่องที่ทำให้รู้สึกเสียดายในอนาคตไปได้อีกมากทีเดียว

หนังเข้าฉายเฉพาะเครือ เอสเอฟฯ ควรเช็กดูโรงและรอบที่ฉายก่อนออกจากบ้านนะครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook